Thai VI

การลงทุนใน ต่างประเทศที่จะพูดถึง คือ การซื้อหุ้นใน ต่างประเทศ
โดยรายย่อยซื้อหุ้นเอง หรือ ซื้อหุ้นผ่านกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ
คำว่า ต่างประเทศสำหรับคนไทย หมายถึงประเทศที่เจริญกว่าเรา
ดังนั้น ต่างประเทศ ในความหมายนี้ คือ USA ประเทศในยุโรป
ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ซึ่งผมเห็น บริษัทหลักทรัพย์หลายบริษัทเชียร์
เหลือเกินให้ลงทุนต่างประเทศ เช่น ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ บอกว่า
BMW USA ซื้อขายกันที่ PE=6 ถูกกว่าบริษัทผลิตชิ้นส่วนในไทย
modern tradeซื้อขายกันที่ PE ประมาณ 20 ถูกกว่าไทยที่ซื้อขาย
กันที่ PE ประมาณ 30(บอกเฉพาะเรื่องที่ดี) ต่างประเทศที่บริษัทหลักทรัพย์
เชียร์ให้นักลงทุนรายย่อยซื้อหุ้นส่วนมากคือ USAอาจจะมีประเทศในยุโรปบ้าง
วันก่อนหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ นักลงทุนรายย่อยซึ่งซื้อหุ้น appleและปัจจุบัน
กำไรหุ้นตัวนี้มากกว่า 100%แล้ว(ไม่รู้มีคนไทยซื้อหุ้นfacebookหรือเปล่า)
ผมไม่เห็นด้วยกับการซื้อหุ้นใน ต่างประเทศไม่ว่าจะซื้อเองหรือซื้อผ่านกองทุนเลย
คนที่ทำนอกจากโง่แล้วต้องมีตังด้วย(ซึ่งเป็นโทษสมบัติที่โบรคเก้อชอบ)
เพราะเป็นการเล่นเกมที่ คนไทยเสียเปรียบมากดังนี้
1.ภาษาอังกฤษ อย่างไรเราก็สู้ฝรั่งไม่ได้
2.เราไม่สามารถรู้เรื่องในประเทศเขาอย่างตลอดเวลา และถูกต้อง
3.ประเทศตะวันตก มีการเติบโตน้อยกว่าเอเซีย
4.อัตราดอกเบี้ยเขาถูกกว่าเรามาก และแนวโน้มค่าเงินเขาก็จอ่อนลง
5.มีอีกหลายเรื่องที่คนไทยไม่รู้เกี่ยวกับประเทศเขา
ถ้าคิดจะลงทุนซื้อหุ้น ต่างประเทศ ก็จงมอง พม่า อินโดนีเซีย กัมภูชา อินเดีย ลาว
จีน เพราะประเทศเหล่านี้ อัตราดอกเบี้ยแพงกว่าไทย เราจะได้เปรียบเรื่องอัตราดอกเบี้ย
และการเจริญเติบโตแต่เราก็จะเสียเปรียบเรื่องภาษาและการหาข้อมูล ประเทศที่ผมเล็งไว้
มีลาวประเทศเดียว

เอ่อ..ท่าน blueplanet ครับ

ผมยังงงงงเรื่องอัตราดอกเบี้ยน่ะครับ
ดอกสูง ได้เปรียบตรงที่ถ้ายังเติบโต แปลว่าคุณภาพกิจการนั้นดี
หรือต้นทุนกู้มาซื้อหุ้นของเฮจฟันด์สูง จะได้ไม่มาปั่นหุ้นจนแพงเกิน
หรือwaccสูงทำให้present value สูงกว่าตลาด มีmos

ยิ่งถามยิ่งงงตัวเอง
กรุณาด้วยครับ

ถ้าทุกอย่างคงที่ อัตราดอกเบี้ย จะแปรผันตรงกันข้ามกับราคาหุ้น
ถ้าประเทศที่อ้ตราดอกเบี้ยสูง คนก็เอาเงินไปฝากกินดอกเบี้ย ไม่ซื้อหุ้น ราคาหุ้นก็จะต่ำ
ถ้าประเทศไหนอัตราดอกเบี้ยต่ำเช่น 2% การถือหุ้นแม้ให้ปันผลแค่ 3-4% ก็คุ้มกว่าฝาก
เงินกินดอกเบี้ยคนจะถือครองหุ้นมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะขึ้น
ดังนั้น หุ้นที่ประเทศที่มีอัตรดอกเบี้ยต่ำจะแพงกว่า หุ้นในประเทศที่อัตราดอกเบี้ยสูง
(ถ้าตัวแปรอื่นๆที่มีผลต่อราคาหุ้น เท่ากันหมด)
เช่นถ้า หุ้น X ปันผลปีละ 10 บาท ทุกปีตลอดไป
คนที่ต้องการ ผลตอบแทน 5% ก็ยินดีซื้อหุ้น X ที่ ราคา<200บาท
คนที่ต้องการ ผลตอบแทน 2.5% ก็ยินดีซื้อหุ้น X ที่ ราคา<400บาท

