คุณหมอร้อยล้าน"ศุภชัย ปาจริยานนท์"เซียนไอทีผู้พิสมัยการลงทุน
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 03, 2012 5:44 am
คุณหมอ'ร้อยล้าน'ศุภชัย ปาจริยานนท์ 'เซียนไอที' ผู้พิสมัย 'การลงทุน'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, September 03, 2012 05:39
56086 XTHAI XGEN DAS V%NETNEWS P%WKT
วิธีสร้างความรวย 'หมอคิดส์' นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ จากเงินเก็บ 'หลักแสน' สู่พอร์ตหุ้น, อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ยึดแนวทาง 'วีไอ' ตอบโจทย์ความมั่งคั่ง
ในแวดวงดิจิทัลบริษัท MCFiva Thailand จำกัด บริษัท Digital Agency เล็กๆ แต่เป็นเจ้าของสิทธิบริหารสื่อโฆษณาในประเทศไทยให้กับ "ทวิตเตอร์"โซเชียลมีเดียที่กำลังมาแรงในขณะนี้ บริษัทแห่งนี้ก่อตั้ง โดย นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ หรือ "หมอคิดส์"ซึ่งมีดีกรีแพทยศาสตรบัณฑิตจากศิริราช เขายังเป็นผู้คิดค้นระบบเทรดหุ้น Settrade ซึ่งขายสิทธิให้กับตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว จัดเป็น เด็กหนุ่มสติเฟื่องในวงการไอที จากการเปิดเผยผ่านรายการทีวีของพิธีกร ฝีปากกล้าคนหนึ่ง ความมั่งคั่งของเขาน่าจะมีมูลค่า กว่า 100 ล้านบาท ด้วยวัยยังไม่ถึง 30 ปี กรุงเทพธุรกิจ BizWeek จึงตามไปเจาะลึกวิธีการสร้างความมั่งคั่งของคุณหมอหนุ่มสติเฟื่องรายนี้ โดยนัดหมายกันที่สำนักงานบริษัท MCFiva ย่านใจกลางกรุง เพื่อพูดคุย เรื่องการลงทุนโดยเฉพาะ "ผมเรียนจบมาทางด้านไอทีสำหรับการแพทย์เป็นสาขาวิชาใหม่ในเมืองไทย ปัจจุบันนอกจากเป็นนักลงทุนแล้วยังทำธุรกิจส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน ที่ว่าผมมีพอร์ต 100 ล้านบาท จริงๆ รวมกันทั้งพอร์ตหุ้น อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจส่วนตัว" หมอคิดส์ เปิดประเด็น
ศุภชัย เล่าประวัติตัวเองให้ฟังว่าสมัยเด็กได้เงินไปโรงเรียนวันละ 5-10 บาท รู้สึกว่าไม่พอใช้ จะซื้อขนมก็ปาเข้าไปห่อละ 5 บาทแล้ว ไหนจะน้ำหวานอีก จึงเริ่มมาคุยกับคุณแม่ว่าจะทำอย่างไรให้มีเงินเยอะๆ แม่ก็บอกว่าให้ทำงานแล้วเอาไปฝากธนาคารหรือฝากสหกรณ์ ตอนนั้นยังเด็กมากรู้สึกตื่นเต้นว่า โอ้โห!! ใครช่างใจดีเพิ่มเงินให้เราฟรีๆ ทำให้สนใจเรื่องของดอกเบี้ยก่อน เป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจเรื่องการเงิน
"ผมเริ่มเปิดบัญชีเงินฝากของตัวเองตั้งแต่ 7-8 ขวบ ตอนนั้นก็เริ่มคิดว่าดอกเบี้ยที่แบงก์ให้ต่ำมาก จึงเกิดการเปรียบเทียบดอกเบี้ยเงินฝากของแต่ละแบงก์ และเริ่มจัดสรรเงินออม ย้ายไปฝากเงินในที่ที่ให้ผลตอบแทนดีขึ้น"
พอถึงชั้นมัธยมปลาย ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสืออ่านโน่นอ่านนี่ไปเรื่อย มีอยู่วันหนึ่งเข้าไปธนาคารพบแผ่นพับเรื่องกองทุนรวม ทำให้อยากรู้ รายละเอียดมากขึ้นเลยไปหาหนังสือมาอ่าน ทำให้รู้จักกับการลงทุนเป็นครั้งแรกว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่สามารถเลี่ยงความเสี่ยงได้โดยลงทุนให้เหมาะสม กับตัวเอง จุดนั้นเริ่มสนใจที่จะลงทุนแล้ว
