สองดอกเตอร์ วิพากษ์!! วิธีรวยแบบ 'บัฟเฟตต์'
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 27, 2012 2:10 am
สองดอกเตอร์ วิพากษ์!! วิธีรวยแบบ 'บัฟเฟตต์'
ไขความรับวิธีรวยแบบ 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' มองในมุม 2 นักเศรษฐศาสตร์ พร้อมให้เหตุผลว่า บัฟเฟตต์มีพฤติกรรม 'เหมือนผู้หญิง' มีความนิ่ง ละเอียดอ่อน และไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงมาก
เจ้าของนามปากกา "วีรกร ตรีเศศ" รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง เจ้าของผลงานหนังสือชุด "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี" วิพากษ์แนวคิดพื้นฐานการลงทุนหุ้นคุณค่าแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์
ข้อแรก..เราต้องคิดว่าการซื้อหุ้นเป็นการลงทุนในบริษัทไม่ใช่ลงทุนในหุ้นและต้องคิดว่าเรามีความเป็นเจ้าของบริษัทนั้น สำคัญที่สุดเราต้องใช้ "ตรรกะ" (ความคิด) ในการตัดสินใจมากกว่าใช้ "อารมณ์"
ข้อสอง..บัฟเฟตต์ลงทุนระยะยาว ไม่นิยมซื้อขายหุ้นระยะสั้นและมุ่งไปที่หุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
ข้อสาม..เขาเป็นคนบุคลิกสุขุมจะซื้อหุ้นเฉพาะตอนที่คนอื่นกำลังตกใจ (ขาย) เวลาที่คนอื่นกำลังบ้าคลั่ง (ไล่ซื้อ) เขาจะถือเงินสด "รอ" เช่น ในปี 2551 ตอนเกิดวิกฤติซับไพร์ม เขารอจนหุ้นตกหนักๆ แล้วทยอยเข้าไปซื้อ ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้เข้าไปลงทุนตราสารแปลกๆ ที่ไม่รู้จักเหมือนคนอื่น ความเป็นคนสุขุมรอบคอบยังทำให้ทุกคนเชื่อถือเขา
นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังเจ้าของนามปากกา "วีรกร ตรีเศศ" มองความพิเศษอีกประการหนึ่งของบัฟเฟตต์ว่า เขาจะไม่ลงทุนในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ การที่ไม่ลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ ก็คือ "การบริหารความเสี่ยง" แบบหนึ่ง เช่น ก่อนที่จะเกิดวิกฤติซับไพร์มถ้าเขาไปลงทุนตราสาร CDO (Collateralized debt obligations) เหมือนกับคนอื่นก็คงจะเสียหายหนักเช่นกัน แต่เขากลับไม่ได้ลงทุนเลย
อาจารย์วรากรณ์ ยกตัวอย่างหุ้นคลาสสิกหลายตัวที่บัฟเฟตต์ยังคงถืออยู่และเก็บเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง เช่นหุ้นโคคา โคล่า ที่ลงทุนมานานเกิน 30 ปี สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็น "หมื่นเท่า" และไม่คิดขายออกไปเลย มีข้องสังเกตุส่วนตัวว่าจะมีหุ้นเพียงตัวเดียวซึ่งบัฟเฟตต์อาจจะลงทุนหุ้นตัวนี้ด้วยอารมณ์นั่นคือหุ้นหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ นั่นอาจเป็นเพราะเขามีความผูกพันกับอาชีพส่งหนังสือพิมพ์สมัยยังเป็นเด็กก็ได้
“บัฟเฟตต์จะมีแนวคิดการลงทุนข้อหนึ่งคือ ต้องมีหลักการทางเศรษฐศาสตร์สนับสนุน ถ้าปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคไม่เอื้อต่ออุตสาหกรรมนั้น เขาอาจไม่พิจารณาลงทุน”
คุณสมบัติสำคัญที่นักลงทุนควรทำตามอย่างบัฟเฟตต์ ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ ก็คือ การเชื่อในความคิดของตัวเองมากกว่าจะไปลงทุนตามคนอื่น บัฟเฟตต์จะอ่านบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์แค่ผ่านๆ แต่จะเชื่อใน “ตัวละคร” นั่นคือตัวผู้บริหารบริษัทมากกว่า ถ้ายังคงสามารถบริหารได้อย่างดีเขาจะยังลงทุนหุ้นตัวนั้นต่อไป เช่น บริษัทโคคา โคล่า เขามีความเชื่อว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรผู้คนก็ยังดื่มโค้ก หรือ Wrigley's ผู้ผลิตหมากฝรั่ง ก็ยังคงมีคนเคี้ยวเสมอ