ขอบคุณมากครับ เหตุผลน่าสนใจมากครับ แต่ผมยังมองไม่เห็นเหตุผลเลยครับว่าทำไมต่างประเทศถึงไม่น่าลงทุน ผมแค่คิดว่า ลงทุนประเทศอะไรก็ได้ ถ้าหุ้นเหล่านั้นมีมูลค่าถูกกว่าความเป็นจริง เพราะขึ้นชื่อว่าหุ้น ผมเชื่อว่าทุกที่มีขึ้นมีลงหมดครับ

ในวิกฤติหนักๆ หุ้นพวก super luxury brand ทั้งหลาย ผมว่าน่าสนใจลงทุนนะครับ ไม่รู้ว่ามันจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่า

เช่น หลุยส์ วิคตอง นาฬิกาโรเล็กซ์ สโมสรแมนยู แล้วก็อีกหลายๆแบรนด์ที่ผมไม่รู้จักของยุโรป

ปล. อย่าไปซื้อหุ้น liverpool นะครับ อาจจะเจ๊งหมดตัวได้

newbie_12 เขียน:ในวิกฤติหนักๆ หุ้นพวก super luxury brand ทั้งหลาย ผมว่าน่าสนใจลงทุนนะครับ ไม่รู้ว่ามันจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่า

เช่น หลุยส์ วิคตอง นาฬิกาโรเล็กซ์ สโมสรแมนยู แล้วก็อีกหลายๆแบรนด์ที่ผมไม่รู้จักของยุโรป

ปล. อย่าไปซื้อหุ้น liverpool นะครับ อาจจะเจ๊งหมดตัวได้

มีครับ เช่น lvmh tod herme

MAN U พึ่ง IPO ไปครับ
George Soros ซื้อไป2 percent

blueplanet เขียน: ผมไม่เห็นด้วยกับการซื้อหุ้นใน ต่างประเทศไม่ว่าจะซื้อเองหรือซื้อผ่านกองทุนเลย
คนที่ทำนอกจากโง่แล้วต้องมีตังด้วย(ซึ่งเป็นโทษสมบัติที่โบรคเก้อชอบ)
เพราะเป็นการเล่นเกมที่ คนไทยเสียเปรียบมากดังนี้
1.ภาษาอังกฤษ อย่างไรเราก็สู้ฝรั่งไม่ได้
2.เราไม่สามารถรู้เรื่องในประเทศเขาอย่างตลอดเวลา และถูกต้อง
5.มีอีกหลายเรื่องที่คนไทยไม่รู้เกี่ยวกับประเทศเขา

คนไทยไม่รู้ หรือ...คุณไม่รู้

เดี๋ยว นี่ คน ไทย ทำงาน ข้าม ชาติ เยอะ นะครับ

คนกลุ่มนี้ เค้า น่า จะรู้ ลึกกว่า

คนสัญชาติ บริษัทแม่

อีก อย่าง ถ้า มาแนว วีไอ เรา ก็ เน้น ตัว บริษัท เป็น หลัก นี่ครับ

ถ้า บริษัท ดีๆใหญ่ แบนรด์ ดังๆ pe เหลือ แค่ 3 นี่ ผม ก็ ว่า น่าสนใจ นะ

ถ้าไม่มีการกระจายความเสี่ยงแล้วคุณจะรู้สึกเวลาค่าเงินบาทจะโดนลดค่า ถ้ารัฐบาลยังก่อหนี้แบบนี้ผมว่าอีกไม่นานครับ จะค่อยๆ เห็น 32,32.5,33........ต่อ 1 ดอลล่าร์

บางคนต้องการ diversify port ครับ คิดดูถ้าลงทุนเฉพาะเมืองไทย แล้วถ้าเมืองไทยเกิด crisis จะทำอย่างไร บางคนเป้าหมายไม่ได้ต้องการผลตอบแทนสูงสุด แต่ต้องการผลตอบแทนที่พอใจ และไม่มีความแปรปรวนมากเกินไป