เมื่อเริ่มออมจึงเป็นบันไดนำไปสู่การลงทุน ศุภชัย เล่าว่า รู้จักการลงทุนในช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือกองทุนรวมตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย แนวคิดการลงทุนที่เข้าใจตอนนั้นคนที่มีอายุน้อยจะสามารถรับความเสี่ยงได้เยอะ พออายุมากขึ้นก็จะรับความเสี่ยง ได้น้อยลงเพราะมีภาระต้องรับผิดชอบมากขึ้น ตอนนั้น คิดว่ายังเด็กอยู่เลยคิดว่าสามารถเสี่ยงได้เต็มที่แต่ อีกใจยังกลัวว่าเงินที่เก็บมาจะหายไปหรือเปล่า! เลยเริ่มต้นจากการลงทุนที่เสี่ยงต่ำก่อน ซื้อกองทุนตราสารหนี้ผสมหุ้นนิดหน่อย เพราะผลตอบแทนสูงกว่าฝากเงินในธนาคาร
"ช่วงนั้นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอยู่ประมาณ 3% แต่กองทุนที่เราลงทุนได้ผลตอบแทน 7% เราก็ดีใจ..เฮ้ยยๆ เจ๋งว่ะ! ตอนนั้นตลาดหุ้นเริ่มจะปรับตัวขึ้นมาแล้วก็ได้ผลตอบแทนรวมกันแล้วประมาณ 10% พอกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ตัดสินใจแล้วว่าต้องลงทุนหุ้น อย่างจริงจัง"
เขาเล่าว่า พอเดินเข้าไปปรึกษาพ่อกับแม่ ช่วงแรกยังไม่ได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาเคยมีประสบการณ์ลงทุนที่ไม่ดีจากสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เรียกว่าต้องคุยกันเยอะกว่าจะเข้าใจ สุดท้ายท่านก็สนับสนุนโดยการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นให้โดยใช้ชื่อ "พ่อ"ช่วงที่ศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แม้จะเรียนทางด้านการแพทย์แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเรื่องการลงทุน พอกำลังจะเรียนจบได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโครงการ Money Management Award (MM Award) ประกวดเรื่อง การบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล หรือ Personal Finance ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกก็ได้รางวัล "ชนะเลิศ"
"ศาสตร์การลงทุนถือได้ว่าผมเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด จากการพูดคุยกับผู้รู้บ้าง อ่านหนังสือบ้าง โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ผมก็อ่าน เงินเริ่มต้นของผมในการลงทุนประมาณ 1 แสนบาท ส่วนหนึ่งเป็นเงินเก็บ บางส่วนคุณพ่อก็มอบให้บ้าง"
"วีไอ" คือแนวทางที่ตอบโจทย์
ถามว่าก้าวแรกของการลงทุนเต็มตัวเป็นอย่างไร?? หมอคิดส์ ยอมรับว่า "มีเจ๊ง" ไปบ้าง ยังดีที่ว่าช่วง เริ่มต้นลงทุนปี 2543 ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นมาแล้วถือว่าโชคดีที่เข้าไปตอนที่ดัชนีอยู่ในระดับต่ำประมาณเกือบ 300 จุด ระหว่างทางก็มีทั้งกำไรและขาดทุนสลับกันไป
สไตล์การลงทุนช่วงแรกๆ มีหลายรูปแบบ ตอนยังเด็กๆ ก็ไปเข้าห้องค้า รู้สึกว่าเฮ้ย!! สนุกดีนะมันเจ๋งดี แต่อยู่ไปก็รู้ว่ามันลงทุนโดยใช้แค่ความรู้สึก ตัวเลขที่อยู่ในห้องค้ามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้เป้าหมาย ของเราเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาด้วย