ส่วนมุมมองว่าทำไม! ผู้หญิงถึงมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนมากกว่าผู้ชาย รศ.ดร.วรากรณ์ วิเคราะห์ว่า บัฟเฟตต์เป็นคน "ไม่ชอบความเสี่ยง" เหมือนนิสัยผู้หญิง สังเกตุได้ว่าผู้ชายจะนิยมรับความเสี่ยงมากกว่า จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม! เขาถึงประสบความสำเร็จในการลงทุน
หากจับแนวคิดบัฟเฟตต์มาวิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย อาจารย์วรากรณ์ คิดว่าหุ้นไทยตอนนี้กำลังน่าลงทุนอย่างยิ่ง เพราะจะได้อานิสงส์จากการที่พม่าเปิดประเทศ ยกตัวอย่างตอนที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆ เศรษฐกิจฮ่องกงก็เติบโตเพราะทั่วโลกต้องไปตั้งสำนักงานที่ฮ่องกง เพื่อปูทางเข้าสู่ประเทศจีน หากดูจากความพร้อมของพม่าตอนนี้ยังต้องพึ่งพาประเทศไทยอยู่มาก โดยเฉพาะสินค้าเช่นพวกวัสดุก่อสร้าง อาหารและอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากตอนนี้ออฟฟิศเช่าเริ่มมีคนต่างชาติมาเช่าเพิ่มมากขึ้นเพื่อตั้งสำนักงานรอเข้าไปทำธุรกิจในพม่า ซึ่งชัดเจนว่าพม่าน่าจะเป็นตัวเติมเต็มเศรษฐกิจไทยที่ดี ตลาดหุ้นไทยจึงน่าจะคึกคักตามไปด้วย
“ถามว่าน่าจะลงทุนหุ้นกลุ่มไหน ลองไปดูหุ้น 30 ตัว ที่จัดอยู่ในกระดานอาเซียน (ASEAN Linkage) รับรองได้ว่าจะได้รับความสนใจจากต่างชาติมากขึ้น หลักๆ น่าจะเป็นกลุ่มพลังงานและธนาคารที่น่าลงทุน”
"ดร.ยุ้ย" เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จาก Claremont University สหรัฐอเมริกา ออกตัวว่าได้อ่านหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หลายเล่มทำให้เข้าใจแนวคิดวีไอในระดับหนึ่ง สิ่งที่บัฟเฟตต์ใช้เป็นแนวทางการลงทุนเกือบทุกครั้ง เขาจะดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี และเลือกลงทุนบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง เขาต้องมั่นใจว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะยังมีคนใช้บริการหรือซื้อของจากบริษัทนี้อยู่ถึงจะลงทุน นอกจากนี้เขาจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ไม่เข้าใจธุรกิจ เช่นพวกหุ้นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
บัฟเฟตต์เคยบอกว่า ชอบหุ้นที่คล้ายๆ กับ "ตราสารหนี้ชั้นดี" หมายถึงหุ้นที่สามารถสร้างรายได้ในรูปเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ..มั่นคง บริษัทนั้นอาจจะต้องก่อตั้งเป็นเวลานานได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความมั่นคง ส่วนแนวคิดในการขายหุ้นออกไปนั้น เขาจะต่างจากเบนจามิน เกรแฮม ที่เป็นอาจารย์ของเขาที่จะขายหุ้นเมื่อกำลังจะตก แต่เขาจะเริ่มขายเมื่อมูลค่าของกิจการเริ่มลดลง
“การพิจารณาว่ามูลค่าหรือ Valuation ของกิจการในแบบของบัฟเฟตต์ จะไม่ได้ดูที่ตัวเลขแต่มองว่ายังคงมีความได้เปรียบในการแข่งขันอยู่มั๊ย ถ้าเริ่มน้อยลงเขาก็จะขายออกแล้วถือเงินสดรอ”