ซุนเซ็ก เขียน:

blueplanet เขียน: ผมไม่เห็นด้วยกับการซื้อหุ้นใน ต่างประเทศไม่ว่าจะซื้อเองหรือซื้อผ่านกองทุนเลย
คนที่ทำนอกจากโง่แล้วต้องมีตังด้วย(ซึ่งเป็นโทษสมบัติที่โบรคเก้อชอบ)
เพราะเป็นการเล่นเกมที่ คนไทยเสียเปรียบมากดังนี้
1.ภาษาอังกฤษ อย่างไรเราก็สู้ฝรั่งไม่ได้
2.เราไม่สามารถรู้เรื่องในประเทศเขาอย่างตลอดเวลา และถูกต้อง
5.มีอีกหลายเรื่องที่คนไทยไม่รู้เกี่ยวกับประเทศเขา

คนไทยไม่รู้ หรือ...คุณไม่รู้

อย่างฮาอะท่าน

thane เขียน:ถ้าไม่มีการกระจายความเสี่ยงแล้วคุณจะรู้สึกเวลาค่าเงินบาทจะโดนลดค่า ถ้ารัฐบาลยังก่อหนี้แบบนี้ผมว่าอีกไม่นานครับ จะค่อยๆ เห็น 32,32.5,33........ต่อ 1 ดอลล่าร์

รัฐบาลก่อหนี้เยอะเกี่ยวอะไรกับค่าเงินบาทครับ ช่วยอธิบายหน่อยได้มั้ย

blueplanet เขียน:ถ้าทุกอย่างคงที่ อัตราดอกเบี้ย จะแปรผันตรงกันข้ามกับราคาหุ้น
ถ้าประเทศที่อ้ตราดอกเบี้ยสูง คนก็เอาเงินไปฝากกินดอกเบี้ย ไม่ซื้อหุ้น ราคาหุ้นก็จะต่ำ
ถ้าประเทศไหนอัตราดอกเบี้ยต่ำเช่น 2% การถือหุ้นแม้ให้ปันผลแค่ 3-4% ก็คุ้มกว่าฝาก
เงินกินดอกเบี้ยคนจะถือครองหุ้นมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะขึ้น
ดังนั้น หุ้นที่ประเทศที่มีอัตรดอกเบี้ยต่ำจะแพงกว่า หุ้นในประเทศที่อัตราดอกเบี้ยสูง
(ถ้าตัวแปรอื่นๆที่มีผลต่อราคาหุ้น เท่ากันหมด)
เช่นถ้า หุ้น X ปันผลปีละ 10 บาท ทุกปีตลอดไป
คนที่ต้องการ ผลตอบแทน 5% ก็ยินดีซื้อหุ้น X ที่ ราคา<200บาท
คนที่ต้องการ ผลตอบแทน 2.5% ก็ยินดีซื้อหุ้น X ที่ ราคา<400บาท

ปกติเค้าดู real interest ด้วยป่าวคับ
แล้วเค้าเทียบกับ ส่วนกลับ pe ด้วยป่าวคับ

blueplanet เขียน:ผมไม่เห็นด้วยกับการซื้อหุ้นใน ต่างประเทศไม่ว่าจะซื้อเองหรือซื้อผ่านกองทุนเลย
คนที่ทำนอกจากโง่แล้วต้องมีตังด้วย(ซึ่งเป็นโทษสมบัติที่โบรคเก้อชอบ)
เพราะเป็นการเล่นเกมที่ คนไทยเสียเปรียบมากดังนี้
1.ภาษาอังกฤษ อย่างไรเราก็สู้ฝรั่งไม่ได้
2.เราไม่สามารถรู้เรื่องในประเทศเขาอย่างตลอดเวลา และถูกต้อง
3.ประเทศตะวันตก มีการเติบโตน้อยกว่าเอเซีย
4.อัตราดอกเบี้ยเขาถูกกว่าเรามาก และแนวโน้มค่าเงินเขาก็จอ่อนลง
5.มีอีกหลายเรื่องที่คนไทยไม่รู้เกี่ยวกับประเทศเขา
ถ้าคิดจะลงทุนซื้อหุ้น ต่างประเทศ ก็จงมอง พม่า อินโดนีเซีย กัมภูชา อินเดีย ลาว
จีน เพราะประเทศเหล่านี้ อัตราดอกเบี้ยแพงกว่าไทย เราจะได้เปรียบเรื่องอัตราดอกเบี้ย
และการเจริญเติบโตแต่เราก็จะเสียเปรียบเรื่องภาษาและการหาข้อมูล ประเทศที่ผมเล็งไว้
มีลาวประเทศเดียว