"จากนั้นมาผมสนใจการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ "วีไอ" มากขึ้น ไปดูที่มูลค่าของกิจการว่าเขาทำอะไร ได้บ้าง ที่ผ่านมาวิธีการนี้มันเวิร์คมาก หุ้นหลายตัวในตลาดหุ้นเราดีขึ้นมากราคาเลยสะท้อนความเป็นจริง บางตัวสามารถทำกำไรได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นทำให้เรามั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว การลงทุนแบบ Value Investment นี่แหละน่าจะตอบโจทย์มากที่สุด" ประสบการณ์ที่มากขึ้นทำให้เขาเริ่มเรียนรู้ว่า ตลาดหุ้นเรื่องของ "จังหวะเวลา" มีความสำคัญมาก ต่างจากการออมเงินที่บอกว่า "ออมก่อนรวยกว่า" แต่สำหรับตลาดหุ้น Timing คือ "หัวใจ" การเข้าออกให้ถูกจังหวะคือ "การสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด"แน่นอนว่าหุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก แต่ถ้าเข้าออก ไม่ถูกจังหวะก็จะเสียโอกาส
ศุภชัย ให้แนวคิดในการเลือกหุ้นที่จะลงทุนประกอบด้วย 3 ขั้นตอนคือ หนึ่ง..ต้องรู้จักตัวเองก่อน ว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้ระดับไหน บางคนอาจจะชอบหุ้นเดย์เทรดซื้อปุ๊บ! ขายเลยก็ได้ แต่แบบนั้นก็มี ความเสี่ยง สอง..ดูตัวธุรกิจของเขาว่าเป็นอย่างไร เราเข้าใจธุรกิจนั้นไหม ส่วนตัวจะคิดว่า "การซื้อหุ้นคือการซื้อธุรกิจ" เขาด้วย สาม..รู้จักตลาดที่เขาทำธุรกิจ อยู่ ว่าสถานการณ์ตลาดปัจจุบันและในอนาคตนั้น จะเป็นอย่างไรต่อไป
"หลักการใหญ่ทั้ง 3 ข้อที่ผมใช้นี้ ลงทุนร้อยครั้ง..ขาดทุนน้อยครั้ง ไม่ได้บอกว่าไม่ขาดทุน แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมันสูงกว่าแนวทางแบบอื่น"
หุ้นที่ลงทุนด้วยวิธีการแบบวีไอ ศุภชัย จะเริ่มจากธุรกิจที่รู้จักเป็นอย่างดีก่อนหรือธุรกิจที่เข้าใจได้ไม่ยาก เช่นอาหารการกิน เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องกิน ต้องใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว พยายามดูธุรกิจที่เข้าถึง ง่ายๆ รูปแบบธุรกิจไม่ซับซ้อน เวลาอ่านบทวิเคราะห์จะเข้าใจง่ายว่าสถานการณ์ธุรกิจตอนนี้เป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ส่วนธุรกิจที่รู้จักดีแน่นอนว่าต้องมีธุรกิจโรงพยาบาลอยู่ด้วย
"รวย" จากวิกฤติซับไพร์ม
ถามว่าเรียนหมอมาช่วยอะไรเรื่องการลงทุนได้บ้าง!!! เขาตอบว่า ช่วยเรื่องของระบบการคิดมากกว่า เพราะการเรียนแพทย์จะสอนให้คิดเป็นระบบ รวมถึงความมีวินัยด้วยเพราะคนเป็นหมอต้องมีวินัยสูง สองสิ่งนี้สามารถนำมาปรับใช้กับการลงทุนได้เยอะ
เขาเสริมว่า อัตราส่วนทางการเงินที่ให้ความใส่ใจเวลาจะเข้าลงทุนอย่างมากคือความ "ถูก-แพง" ของราคาหุ้น หรือ พี/อี เรโช แล้วก็ Book Value เรื่องของงบการเงินนี่สำคัญมากสำหรับผู้ที่จะเป็นนักลงทุน ต้องอ่านให้ออก เพราะถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการแล้วดูบัญชีไม่เป็นจะไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
