ทำไมหุ้นถ่านหินร่วง/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 31, 2012 1:06 pm
โค้ด: เลือกทั้งหมด
บทความ Value Way ฉบับวันที่ 3 กันยายน 2555
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ทำไมหุ้นถ่านหินร่วง
ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีที่ดัชนี 1,025 จุดเพิ่มขึ้นมาจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมที่ 1,214 จุด เพิ่มขึ้นถึง 18.4 เปอร์เซนต์ ดูเหมือนว่านักลงทุนทุกคนจะได้กำไรกันถ้วนหน้าในปีนี้ ถ้าดูเผินๆหุ้นในตลาดทุกบริษัทน่าจะมีราคาเพิ่มขึ้นกันหมดในตลาดขาขึ้นเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงมีหุ้นขนาดใหญ่บางบริษัทกลับราคาลดลงสวนทางดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมอย่างเช่นหุ้นที่เป็นที่นิยมของกองทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างหุ้นบ้านปู (BANPU) ที่ราคาต้นปีอยู่ที่หุ้นละ 546 บาท ในสิ้นเดือนสิงหาคมราคาอยู่ที่ 446 บาท ลดลงจากต้นปีถึง -18.3 เปอร์เซนต์ เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นบ้านปูที่เมื่อต้นปีนักวิเคราะห์ยังเชียร์ซื้อหุ้นกันอยู่เลย
ในความเป็นจริงหุ้นบ้านปูไม่ได้เป็นหุ้นเดียวที่ราคาลดลงแต่ยังรวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินแทบทั้งหมดในตลาดหุ้นทั่วโลก ถ้าดูราคาหุ้นบ้านปูย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี 2011 ราคาหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 792 บาท ค่าพีอี (ราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) เท่ากับ 10.04 เท่า ค่าพีบี (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) เท่ากับ 3.47 เท่า ขณะที่ต้นปี 2012 ราคาหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 546 บาท ค่าพีอี (ราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) เท่ากับ 6.92 เท่า ค่าพีบี (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) เท่ากับ 2.11 เท่า สิ้นเดือนสิงหาคมราคาหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 446 บาท ค่าพีอี (ราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) เท่ากับ 9.10 เท่า ค่าพีบี (ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) เท่ากับ 1.54 เท่า จะเห็นว่าในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นบ้านปูลดลงมาตลอดทางจากต้นปี 2011 ถึงปัจจุบันลดลงถึง -43.7% หรือเกือบครึ่งหนึ่ง
ถ้าสมมุติฐานที่ว่าราคาหุ้นบ้านปูเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกับราคาถ่านหิน จะพบว่าราคาถ่านหินที่ตลาดกลางออสเตรเลียในช่วงสองปีที่ผ่านมามีราคาลดลงเช่นเดียวกัน จากต้นปี 2011 ราคาถ่านหินเฉลี่ยอยู่ที่141 เหรียญต่อตัน ในเดือนมกราคมปี 2012 ราคาถ่านหินลดลงเหลือ 124 เหรียญต่อตัน เดือนกรกฏาคม ราคาถ่านหินเหลือเพียง 90 เหรียญต่อตัน แสดงว่าในช่วงสองปีทีผ่านมาราคาถ่านหินลดลงไปถึง -36 เปอร์เซนต์ แสดงให้เห็นว่าว่าราคาหุ้นบ้านปูมีความสัมพันธ์กับราคาถ่านหินอย่างชัดเจน
ทำไมราคาถ่านหินมีราคาลดลงในช่วงสองปีนี้ทั้งๆที่ราคาน้ำมันไม่ได้ลดลงมากในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งๆที่ในสมัยก่อนราคาถ่านหินจะเคลื่อนไหวไปกับราคาน้ำมันเพราะถือว่าเป็นสินค้าทดแทนได้ ในช่วงที่ราคาน้ำมันสูง ผู้ใช้อย่างโรงไฟฟ้าหรือโรงงานอุตสาหกรรมจะเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าหรือไอน้ำจากน้ำมันเตามาเป็นถ่านหินเพราะทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง เช่นเดียวกันในช่วงเวลาที่ราคาถ่านหินสูง ผู้ใช้จะเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเตาในการผลิตแทน ทำให้ราคาน้ำมันและราคาถ่านหินปรับตัวไปในทิศทางเดียวกันตลอดมา
แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันและราคาถ่านหินเริ่มมีราคาในทิศทางที่เปลี่ยนไป เนื่องจากประเทศผู้ผลิตถ่านหินอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้ามากกว่า 50 เปอร์เซนต์ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เริ่มเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมาเป็นก๊าซธรรมชาติมากขึ้นจากค้นพบเทคโนโลยี่การขุดเจาะเชลก๊าซ (Shale Gas) ที่ถูกลงในอเมริกาในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ราคาก๊าซธรรมชาติลดลงจากราคากว่า 5 เหรียญต่อล้านบีทียูมาอยู่ที่ 3 เหรียญต่อล้านบีทียูและคาดการณ์ว่าในอนาคตราคาก๊าซธรรมชาติในอเมริกาจะลดลงเหลือเพียงราคาถูกกว่า 2 เหรียญต่อล้านบีทียูซึ่งถือว่าเป็นราคาก๊าซธรรมชาติที่ถูกที่สุดในโลก
เมื่อราคาก๊าซธรรมชาติลดลงทำให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมาเป็นก๊าซธรรมชาติมากขึ้น การเปลี่ยนวัตถุดิบของโรงไฟฟ้านี้ใช้เงินลงทุนไม่มากนักแต่คุ้มค่าในระยะยาว ทำให้ถ่านหินที่ผลิตได้ในช่วงสองปีนี้มีปริมาณมากเกินกว่าที่ตลาดในประเทศอเมริกาจะรองรับได้ ผู้ผลิตถ่านหินในอเมริกาต้องขายถ่านส่วนเกินออกมาในตลาดโลกในราคาที่ถูกลงหรืออาจจะต้องเรียกว่าขายดัมพ์ตลาดเลยทีเดียว ทำให้ราคาถ่านหินทั่วโลกลดลงมาโดยตลอด
แนวโน้มของการเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมาเป็นก๊าซธรรมชาตินั้นคงไม่หยุดง่ายๆเพราะก๊าซธรรมชาตินอกเหนือจากได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนการผลิตแล้วยังปล่อยไอเสียสู่บรรยากาศน้อยกว่า นักอนุรักษ์ธรรมชาติมักให้การรับรองการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติมากกว่าการผลิตจากถ่านหินหรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นอกเหนือจากนั้นการขอตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินมักได้รับการต่อต้านจากชุมชนโดยรอบเพราะเป็นห่วงในเรื่องของสิ่งแวดล้อม
สถานการณ์ของหุ้นถ่านหินในช่วงต่อจากนี้คงยังไม่ดีนักโดยข่าวร้ายที่สุดของอุตสาหกรรมนี้คือการที่บริษัทเชลล์กรุ๊ปของเนเธอร์แลนด์จับมือกับบริษัทน้ำมันของจีนเริ่มการขุดสำรวจเชลก๊าซในเมืองจีนโดยคาดการณ์ว่าจีนจะเป็นแหล่งเชลก๊าซใหญ่อันดับสองของโลกและจีนยังเป็นประเทศที่ใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้ามากที่สุดในโลก ผู้บริหารบริษัทถ่านหินคงต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดต่อไปในสถานการณ์ที่ถูกกดดันรอบข้างจากแหล่งพลังงานที่ถูกกว่าและสะอาดกว่าอย่างก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดานอย่างเชลก๊าซในอนาคต