ผมขอมองอีกมุมหนึ่งแล้วกันนะครับ

1.ภาษาอังกฤษ อย่างไรเราก็สู้ฝรั่งไม่ได้

มันอาจจะจริงที่ภาษาอังกฤษเราสู้เค้าไม่ได้ แต่การติดตามข้อมูลในตปท.คงไม่ได้แปลว่าต้องอ่านภาษาอังกฤษเร็วหรือพูดสำเนียงเหมือนเจ้าของภาษาครับ และหลายครั้งที่เราเห็นสมาชิกเอาข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษมาโพสต์บ่อย ๆ

2.เราไม่สามารถรู้เรื่องในประเทศเขาอย่างตลอดเวลา และถูกต้อง

ต่อให้ลงทุนในประเทศไทย ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะรู้ข้อมูลได้ถูกต้องเหมือนกันครับ อย่าลืมครับ "โกหกสีขาว" อีกอย่างถ้าเป็นเรื่องใหญ่ ๆ ผมว่าเดี่ยวนี้การสื่อสารเชื่อมโยงถึงกันหมดครับ

3.ประเทศตะวันตก มีการเติบโตน้อยกว่าเอเซีย

จริงอยู่ครับว่าประเทศตะวันตกตอนนี้โตน้อยกว่าหรืออาจจะกำลังถดถอย แต่อย่าลืมว่าหลายบ.เค้าเป็นบ.ระดับโลกครับ สินค้าขายทั่วโลก ผมขอยกตัวอย่างนะครับ ผมอยากลงทุนบ.ยามาก แต่บ.เหล่านี้ไม่มีในตลาดหุ้นไทยเลย ที่สำคัญบ.เหล่านี้ผลิตยาขายทั่วโลกครับรวมทั้งประเทศไทยด้วย เช่น Pfizer Abbott บางบ.นอกจากขายยาแล้วยังขายนมผง ฯลฯ ที่วางขายในประเทศไทยนี่แหละครับ

4.อัตราดอกเบี้ยเขาถูกกว่าเรามาก

อันนี้ผมเข้าใจว่ามันก็ดีแล้วนี่ครับ ดอกเบี้ยถูกในแง่ของตลาดหุ้นคนก็ซื้อหุ้นมากขึ้น ในแง่ของธุรกิจต้นทุนทางการเงินก็ถูกลง

ถ้าคิดจะลงทุนซื้อหุ้น ต่างประเทศ ก็จงมอง พม่า อินโดนีเซีย กัมภูชา อินเดีย ลาว
จีน เพราะประเทศเหล่านี้ อัตราดอกเบี้ยแพงกว่าไทย เราจะได้เปรียบเรื่องอัตราดอกเบี้ย
และการเจริญเติบโตแต่เราก็จะเสียเปรียบเรื่องภาษาและการหาข้อมูล ประเทศที่ผมเล็งไว้
มีลาวประเทศเดียว

จริงอยู่ครับ ประเทศเหล่านี้มีโอกาสเติบโต แต่ผมว่าสิ่งที่ผมไม่ค่อยสบายใจถ้าต้องลงทุนในประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะประเทศที่เพิ่งมีการก่อตั้งตลาดหุ้น คือ มาตรฐานของตลาดหลักทรัพย์ของประเทศนั้น รวมถึงระบบการตรวจสอบ การปกป้องผลประโยชน์ของนลท.ที่อาจจะยังไม่ได้มาตรฐาน อย่าลืมครับประเทศไทยก็เคยมีปัญหาความหละหลวมจนเกิดต้มยำกุ้งมาแล้ว