"การลงทุนก็เหมือนเล่นไพ่ คุณไม่รู้ว่าไพ่ที่อยู่ในมือคืออะไร ก็เกทับลงไป โอกาสที่จะเจ๊งก็มี เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่มีเวลาไปดู ก็ให้มืออาชีพไปดูแทนดีกว่า ไม่ต้องไปลุ้นเปิดไพ่ว่าจะออกหัวหรือก้อย"
แม้ว่าส่วนตัวจะชื่นชอบเทคโนโลยีแต่หมอคิดส์บอกว่า "ไม่ปลื้มหุ้นเทคโนโลยี" ในเมืองไทยเท่าไร เพราะส่วนใหญ่เป็นพวกเทรดดิ้งมากกว่าผลิตเองหรือถ้าจะมีก็แค่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พวกที่ทำซอฟต์แวร์หรือเว็บไซต์แทบไม่มีเลย
ถามชัดๆ ว่าในพอร์ตมีหุ้นอะไรอยู่!! เขาตอบว่า..มีไม่เยอะครับ! ก็จะมีหุ้นแบงก์ อาหาร โรงพยาบาล พลังงาน ส่วนใหญ่เป็นหุ้นบลูชิพที่มีความมั่นคงไม่หวือหวา ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้คิดจะสร้างรายได้หลักจากการลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องไปหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ แต่ผันผวนสูงเข้ามาไว้ในพอร์ต
"ผมไม่ได้เป็น VI เต็มเวลา จึงไม่มีเวลาที่จะไปรีเฟรชพอร์ตให้มันสดใหม่อยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเราก็ดูอยู่เป็นระยะๆ พยายามดูอยู่ทุกไตรมาส พอร์ตของผมจะค่อยๆ โตตามตลาดมากกว่า"
หมอคิดส์ไขคำตอบว่าทำไม! ถึงสร้างความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว เริ่มต้นมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วหลังจากเกิดวิกฤติซับไพร์ม ตอนนั้นแทบจะไม่ลงทุนเลยเพราะเริ่มมี "กลิ่น" ออกมาแล้วว่าทั่วโลกเศรษฐกิจจะไม่ดีก็เลยลดการลงทุนลง เนื่องจากตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจะเกี่ยวข้องกับนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างเยอะ พอต่างชาติขาย โอกาสที่บ้านเราจะลงเยอะก็สูง อีกอย่างสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยในบ้านเรายังค่อนข้างสูง นักลงทุนสถาบันยังไม่แข็งแรงมากนัก ความหวั่นไหวจะเป็นไปตามนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างเยอะ
"ผมมองว่าต้องมีแจ๊คพอต (หุ้นร่วง) แน่!! ก็พยายามลดการลงทุนลง ประกอบกับช่วงนั้นงานเริ่มเยอะขึ้นเลยหันมาโฟกัสที่ธุรกิจและให้มืออาชีพช่วยดูแล ตอนนั้นก็ผันเงินไปลงทุนผ่านกองทุนรวมเยอะมากเพื่อลดความเสี่ยงตรงนั้น"
เขาอธิบายต่อว่าช่วงสิบปีที่ลงทุนมา ห้าปีแรกถือว่าเป็นช่วงลองผิดลองถูก ตอนแรกๆ ยังเล่นหุ้นระยะสั้นอยู่ที่เจ๊งไปก็มี ส่วนตัวถือว่าเป็นช่วง "ลองของ" พอได้กำไรมาก็อาไป "เสี่ยง" ใหม่ จนกระทั่งพบแนวทางของตัวเอง หุ้นที่ซื้อมาตั้งแต่วิกฤติซับไพร์มบางส่วนก็ยังถือมาจนถึงวันนี้ บางตัวก็ขายออกไปบ้างเพราะราคาขึ้นมาเยอะแล้ว
"ผมมีหุ้นโรงพยาบาลตัวหนึ่งที่ให้ปันผลดี กำไร Capital Gain ก็ดี ตอนนั้นที่ลงทุนเพราะผมเป็นหมอเลยทำให้เข้าใจธุรกิจของเขา อีกอย่างได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลนั้นด้วยเลยเห็นภาพชัดเจน ถือว่าได้กำไรจากหุ้นตัวนี้พอสมควร"