ในเชิงพฤติกรรมการตัดสินใจ ดร.ยุ้ย คิดว่าบัฟเฟตต์มีพฤติกรรมที่ "เหมือนผู้หญิง" คือมีความนิ่งและละเอียดอ่อน ไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงมาก ขณะที่ผู้ชายพร้อมจะกล้าได้กล้าเสีย นอกจากนี้เขายังกล้ายอมรับตัวเองว่าไม่มีความรู้ในบางเรื่องเพียงพอ เช่นเรื่องของเทคโนโลยี แต่ผู้ชายคิดว่าตัวเองรู้ไปหมดทุกเรื่อง
นอกจากนี้ การที่บัฟเฟตต์เป็นคนที่จิตใจไม่อ่อนไหวง่ายและไม่พร้อมรับความเสี่ยง ทำให้เขามีความนิ่งในสภาวะการลงทุนที่ทุกคนกำลังฮึกเฮิม แม้จะมีคนพูดว่าอาจจะตกขบวนรถไฟแล้วแต่เขาก็ไม่สนใจเพราะไม่สามารถคาดเดาอนาคตข้างหน้าได้ ทำให้เขาไม่ต้องขาดทุนเหมือนกับคนอื่นที่แห่ลงทุนในช่วงฟองสบู่ดอทคอม
ที่สำคัญเขายังมองเรื่องตัวบุคคลมากกว่าผลกำไร เขาเลือกที่จะลงทุนในบริษัทที่มีผู้บริหารซึ่งเขาเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้เขาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดที่จะย้ายไปลงทุนที่อื่นเพียงเพราะว่าผลประกอบการตกลงไปเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าให้แนะนำวิธีการลงทุนแบบบัฟเฟตต์กับตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน เธอคิดว่า การลงทุนระยะยาวน่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าระยะสั้น ถ้าพิจารณาภาคธุรกิจที่มีเศรษฐกิจมหภาคสนับสนุนกลุ่มอุตสหากรรมที่น่าลงทุนน่าจะเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเพราผู้คนอย่างไรก็ต้องกินต้องใช้
รวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ถ้าหากเศรษฐกิจไทยโตย่อมมีความต้องการสินเชื่อมากขึ้น และระบบเศรษฐกิจไทย 90% ยังเป็นเอสเอ็มอีที่ยังคงต้องพึ่งพาระบบธนาคาร นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่อยู่อาศัยซึ่งจะเติบโตพร้อมกับการขยายตัวของประชากรที่เข้าสู่เมืองมากขึ้น..ดร.ยุ้ย พยากรณ์!!!
ไขความรับวิธีรวยแบบ 'วอร์เรน บัฟเฟตต์' มองในมุม 2 นักเศรษฐศาสตร์ พร้อมให้เหตุผลว่า บัฟเฟตต์มีพฤติกรรม 'เหมือนผู้หญิง' มีความนิ่ง ละเอียดอ่อน และไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงมาก
เจ้าของนามปากกา "วีรกร ตรีเศศ" รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง เจ้าของผลงานหนังสือชุด "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี" วิพากษ์แนวคิดพื้นฐานการลงทุนหุ้นคุณค่าแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์
ข้อแรก..เราต้องคิดว่าการซื้อหุ้นเป็นการลงทุนในบริษัทไม่ใช่ลงทุนในหุ้นและต้องคิดว่าเรามีความเป็นเจ้าของบริษัทนั้น สำคัญที่สุดเราต้องใช้ "ตรรกะ" (ความคิด) ในการตัดสินใจมากกว่าใช้ "อารมณ์"
ข้อสอง..บัฟเฟตต์ลงทุนระยะยาว ไม่นิยมซื้อขายหุ้นระยะสั้นและมุ่งไปที่หุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
ข้อสาม..เขาเป็นคนบุคลิกสุขุมจะซื้อหุ้นเฉพาะตอนที่คนอื่นกำลังตกใจ (ขาย) เวลาที่คนอื่นกำลังบ้าคลั่ง (ไล่ซื้อ) เขาจะถือเงินสด "รอ" เช่น ในปี 2551 ตอนเกิดวิกฤติซับไพร์ม เขารอจนหุ้นตกหนักๆ แล้วทยอยเข้าไปซื้อ ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้เข้าไปลงทุนตราสารแปลกๆ ที่ไม่รู้จักเหมือนคนอื่น ความเป็นคนสุขุมรอบคอบยังทำให้ทุกคนเชื่อถือเขา
นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังเจ้าของนามปากกา "วีรกร ตรีเศศ" มองความพิเศษอีกประการหนึ่งของบัฟเฟตต์ว่า เขาจะไม่ลงทุนในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ การที่ไม่ลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ ก็คือ "การบริหารความเสี่ยง" แบบหนึ่ง เช่น ก่อนที่จะเกิดวิกฤติซับไพร์มถ้าเขาไปลงทุนตราสาร CDO (Collateralized debt obligations) เหมือนกับคนอื่นก็คงจะเสียหายหนักเช่นกัน แต่เขากลับไม่ได้ลงทุนเลย
อาจารย์วรากรณ์ ยกตัวอย่างหุ้นคลาสสิกหลายตัวที่บัฟเฟตต์ยังคงถืออยู่และเก็บเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง เช่นหุ้นโคคา โคล่า ที่ลงทุนมานานเกิน 30 ปี สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็น "หมื่นเท่า" และไม่คิดขายออกไปเลย มีข้องสังเกตุส่วนตัวว่าจะมีหุ้นเพียงตัวเดียวซึ่งบัฟเฟตต์อาจจะลงทุนหุ้นตัวนี้ด้วยอารมณ์นั่นคือหุ้นหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ นั่นอาจเป็นเพราะเขามีความผูกพันกับอาชีพส่งหนังสือพิมพ์สมัยยังเป็นเด็กก็ได้
“บัฟเฟตต์จะมีแนวคิดการลงทุนข้อหนึ่งคือ ต้องมีหลักการทางเศรษฐศาสตร์สนับสนุน ถ้าปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคไม่เอื้อต่ออุตสาหกรรมนั้น เขาอาจไม่พิจารณาลงทุน”
คุณสมบัติสำคัญที่นักลงทุนควรทำตามอย่างบัฟเฟตต์ ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ ก็คือ การเชื่อในความคิดของตัวเองมากกว่าจะไปลงทุนตามคนอื่น บัฟเฟตต์จะอ่านบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์แค่ผ่านๆ แต่จะเชื่อใน “ตัวละคร” นั่นคือตัวผู้บริหารบริษัทมากกว่า ถ้ายังคงสามารถบริหารได้อย่างดีเขาจะยังลงทุนหุ้นตัวนั้นต่อไป เช่น บริษัทโคคา โคล่า เขามีความเชื่อว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรผู้คนก็ยังดื่มโค้ก หรือ Wrigley's ผู้ผลิตหมากฝรั่ง ก็ยังคงมีคนเคี้ยวเสมอ
ส่วนมุมมองว่าทำไม! ผู้หญิงถึงมีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนมากกว่าผู้ชาย รศ.ดร.วรากรณ์ วิเคราะห์ว่า บัฟเฟตต์เป็นคน "ไม่ชอบความเสี่ยง" เหมือนนิสัยผู้หญิง สังเกตุได้ว่าผู้ชายจะนิยมรับความเสี่ยงมากกว่า จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม! เขาถึงประสบความสำเร็จในการลงทุน
หากจับแนวคิดบัฟเฟตต์มาวิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย อาจารย์วรากรณ์ คิดว่าหุ้นไทยตอนนี้กำลังน่าลงทุนอย่างยิ่ง เพราะจะได้อานิสงส์จากการที่พม่าเปิดประเทศ ยกตัวอย่างตอนที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆ เศรษฐกิจฮ่องกงก็เติบโตเพราะทั่วโลกต้องไปตั้งสำนักงานที่ฮ่องกง เพื่อปูทางเข้าสู่ประเทศจีน หากดูจากความพร้อมของพม่าตอนนี้ยังต้องพึ่งพาประเทศไทยอยู่มาก โดยเฉพาะสินค้าเช่นพวกวัสดุก่อสร้าง อาหารและอสังหาริมทรัพย์ เห็นได้จากตอนนี้ออฟฟิศเช่าเริ่มมีคนต่างชาติมาเช่าเพิ่มมากขึ้นเพื่อตั้งสำนักงานรอเข้าไปทำธุรกิจในพม่า ซึ่งชัดเจนว่าพม่าน่าจะเป็นตัวเติมเต็มเศรษฐกิจไทยที่ดี ตลาดหุ้นไทยจึงน่าจะคึกคักตามไปด้วย
“ถามว่าน่าจะลงทุนหุ้นกลุ่มไหน ลองไปดูหุ้น 30 ตัว ที่จัดอยู่ในกระดานอาเซียน (ASEAN Linkage) รับรองได้ว่าจะได้รับความสนใจจากต่างชาติมากขึ้น หลักๆ น่าจะเป็นกลุ่มพลังงานและธนาคารที่น่าลงทุน”