ไม่ได้ต้องการจะมากวนนะครับ แค่เห็นต่างในบางมุมครับ

บริษัทดีๆใหญ่ๆ pe=3 น่าสนใจมาก
1.เราจะเจอบริษัทดีๆใหญ่ ได้อย่างไร เราคงต้องไปงมข้อมูลหุ้น หลายพันบริษัท
(ทำไมหลายพัน เพราะ เราต้องดูหุ้น ทั้งใน usa และในยุโรป)
2.ถ้าเจอ เราจะกล้าซื้อทันทีหรือ มันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ มีหุ้นดีขนาดนี้
คนทั้งยุโรป กับ อเมริกาไม่รู้หรือ เราก็ต้องอ่านข้อมูลต่างๆอีก
ทั้ง 2ข้อใช้เวลาหาข้อมูลอ่านข้อมูล ทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่หมด สำรับผมคิดว่าใช้เวลา
เป็นปีละ กว่าจะมีความรู้พอสมควร เมื่อมั่นใจจริงว่าหุ้นตัวนั้นมันถูกจริงๆ ตัดสินใจซื้อละ
อ้าว บริษัทนั้น ถูก SP ไปแล้ว เพราะบริษัทนั้นกำลังจะล้มละลาย งั้นความรู้ที่เรา
เข้าใจเกี่ยวกับบริษัทนั้นๆ มันก็ผิดหมดละสิ
3.ถ้ามีข้อสงสัย กฏหมายภาษี กฏหมายบัญชี ประวัติผู้บริหาร เราจะถามใครละ
4.การหาข้อมูลและการอ่านข้อมูลมีต้นทุน และถ้าจะให้ทันชาวบ้านเราต้องจ้าง
คนมาช่วยหา อ่านข้อมูล ย่อยข้อมูล และทำรายงานให้เรา
5.คิดถึง faceBook BlackBurry Koduk Nokiaไว้บ้าง
ไม่ใช่คิดแต่ Coke BMW Macdonal Walmart Apple

blueplanet เขียน: ผมไม่เห็นด้วยกับการซื้อหุ้นใน ต่างประเทศไม่ว่าจะซื้อเองหรือซื้อผ่านกองทุนเลย
คนที่ทำนอกจากโง่แล้วต้องมีตังด้วย(ซึ่งเป็นโทษสมบัติที่โบรคเก้อชอบ)
เพราะเป็นการเล่นเกมที่ คนไทยเสียเปรียบมากดังนี้

ไม่เห็นด้วยในหลายๆประเด็น แต่ที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งคือการไปบอกว่าคนที่ทำโง่นี่แหละครับ
คุณบลูคิดว่าไม่ควรไปลงทุนต่างประเทศ ก็ไม่ต้องไปครับ และจะเอามาถกเป็นกระทู้ก็ทำไป แต่การไปตัดสินว่าคนอื่นโง่ด้วยเรื่องแค่นี้ ผมว่าไม่ควรเป็นอย่างยิ่งครับ

อ่านหลายกระทู้พี่บลูแล้วแหวกแนวดี แต่อันนี้แหวกเกินงามไปมากครับ

บริษัทดีๆใหญ่ๆ pe=3 น่าสนใจมาก
1.เราจะเจอบริษัทดีๆใหญ่ ได้อย่างไร เราคงต้องไปงมข้อมูลหุ้น หลายพันบริษัท
(ทำไมหลายพัน เพราะ เราต้องดูหุ้น ทั้งใน usa และในยุโรป)

- ไม่ต้องดูหลายพันครับ เลือกดูเฉพาะตัวที่เรารู้จักก็พอ และใช้เครื่องมือจำพวกตะแกรงร่อน ก็มีให้ใช้มากมาย

2.ถ้าเจอ เราจะกล้าซื้อทันทีหรือ มันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ มีหุ้นดีขนาดนี้
คนทั้งยุโรป กับ อเมริกาไม่รู้หรือ เราก็ต้องอ่านข้อมูลต่างๆอีก

- กล้าซื้อครับ ตลาดไม่ได้ฉลาดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการหาโอกาสพวกนี้แหละ คือ vi

ทั้ง 2ข้อใช้เวลาหาข้อมูลอ่านข้อมูล ทุกอย่างต้องเรียนรู้ใหม่หมด สำรับผมคิดว่าใช้เวลา
เป็นปีละ กว่าจะมีความรู้พอสมควร เมื่อมั่นใจจริงว่าหุ้นตัวนั้นมันถูกจริงๆ ตัดสินใจซื้อละ
อ้าว บริษัทนั้น ถูก SP ไปแล้ว เพราะบริษัทนั้นกำลังจะล้มละลาย งั้นความรู้ที่เรา
เข้าใจเกี่ยวกับบริษัทนั้นๆ มันก็ผิดหมดละสิ

- คนที่ศึกษามาก่อนเป็นเวลานานก็จะสามารถเข้าใจและมีความรู้พอในการวิเคราะห์หุ้นต่างประเทศได้ และคนที่ศึกษามาก่อนนานนี่แหละครับ คือควรจะเป็นคนที่คว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ถ้าไม่เริ่มศึกษาโดยคิดแค่ว่าเราไม่มีทางตามเค้าทัน มันก็จะไม่มีวันตามเค้าทันนั้นแหละครับ