หุ้นตัวดังกล่าวจะเป็นหุ้นอะไรและหุ้นตัวไหนที่สร้างความมั่งคั่งให้กับ นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ นักธุรกิจไอที และปัจจุบันเขากระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ใดบ้าง ตามต่อสัปดาห์หน้า..ห้ามพลาด!!!--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, September 03, 2012 05:39
56086 XTHAI XGEN DAS V%NETNEWS P%WKT
วิธีสร้างความรวย 'หมอคิดส์' นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ จากเงินเก็บ 'หลักแสน' สู่พอร์ตหุ้น, อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ยึดแนวทาง 'วีไอ' ตอบโจทย์ความมั่งคั่ง
ในแวดวงดิจิทัลบริษัท MCFiva Thailand จำกัด บริษัท Digital Agency เล็กๆ แต่เป็นเจ้าของสิทธิบริหารสื่อโฆษณาในประเทศไทยให้กับ "ทวิตเตอร์"โซเชียลมีเดียที่กำลังมาแรงในขณะนี้ บริษัทแห่งนี้ก่อตั้ง โดย นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ หรือ "หมอคิดส์"ซึ่งมีดีกรีแพทยศาสตรบัณฑิตจากศิริราช เขายังเป็นผู้คิดค้นระบบเทรดหุ้น Settrade ซึ่งขายสิทธิให้กับตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว จัดเป็น เด็กหนุ่มสติเฟื่องในวงการไอที จากการเปิดเผยผ่านรายการทีวีของพิธีกร ฝีปากกล้าคนหนึ่ง ความมั่งคั่งของเขาน่าจะมีมูลค่า กว่า 100 ล้านบาท ด้วยวัยยังไม่ถึง 30 ปี กรุงเทพธุรกิจ BizWeek จึงตามไปเจาะลึกวิธีการสร้างความมั่งคั่งของคุณหมอหนุ่มสติเฟื่องรายนี้ โดยนัดหมายกันที่สำนักงานบริษัท MCFiva ย่านใจกลางกรุง เพื่อพูดคุย เรื่องการลงทุนโดยเฉพาะ "ผมเรียนจบมาทางด้านไอทีสำหรับการแพทย์เป็นสาขาวิชาใหม่ในเมืองไทย ปัจจุบันนอกจากเป็นนักลงทุนแล้วยังทำธุรกิจส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน ที่ว่าผมมีพอร์ต 100 ล้านบาท จริงๆ รวมกันทั้งพอร์ตหุ้น อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจส่วนตัว" หมอคิดส์ เปิดประเด็น
ศุภชัย เล่าประวัติตัวเองให้ฟังว่าสมัยเด็กได้เงินไปโรงเรียนวันละ 5-10 บาท รู้สึกว่าไม่พอใช้ จะซื้อขนมก็ปาเข้าไปห่อละ 5 บาทแล้ว ไหนจะน้ำหวานอีก จึงเริ่มมาคุยกับคุณแม่ว่าจะทำอย่างไรให้มีเงินเยอะๆ แม่ก็บอกว่าให้ทำงานแล้วเอาไปฝากธนาคารหรือฝากสหกรณ์ ตอนนั้นยังเด็กมากรู้สึกตื่นเต้นว่า โอ้โห!! ใครช่างใจดีเพิ่มเงินให้เราฟรีๆ ทำให้สนใจเรื่องของดอกเบี้ยก่อน เป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจเรื่องการเงิน
"ผมเริ่มเปิดบัญชีเงินฝากของตัวเองตั้งแต่ 7-8 ขวบ ตอนนั้นก็เริ่มคิดว่าดอกเบี้ยที่แบงก์ให้ต่ำมาก จึงเกิดการเปรียบเทียบดอกเบี้ยเงินฝากของแต่ละแบงก์ และเริ่มจัดสรรเงินออม ย้ายไปฝากเงินในที่ที่ให้ผลตอบแทนดีขึ้น"
พอถึงชั้นมัธยมปลาย ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสืออ่านโน่นอ่านนี่ไปเรื่อย มีอยู่วันหนึ่งเข้าไปธนาคารพบแผ่นพับเรื่องกองทุนรวม ทำให้อยากรู้ รายละเอียดมากขึ้นเลยไปหาหนังสือมาอ่าน ทำให้รู้จักกับการลงทุนเป็นครั้งแรกว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่สามารถเลี่ยงความเสี่ยงได้โดยลงทุนให้เหมาะสม กับตัวเอง จุดนั้นเริ่มสนใจที่จะลงทุนแล้ว