"ดร.ยุ้ย" เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จาก Claremont University สหรัฐอเมริกา ออกตัวว่าได้อ่านหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หลายเล่มทำให้เข้าใจแนวคิดวีไอในระดับหนึ่ง สิ่งที่บัฟเฟตต์ใช้เป็นแนวทางการลงทุนเกือบทุกครั้ง เขาจะดูงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี และเลือกลงทุนบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง เขาต้องมั่นใจว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะยังมีคนใช้บริการหรือซื้อของจากบริษัทนี้อยู่ถึงจะลงทุน นอกจากนี้เขาจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ไม่เข้าใจธุรกิจ เช่นพวกหุ้นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
บัฟเฟตต์เคยบอกว่า ชอบหุ้นที่คล้ายๆ กับ "ตราสารหนี้ชั้นดี" หมายถึงหุ้นที่สามารถสร้างรายได้ในรูปเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ..มั่นคง บริษัทนั้นอาจจะต้องก่อตั้งเป็นเวลานานได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความมั่นคง ส่วนแนวคิดในการขายหุ้นออกไปนั้น เขาจะต่างจากเบนจามิน เกรแฮม ที่เป็นอาจารย์ของเขาที่จะขายหุ้นเมื่อกำลังจะตก แต่เขาจะเริ่มขายเมื่อมูลค่าของกิจการเริ่มลดลง
“การพิจารณาว่ามูลค่าหรือ Valuation ของกิจการในแบบของบัฟเฟตต์ จะไม่ได้ดูที่ตัวเลขแต่มองว่ายังคงมีความได้เปรียบในการแข่งขันอยู่มั๊ย ถ้าเริ่มน้อยลงเขาก็จะขายออกแล้วถือเงินสดรอ”
ในเชิงพฤติกรรมการตัดสินใจ ดร.ยุ้ย คิดว่าบัฟเฟตต์มีพฤติกรรมที่ "เหมือนผู้หญิง" คือมีความนิ่งและละเอียดอ่อน ไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงมาก ขณะที่ผู้ชายพร้อมจะกล้าได้กล้าเสีย นอกจากนี้เขายังกล้ายอมรับตัวเองว่าไม่มีความรู้ในบางเรื่องเพียงพอ เช่นเรื่องของเทคโนโลยี แต่ผู้ชายคิดว่าตัวเองรู้ไปหมดทุกเรื่อง
นอกจากนี้ การที่บัฟเฟตต์เป็นคนที่จิตใจไม่อ่อนไหวง่ายและไม่พร้อมรับความเสี่ยง ทำให้เขามีความนิ่งในสภาวะการลงทุนที่ทุกคนกำลังฮึกเฮิม แม้จะมีคนพูดว่าอาจจะตกขบวนรถไฟแล้วแต่เขาก็ไม่สนใจเพราะไม่สามารถคาดเดาอนาคตข้างหน้าได้ ทำให้เขาไม่ต้องขาดทุนเหมือนกับคนอื่นที่แห่ลงทุนในช่วงฟองสบู่ดอทคอม
ที่สำคัญเขายังมองเรื่องตัวบุคคลมากกว่าผลกำไร เขาเลือกที่จะลงทุนในบริษัทที่มีผู้บริหารซึ่งเขาเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้เขาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดที่จะย้ายไปลงทุนที่อื่นเพียงเพราะว่าผลประกอบการตกลงไปเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าให้แนะนำวิธีการลงทุนแบบบัฟเฟตต์กับตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน เธอคิดว่า การลงทุนระยะยาวน่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าระยะสั้น ถ้าพิจารณาภาคธุรกิจที่มีเศรษฐกิจมหภาคสนับสนุนกลุ่มอุตสหากรรมที่น่าลงทุนน่าจะเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเพราผู้คนอย่างไรก็ต้องกินต้องใช้
รวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ถ้าหากเศรษฐกิจไทยโตย่อมมีความต้องการสินเชื่อมากขึ้น และระบบเศรษฐกิจไทย 90% ยังเป็นเอสเอ็มอีที่ยังคงต้องพึ่งพาระบบธนาคาร นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่อยู่อาศัยซึ่งจะเติบโตพร้อมกับการขยายตัวของประชากรที่เข้าสู่เมืองมากขึ้น..ดร.ยุ้ย พยากรณ์!!!