3.ถ้ามีข้อสงสัย กฏหมายภาษี กฏหมายบัญชี ประวัติผู้บริหาร เราจะถามใครละ

- ถามบริษัทเลยครับ ir ที่นู้นทำงานดีมากครับ ส่วนเรื่องประวัติผู้บริหาร เราเลือกบริษัทที่ clean มาเป็นเวลายาวนาน และยังเป็นผู้บริหารกลุ่มเดิมครับ จะยากอะไร

4.การหาข้อมูลและการอ่านข้อมูลมีต้นทุน และถ้าจะให้ทันชาวบ้านเราต้องจ้าง
คนมาช่วยหา อ่านข้อมูล ย่อยข้อมูล และทำรายงานให้เรา

- ไม่ต้องจ้างครับ สำหรับผมถ้าคิดจะลงทุนด้วยตัวเอง การให้คนอื่นทำการบ้านแทน คือบาปอันใหญ่หลวง และจำเป็นต้องอ่านให้ทันครับ เราเลือกอ่านในธุรกิจที่เราเข้าใจ เลือกเฉพาะบริษัทที่เราเข้าใจ คนที่เข้าใจบริษัท 20 บริษัท ไม่ได้หมายความว่าจะลงทุนได้แย่กว่าคนที่อ่านผ่านๆ 2000 บริษัทครับ


5.คิดถึง faceBook BlackBurry Koduk Nokiaไว้บ้าง
ไม่ใช่คิดแต่ Coke BMW Macdonal Walmart Apple

- การลงทุนมีความเสี่ยงครับ มีได้ก็มีเสีย จะสำเร็จแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคุณเข้าใจมันมากเท่าไหร่

ปล. จากคนโง่ที่ลงทุนต่างประเทศครับ

คุณ Diamond Dust ครับผมกังวลจริงๆว่านักลงทุนรายย่อยจะแห่ไปลงทุน
ต่างประเทศกันมากๆ หลังจากเห็นความกระตือรือร้นของบริษัทหลักทรัพย์
หลายบริษัทที่พยายามกระตุ้นให้นักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศกันมากๆ
เรียกการลงทุนต่างประเทศว่าโกอินเตอร์ ความรู้สึกของผมเมื่อบริษัทหลักทรัพย์เชียให้
คนไทยไปลงทุนต่างประเทศ ผมมีความรู้สึกเดียวกับตอนดูป้าเช็งโฆษณา ขายยาแก้
สารพัดโรคเลย ผมไม่กล้าตำหนิคนเชื่อป้าเช็งว่าโง่ แต่ผมกล้าตำหนิ คนที่มีความรู้
และการศึกษาว่าโง่ ถ้าตัดสินใจโดยไม่รู้จักคิด

blueplanet เขียน:คุณ Diamond Dust ครับผมกังวลจริงๆว่านักลงทุนรายย่อยจะแห่ไปลงทุน
ต่างประเทศกันมากๆ หลังจากเห็นความกระตือรือร้นของบริษัทหลักทรัพย์
หลายบริษัทที่พยายามกระตุ้นให้นักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศกันมากๆ
เรียกการลงทุนต่างประเทศว่าโกอินเตอร์ ความรู้สึกของผมเมื่อบริษัทหลักทรัพย์เชียให้
คนไทยไปลงทุนต่างประเทศ ผมมีความรู้สึกเดียวกับตอนดูป้าเช็งโฆษณา ขายยาแก้
สารพัดโรคเลย ผมไม่กล้าตำหนิคนเชื่อป้าเช็งว่าโง่ แต่ผมกล้าตำหนิ คนที่มีความรู้
และการศึกษาว่าโง่ ถ้าตัดสินใจโดยไม่รู้จักคิด

แล้วอย่างผมนี่โง่มั๊ยละครับ ที่ไปลงทุนต่างประเทศ
ผมเข้าใจประเด็นคุณบลูนะที่จะสื่อ มันมาพลาดตรงประโยคนั้นประโยคเดียวแหละ