เมื่อเริ่มออมจึงเป็นบันไดนำไปสู่การลงทุน ศุภชัย เล่าว่า รู้จักการลงทุนในช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือกองทุนรวมตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย แนวคิดการลงทุนที่เข้าใจตอนนั้นคนที่มีอายุน้อยจะสามารถรับความเสี่ยงได้เยอะ พออายุมากขึ้นก็จะรับความเสี่ยง ได้น้อยลงเพราะมีภาระต้องรับผิดชอบมากขึ้น ตอนนั้น คิดว่ายังเด็กอยู่เลยคิดว่าสามารถเสี่ยงได้เต็มที่แต่ อีกใจยังกลัวว่าเงินที่เก็บมาจะหายไปหรือเปล่า! เลยเริ่มต้นจากการลงทุนที่เสี่ยงต่ำก่อน ซื้อกองทุนตราสารหนี้ผสมหุ้นนิดหน่อย เพราะผลตอบแทนสูงกว่าฝากเงินในธนาคาร
"ช่วงนั้นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอยู่ประมาณ 3% แต่กองทุนที่เราลงทุนได้ผลตอบแทน 7% เราก็ดีใจ..เฮ้ยยๆ เจ๋งว่ะ! ตอนนั้นตลาดหุ้นเริ่มจะปรับตัวขึ้นมาแล้วก็ได้ผลตอบแทนรวมกันแล้วประมาณ 10% พอกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ตัดสินใจแล้วว่าต้องลงทุนหุ้น อย่างจริงจัง"
เขาเล่าว่า พอเดินเข้าไปปรึกษาพ่อกับแม่ ช่วงแรกยังไม่ได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาเคยมีประสบการณ์ลงทุนที่ไม่ดีจากสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เรียกว่าต้องคุยกันเยอะกว่าจะเข้าใจ สุดท้ายท่านก็สนับสนุนโดยการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นให้โดยใช้ชื่อ "พ่อ"ช่วงที่ศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แม้จะเรียนทางด้านการแพทย์แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเรื่องการลงทุน พอกำลังจะเรียนจบได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโครงการ Money Management Award (MM Award) ประกวดเรื่อง การบริหารจัดการเงินส่วนบุคคล หรือ Personal Finance ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกก็ได้รางวัล "ชนะเลิศ"
"ศาสตร์การลงทุนถือได้ว่าผมเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งหมด จากการพูดคุยกับผู้รู้บ้าง อ่านหนังสือบ้าง โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ผมก็อ่าน เงินเริ่มต้นของผมในการลงทุนประมาณ 1 แสนบาท ส่วนหนึ่งเป็นเงินเก็บ บางส่วนคุณพ่อก็มอบให้บ้าง"
"วีไอ" คือแนวทางที่ตอบโจทย์
ถามว่าก้าวแรกของการลงทุนเต็มตัวเป็นอย่างไร?? หมอคิดส์ ยอมรับว่า "มีเจ๊ง" ไปบ้าง ยังดีที่ว่าช่วง เริ่มต้นลงทุนปี 2543 ตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นมาแล้วถือว่าโชคดีที่เข้าไปตอนที่ดัชนีอยู่ในระดับต่ำประมาณเกือบ 300 จุด ระหว่างทางก็มีทั้งกำไรและขาดทุนสลับกันไป
สไตล์การลงทุนช่วงแรกๆ มีหลายรูปแบบ ตอนยังเด็กๆ ก็ไปเข้าห้องค้า รู้สึกว่าเฮ้ย!! สนุกดีนะมันเจ๋งดี แต่อยู่ไปก็รู้ว่ามันลงทุนโดยใช้แค่ความรู้สึก ตัวเลขที่อยู่ในห้องค้ามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้เป้าหมาย ของเราเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาด้วย
"จากนั้นมาผมสนใจการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ "วีไอ" มากขึ้น ไปดูที่มูลค่าของกิจการว่าเขาทำอะไร ได้บ้าง ที่ผ่านมาวิธีการนี้มันเวิร์คมาก หุ้นหลายตัวในตลาดหุ้นเราดีขึ้นมากราคาเลยสะท้อนความเป็นจริง บางตัวสามารถทำกำไรได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นทำให้เรามั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว การลงทุนแบบ Value Investment นี่แหละน่าจะตอบโจทย์มากที่สุด" ประสบการณ์ที่มากขึ้นทำให้เขาเริ่มเรียนรู้ว่า ตลาดหุ้นเรื่องของ "จังหวะเวลา" มีความสำคัญมาก ต่างจากการออมเงินที่บอกว่า "ออมก่อนรวยกว่า" แต่สำหรับตลาดหุ้น Timing คือ "หัวใจ" การเข้าออกให้ถูกจังหวะคือ "การสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด"แน่นอนว่าหุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก แต่ถ้าเข้าออก ไม่ถูกจังหวะก็จะเสียโอกาส
ศุภชัย ให้แนวคิดในการเลือกหุ้นที่จะลงทุนประกอบด้วย 3 ขั้นตอนคือ หนึ่ง..ต้องรู้จักตัวเองก่อน ว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้ระดับไหน บางคนอาจจะชอบหุ้นเดย์เทรดซื้อปุ๊บ! ขายเลยก็ได้ แต่แบบนั้นก็มี ความเสี่ยง สอง..ดูตัวธุรกิจของเขาว่าเป็นอย่างไร เราเข้าใจธุรกิจนั้นไหม ส่วนตัวจะคิดว่า "การซื้อหุ้นคือการซื้อธุรกิจ" เขาด้วย สาม..รู้จักตลาดที่เขาทำธุรกิจ อยู่ ว่าสถานการณ์ตลาดปัจจุบันและในอนาคตนั้น จะเป็นอย่างไรต่อไป
"หลักการใหญ่ทั้ง 3 ข้อที่ผมใช้นี้ ลงทุนร้อยครั้ง..ขาดทุนน้อยครั้ง ไม่ได้บอกว่าไม่ขาดทุน แต่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมันสูงกว่าแนวทางแบบอื่น"
หุ้นที่ลงทุนด้วยวิธีการแบบวีไอ ศุภชัย จะเริ่มจากธุรกิจที่รู้จักเป็นอย่างดีก่อนหรือธุรกิจที่เข้าใจได้ไม่ยาก เช่นอาหารการกิน เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องกิน ต้องใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว พยายามดูธุรกิจที่เข้าถึง ง่ายๆ รูปแบบธุรกิจไม่ซับซ้อน เวลาอ่านบทวิเคราะห์จะเข้าใจง่ายว่าสถานการณ์ธุรกิจตอนนี้เป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ส่วนธุรกิจที่รู้จักดีแน่นอนว่าต้องมีธุรกิจโรงพยาบาลอยู่ด้วย
"รวย" จากวิกฤติซับไพร์ม
ถามว่าเรียนหมอมาช่วยอะไรเรื่องการลงทุนได้บ้าง!!! เขาตอบว่า ช่วยเรื่องของระบบการคิดมากกว่า เพราะการเรียนแพทย์จะสอนให้คิดเป็นระบบ รวมถึงความมีวินัยด้วยเพราะคนเป็นหมอต้องมีวินัยสูง สองสิ่งนี้สามารถนำมาปรับใช้กับการลงทุนได้เยอะ
เขาเสริมว่า อัตราส่วนทางการเงินที่ให้ความใส่ใจเวลาจะเข้าลงทุนอย่างมากคือความ "ถูก-แพง" ของราคาหุ้น หรือ พี/อี เรโช แล้วก็ Book Value เรื่องของงบการเงินนี่สำคัญมากสำหรับผู้ที่จะเป็นนักลงทุน ต้องอ่านให้ออก เพราะถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการแล้วดูบัญชีไม่เป็นจะไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
"การลงทุนก็เหมือนเล่นไพ่ คุณไม่รู้ว่าไพ่ที่อยู่ในมือคืออะไร ก็เกทับลงไป โอกาสที่จะเจ๊งก็มี เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่มีเวลาไปดู ก็ให้มืออาชีพไปดูแทนดีกว่า ไม่ต้องไปลุ้นเปิดไพ่ว่าจะออกหัวหรือก้อย"