ผมไม่รู้นี่ครับ ว่าคุณDiamond Dust ลงทุนต่างประเทศด้วย
สมมมติ คุณDiamond Dust ลงทุนต่างประเทศและกำไรปีนี้ 120%
ผมเชื่อว่าถ้าคุณDiamond Dustใช้ความอุตสาหะทั้งหมดนี้ในประเทศไทย
จะกำไรมากกว่า 200%
ดังนั้น คุณDiamond Dustก็อย่าพึ่งสรุปว่าการลงทุนในต่างประเทศดีแม้
จะประสพความสำเร็จ เพราะในประเทศไทยคุณทำได้ดีกว่านั้นแน่นอน

ตอนแรกอยากเข้ามาอ่านเฉยๆ
แต่เฮีย บลู ใช้คำหนักๆทั้งนั้นเลยครับ เลยอยากแชร์มุมมองครับ



จะลงทุนที่ไหน ในประเทศนอกประเทศ ไม่โง่หรอกครับ หากรู้ธุรกิจที่เราจะไปลงทุนเป็นอย่างดี

ข้อมูลหุ้นต่างประเทศไม่ได้หายากหรอกครับ บางทีมีการเปิดเผยโปร่งสัยกว่าหุ้นในประเทศซะด้วยซ้ำ

กลต ของเมืองนอก ทำงานได้ดีไม่ด้อยไปกว่าเมืองไทยแน่ครับ

ผมคิดว่าแล้วแต่คนจะถนัดนะครับแต่ถ้ายึดหลักvi mos และหาข้อมูลอย่างจริงจังแล้ว
ผมว่าลงทุนได้ทุกที่ในโลกเลยครับ

ผมก้อไม่เห็นว่าทำไมต้องลงทุนแต่ในประเทศตัวเดิมๆ ที่เล่นกันไปจน pe 30-50 เท่า
คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าไทยจะไม่เกิดวิกฤตและจะเติบโตได้ตามความคาดหวังที่สูงเหล่านั้น

เล่นหุ้นต้องตามข่าวแต่ลงทุนในหุ้น ต้องเข้าใจในกิจการ บางตัวกิจการอยู่ในหลายประเทศย่อมเป็นการยากที่จะเข้าใจทั้งหมด แต่ก็เช่นเดียวกับหุ้นในประเทศนั่นแหละ คุณแน่ใจหรือว่าคุณเข้าใจมันดีแล้ว ระบบทางบัญชี การตรวจสอบบางประเทศก็ดีกว่าไทย

ล่าสุดตัวเลขส่งออกติดลบแล้วนะครับ ที่กำไรโตกันเยอะ ลองตัดเรื่องภาษีที่ลดออกดู ว่ามันโตเท่าไหร่

สุดท้าย คนโง่จะไม่บอกว่าตัวเองโง่ครับ

ผมกลับมองว่าต่างประเทศน่าลงทุนมากตอนนี้ หรือในอีกต้นปีหน้า
มีคนอาจมองว่ายูโรปหรืออเมริกา เศรษฐกิจไม่ดี แต่ บริษัทชั้นนำของทั้งอเมริกาและยุโรป มีสาขาทั่วโลก เช่น lvmh ไม่ว่าวิกฤติซับไพร์ม หรือ หนี้ยูโร ผลประกอบการไม่ได้ลดลงเลย ผมคิดว่าที่เมกามีปัญหา แต่เอเซียก็ยังซื้อเหมือนเดิม แต่ราคาหุ้นกลับลงหลายเท่าตัว แต่นี้ก็แทบจะสะท้อนราคากลับมาที่เดิม
แต่ลงทุนต่างประเทศน่าห่วงอย่างเดียว เรื่องเอาเงินกลับไทย ที่น่าจะมีปัญหากับราชการ

anubist เขียน:

thane เขียน:ถ้าไม่มีการกระจายความเสี่ยงแล้วคุณจะรู้สึกเวลาค่าเงินบาทจะโดนลดค่า ถ้ารัฐบาลยังก่อหนี้แบบนี้ผมว่าอีกไม่นานครับ จะค่อยๆ เห็น 32,32.5,33........ต่อ 1 ดอลล่าร์

รัฐบาลก่อหนี้เยอะเกี่ยวอะไรกับค่าเงินบาทครับ ช่วยอธิบายหน่อยได้มั้ย

ขอตอบ แทน แบบ ร้อน วิชา นะ ครับ 55

คือ มัน ก็ เป็นไปตาม เนื้อหา วิชาการเงินทั่วไป

ที่ ประเทศที่มี หนี้เยอะๆ ใคร ก็ ไม่อยาก ร่วม ธุริกิจ เท่าไร
ไม่ มี คน อยาก แลก เงิน สกุล นั้น มัน ก็เลย ราคา ตกไง