แม้ว่าส่วนตัวจะชื่นชอบเทคโนโลยีแต่หมอคิดส์บอกว่า "ไม่ปลื้มหุ้นเทคโนโลยี" ในเมืองไทยเท่าไร เพราะส่วนใหญ่เป็นพวกเทรดดิ้งมากกว่าผลิตเองหรือถ้าจะมีก็แค่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พวกที่ทำซอฟต์แวร์หรือเว็บไซต์แทบไม่มีเลย
ถามชัดๆ ว่าในพอร์ตมีหุ้นอะไรอยู่!! เขาตอบว่า..มีไม่เยอะครับ! ก็จะมีหุ้นแบงก์ อาหาร โรงพยาบาล พลังงาน ส่วนใหญ่เป็นหุ้นบลูชิพที่มีความมั่นคงไม่หวือหวา ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้คิดจะสร้างรายได้หลักจากการลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องไปหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ แต่ผันผวนสูงเข้ามาไว้ในพอร์ต
"ผมไม่ได้เป็น VI เต็มเวลา จึงไม่มีเวลาที่จะไปรีเฟรชพอร์ตให้มันสดใหม่อยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเราก็ดูอยู่เป็นระยะๆ พยายามดูอยู่ทุกไตรมาส พอร์ตของผมจะค่อยๆ โตตามตลาดมากกว่า"
หมอคิดส์ไขคำตอบว่าทำไม! ถึงสร้างความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว เริ่มต้นมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วหลังจากเกิดวิกฤติซับไพร์ม ตอนนั้นแทบจะไม่ลงทุนเลยเพราะเริ่มมี "กลิ่น" ออกมาแล้วว่าทั่วโลกเศรษฐกิจจะไม่ดีก็เลยลดการลงทุนลง เนื่องจากตลาดหุ้นไทยค่อนข้างจะเกี่ยวข้องกับนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างเยอะ พอต่างชาติขาย โอกาสที่บ้านเราจะลงเยอะก็สูง อีกอย่างสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยในบ้านเรายังค่อนข้างสูง นักลงทุนสถาบันยังไม่แข็งแรงมากนัก ความหวั่นไหวจะเป็นไปตามนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างเยอะ
"ผมมองว่าต้องมีแจ๊คพอต (หุ้นร่วง) แน่!! ก็พยายามลดการลงทุนลง ประกอบกับช่วงนั้นงานเริ่มเยอะขึ้นเลยหันมาโฟกัสที่ธุรกิจและให้มืออาชีพช่วยดูแล ตอนนั้นก็ผันเงินไปลงทุนผ่านกองทุนรวมเยอะมากเพื่อลดความเสี่ยงตรงนั้น"
เขาอธิบายต่อว่าช่วงสิบปีที่ลงทุนมา ห้าปีแรกถือว่าเป็นช่วงลองผิดลองถูก ตอนแรกๆ ยังเล่นหุ้นระยะสั้นอยู่ที่เจ๊งไปก็มี ส่วนตัวถือว่าเป็นช่วง "ลองของ" พอได้กำไรมาก็อาไป "เสี่ยง" ใหม่ จนกระทั่งพบแนวทางของตัวเอง หุ้นที่ซื้อมาตั้งแต่วิกฤติซับไพร์มบางส่วนก็ยังถือมาจนถึงวันนี้ บางตัวก็ขายออกไปบ้างเพราะราคาขึ้นมาเยอะแล้ว
"ผมมีหุ้นโรงพยาบาลตัวหนึ่งที่ให้ปันผลดี กำไร Capital Gain ก็ดี ตอนนั้นที่ลงทุนเพราะผมเป็นหมอเลยทำให้เข้าใจธุรกิจของเขา อีกอย่างได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลนั้นด้วยเลยเห็นภาพชัดเจน ถือว่าได้กำไรจากหุ้นตัวนี้พอสมควร"
หุ้นตัวดังกล่าวจะเป็นหุ้นอะไรและหุ้นตัวไหนที่สร้างความมั่งคั่งให้กับ นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ นักธุรกิจไอที และปัจจุบันเขากระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ใดบ้าง ตามต่อสัปดาห์หน้า..ห้ามพลาด!!!--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