คิดเหมือน ค่าเงิน เหมือน สินค้า นะครับ ไม่มีคน ต้องการ ราคาก็ ตก

แต่ คำว่า หนี้ เยอะ หรือ หนี้ มี คุณภาพ มั๊ย อันนี้ พูดยาว นะ

สั้นๆ แค่ นี้ ละ กัน

ใจเย็นๆ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
เว็บบอร์ดThaiviนี่ก็เป็นบ้านของเราเหมือนๆกัน

canuseeme เขียน:
ขอตอบ แทน แบบ ร้อน วิชา นะ ครับ 55

คือ มัน ก็ เป็นไปตาม เนื้อหา วิชาการเงินทั่วไป

ที่ ประเทศที่มี หนี้เยอะๆ ใคร ก็ ไม่อยาก ร่วม ธุริกิจ เท่าไร
ไม่ มี คน อยาก แลก เงิน สกุล นั้น มัน ก็เลย ราคา ตกไง

คิดเหมือน ค่าเงิน เหมือน สินค้า นะครับ ไม่มีคน ต้องการ ราคาก็ ตก

แต่ คำว่า หนี้ เยอะ หรือ หนี้ มี คุณภาพ มั๊ย อันนี้ พูดยาว นะ

สั้นๆ แค่ นี้ ละ กัน

ถ้าเหตุผลแค่นี้ผมว่าไม่พอนะครับ ดูญี่ปุ่นสิครับก่อหนี้200%ของGDP ยังเห็นแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุเพราะญี่ปุ่นไปลงทุนต่างประเทศแล้วกำไร ก็ปันผลกลับประเทศ
แล้วการที่คนอยากร่วมธุรกิจหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวกับหนี้รัฐบาลเลยครับ เพราะเค้าไม่ได้ทำธุรกิจกับรัฐบาล เค้าดูความสามารถในการแข่งขัน
หากกลัวว่ารัฐบาลมีหนี้เยอะแล้วจะพิมพ์เงินมาใช้หนี้ก็ทำไม่ได้เพราะทุกประเทศมีพรบ.เงินตราที่คอยกำกับว่าการจะพิมพ์ต้องมีสินทรัพย์หนุนหลัง และการพิมพ์เงินก็เป็นหน้าที่ของธนาคารกลางไม่ใช่รัฐบาล แม้แต่มะกันที่"เสกเงินจากอากาศบางๆ" เงินที่เสกขึ้นมาก็ถือว่าเป็นทรัพย์สินของFED(ธนาคารกลาง)ไม่ใช่ของรัฐบาล หนี้รัฐบาลจึงไม่ได้ลดแต่เปลี่ยนมือผู้ถือเท่านั้นเอง(นักลงทุน-->FED)

ทำไมถึงอยากไปลงทุนเมืองนอก ผมมีคำตอบในใจนะครับ

- Political risk ของอเมริกาต่ำกว่าไทยมาก
- THB เป็นเงินสกุลเล็กๆ ของโลก ถามคนกว่าครึ่งโลกเขายังไม่รู้เลยเงินบาทเป็นของประเทศอะไร

เพียงแค่สองอย่างก็เพียงพอแล้วละมั้งครับให้ Diversify พอร์ตออกไปต่างประเทศบ้าง

เรื่องการเติบโต ถ้าเลือกหุ้นถูก มันไม่ได้อยู่กับว่าตลาดไหนขึ้นเยอะขึ้นน้อยหรอกครับ
เขาซื้อหุ้นเป็นบรษัทไม่ได้ซื้อดัชนีหนิครับ คนซื้อ Apple กำไรเยอะกว่าคนซื้อ PTT ตั้งเยอะ

การเติบโตของบริษัทต่างประเทศน่าสนใจ
เรื่องขีดความสามารถในการเติบโต
ธุรกิจในประเทศไทยมีการเติบโตที่จำกัด มีส่วนน้อยที่จะขยายธุรกิจออกไปสู่ต่างประเทศ แต่ถึงออกไปได้ก็ใช้ว่าจะประสพความสำเร็จ
แต่ธุรกิจในต่างประเทศ เช่น ธุรกิจสัญชาติUSA ถ้าโต จะโตได้มหาศาล มีขีดความสารถในการออกสู่ตลาดต่างประเทศ และ มีโอกาศที่จะอยู่รอดในตลาดต่างประเทศ
ยังมีอื่นๆอีกที่น่าสนใจ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี