Thai VI

ช่วยแนะนําวิธีแก้การขายหมูให้ทีครับ

21-patty เขียน:ช่วยแนะนําวิธีแก้การขายหมูให้ทีครับ

วิธีแก้ง่ายมากครับ...
ถ้าไม่อยากขายหมู ต้องไม่ขายหุ้นครับ ฮ่า...

สำหรับผมมีหลายวิธีครับ

- ไม่ดู Port ตัวเอง หรือ ราคาหุ้นบ่อยๆ
(ผมดูบ่อย แต่ไม่ค่อยว่อกแว่ก)

- หุ้นเติบโต ถือไปเรื่อยๆ จะขายเมื่อรู้สึกว่ามันเริ่มไม่โต โตช้า หรือ มีตัวอื่นที่เรามั่นใจว่าโตเร็วกว่าแน่ๆ

- หุ้นปันผลดี ถือไปเรื่อยๆ ไม่ต้องขาย ตราบใดที่ยังปันผลในอัตราที่เราคาดหวัง และผลการดำเนินงานระยะยาวยังดีต่อเนื่อง

- ไม่สวิิทช์หุ้นบ่อยๆ ถ้าไม่มั่นใจว่าตัวใหม่ดีกว่าตัวเดิมที่ถืออยู่ อย่างมีนัยยะ

- ถ้าอดใจไม่ไหว แบ่งขาย ไม่ขายทั้งหมด เวลาขายหมู จะได้ยังรู้สึก ok บ้าง
(แต่เวลาผมสวิทช์หุ้น ผมขายหมดเลย แต่อาจแบ่งขาย 2-3 ไม้ และ นานเป็นปีๆผมถึงสวิทช์ครั้งนึง)

ถ้าเรารู้ว่าเป็นหมู เราจะไม่ขาย
แล้วทำไมถึงขาย...เพราะเหตุผลอะไร...เพราะได้กำไรแล้วใช่หรือไม่
แสดงว่าเรายังไม่รู้จักหุ้นที่เราถือดีพอ....เราจึงขาย หรือไม่รู้ราคาเป้าหมายในใจ หรือรู้แต่ประเมินราคาผิดไป
ไม่มีใครขายได้ที่ราคาสูงสุดหรอกครับ.....

ขายหมู ดีกว่า ขายจรวด

สุกร หรือ หมู เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดในวงศ์ Suidae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sus domesticus โดยประเภทของพันธุ์สุกร แบ่งออกเป็น
1. ประเภทพันธุ์มัน (Lard Type)
ได้แก่สุกรพันธุ์พื้นเมือง พันธุ์ควาย พันธุ์ราด พันธุ์พวง พันธุ์กระโดน และพันธุ์ไหหลำ

2. ประเภทพันธุ์เบคอน (Bacon Type)
ได้แก่ พันธุ์ลาร์จไวท์ และพันธุ์แลนด์เรซ

3. ประเภทพันธุ์เนื้อ (Meat Type)
ได้แก่ พันธุ์ดูรอค พันธุ์แฮมเชียร์ และพันธุ์เพียแทรน


ถ้าเราเอาหมู "พันธุ์เบคอน" ไปเร่ขายในราคา "หมูพันธุ์มัน" ซึ่งมีราคาถูกกว่า...นั่นแหล่ะคือปัญหา!!!
เรื่องราวทั้งหมดมันอยู่ที่ว่า "เรารู้จักหมู(ที่เราเลี้ยงอยู่) ดีเพียงพอหรือยัง?"
เราเลี้ยงหมู และขุนมันมาเป็นอย่างดี
ผมว่า...ถ้าเรารู้จักมันดีพอ เราคงไม่นำมันไปขายในสิ่งที่ "ผิดที่, ผิดราคา และผิดเวลา" หรอกนะครับ

ชอบขายหมู
ไม่เห็นจำเป็น
ต้องแก้ไขอะไรนี่ครับ
ดีเสียอีก
ที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ

คนที่ชอบขายหมูแสดงว่าเก่ง
เลือกหุ้นได้เก่งมากๆ ราคาจึงขึ้นไปมาก
ถ้าขึ้นไปน้อย ก็จะไม่เรียกว่าขายหมู
จขกท กำลังจะรวย อนาคตรุ่งแน่

ถ้าเราได้ซื้อและขายหมูหลายๆรอบ น่าจะเป็นการดีมากกว่าซื้อและขายได้สูงยอดแค่รอบเดียว

ก็เพราะยังมีคนขายหมูอยู่ในตลาด..... คุณถึงได้มีโอกาสเลี้ยงมันแล้วเอาไปขายต่อใงครับ

ที่น่าจะบ่นควรจะเป็นตอนซื้อมานึกว่าเป็นหมู เลี้ยงๆไปกลายเป็นหมา ขายให้ใครไม่มีใครเอาหาก
เคยได้ยินเพลง ผู้ใหญ่ลีรึเปล่าครับ มีท่อนหนี่งเค้าบอกว่า.....สุกรนั้นไซ้คือหมาน้อยธรรมดา หมาน้อย.. หมาน้อย..ธรรมดา

สรุปๆก็คือว่าได้เงินมาแล้วอย่าเอาไปซื้อหมาแล้วกัน

ผมขออนุญาตให้ข้อคิดไว้สามข้อนะครับ
1.ยิ่งเราเข้าใจในธุรกิจที่เราลงทุนทั้งแง่บวกแง่ลบ เรายิ่งมั่นใจในมูลค่าของมันครับ
2.เป็นเรื่องของการทำตามระบบที่วางไว้ครับ
พี่ปิ๊กสอนผมว่า ถ้าเราไม่ทำตามแผนที่เราวางไว้ เราตัดสินใจด้วยอารมณ์ มันก็ไม่ต่างอะไรจากแมงเม่าทั่วๆไปครับ
ดั้งนั้น เมื่อผลลัพธ์ไม่ต่างกัน เราจะเสียเวลาศึกษาการลงทุนไปเพื่ออะไร
3.ถ้าขายด้วยเหตุผลที่ดีพอ แล้วหุ้นยังวิ่งต่อ ไม่ต้องเสียใจครับ หุ้นไม่ได้วิ่งตามพื้นฐานอย่างเดียวเสมอไป มูลค่าที่แต่ละคนคิดได้เองก็ไม่เท่ากัน
เอาเวลาไปวิเคราะห์หุ้นตัวต่อไปดีกว่าครับ

เคยถือหมูไว้จนมันกลายร่างเป็นหมาเพราะเหตุเหนือความคาดหมายไม๊ครับ

บางที่หมูขายออกไปบ้างก็ดี ฮ่าๆๆๆ

ว่าไปตอนนี้ราคาหมูลงนะครับ

ถ้าขายหมูไปเเล้ว...
เเนะนำให้ฝึกคิดบวกหลัง"ขายหมู"คือ การให้ทาน เเบ่งกันรวย หรือถ้าHard coreหน่อยก็คิดว่าการเสียทรัพย์นั้นเป็นการสะเดาะห์เคราะห์...ผมก็ขายหมูบ่อย เเต่ไม่ได้ชอบนะ

คราวนี้มาดูกันครับว่าทำไมจึงขายหมูอยู่ร่ำไป...

...พอดีวันศุกร์ที่ผ่านมาผมได้ดูคลิป A here ที่สัมภาษณ์Toon Bodyslam
อยู่ๆก็รู้สึก เหมือนเฮียเเกสอนการลงทุนให้ผมทางอ้อม...


นาทีที่ 1:30
คุณหนุ่มถามว่ารู้สึกอย่างไร กับคนที่มาละเมิดลิขสิทธิ์"เพลง"ของตนเอง ตูนตอบว่าเฉยๆ ถ้าเราไปนั่งเศร้ากับมันเราก็จะไม่มีเเรงบันดาลใจดีๆ

นาทีที่ 7:30 อีกคำถามคือถ้าวันหนึ่งชื่อเสียงหมดไปจะเตรียมรับมืออย่างไร?
ตูนตอบประมาณว่า เราต้องกลับมายึดความสุขเเรกของเราก่อน ทำเเก่นนี้ให้เเข็งเเรงก่อนถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะทุกข์น้อย ซึ่งถ้าไปยึดติดกับเปลือกเช่นชื่อเสียงเงินทองพอเราเสียมันไปจะทุกข์มาก

ผมกลับมามองตัวเอง ถามตัวเองว่าผมลงทุนเพราะอะไร? ผมลงทุนเพราะอยากได้เงิน
ถ้า"เงิน"ตั้งนำ ไม่ว่างานไหนมันอันตราย เพราะจะมาคู่กับโลภ กลัว เเละนำไปสู่ความเสี่ยง...นำไปสู่การขายหมูเพราะกลัว
ผมยึดอยู่ที่เปลือกรึเปล่า?...เเค่เอาเงินเป็นที่ตั้ง ผมว่ามันก็มาผิดทางตั้งเเต่เเรกเเล้ว มันเป็นเเค่เปลือกของ"หุ้น" ส่วนเเก่นของมันคืออะไร...ลองกลับไปดูความหมายของ"หุ้น"ดูครับเเละที่สำคัญผมมองว่ามันคือเเก่นของการลงทุนเเบบVIเช่นกัน

ซึ่งเเก่นของVIมีประโยคเดียวเท่านั้นในมุมมองผมคือลงทุนเเบบ"เป็นเจ้าของกิจการ"ครับ
ลองดูVIที่ประสบความสำเร็จ มันต่างจากVIดาดๆ อย่างไรครับ...มันก็ต่างกันที่"ทัศนคติ"อันนี้นี่เอง
คำพูดง่ายๆเเต่ทำยากโครตร

สุดท้ายถ้าคุณหันมามองที่เเก่นของคำว่า"หุ้น"เเละปรับทัศนคติใหม่ คุณก็จะไม่ขายหมูอีกต่อไปครับ

คิดเสียว่า ขายหมู ตกรถ ยังดีกว่าขาดทุน เงินเราก็ไม่หายไปไหน

ถ้ากลัวขายหมูจริงๆ ให้มองหาธุรกิจที่ยั่งยืนไม่หวั่นไหวต่อภาวะเศรษฐกิจจะได้ไม่ต้องไปดูมันบ่อยๆ
ก็จะไม่เกิดอาการขายหมู และต้องเข้าใจถึงสาเหตุถึงการตกลงของกำไรสุทธิว่าเพราะอะไรเป็นเหตุการณ์ระยะ
สั้นหรือยาว ก็จะไม่เกิดอาการขายหมู สุดท้ายต้องมั่นใจในบริษัทที่เราลงทุนทำใจให้แข็ง อย่างที่ปู่บัฟเฟตบอก
ต้องทน้ห็นพอร์ตขาดทุนเกิน 50 % ให้ได้

ล้มเขียงหมู ขายฟารม์หมูทิ้ง จบละครับ

ต่อไปก้ไม่มีหมูให้ขายแล้วครับ

แต่อย่า เลือกเลี้ยงหมู ไปทำฟารม์ เจ้าทุยก้พอครับ

อันนี้ขอตอบแบบมี สาระ หลังจากที่ข้างบนสาระ(ขัน)ไปหน่อย

เราก้มองหุ้น เหมือนกิจการของเรา ซึ่งถ้าเราเป็นเจ้าของเราต้องมองรายได้

และกำไรออกว่า จะประมาณเท่าไหร่

หลังจากนั้น ก้ให้คิด minimum ratio eps และ maximum ratio eps

แล้วก้มองว่า ต่ำสุดเท่าไหร่ สูงสุดเท่าไหร่

ถ้าเกิน maximum ratio ผมก้ขาย หมูไม่หมูไม่รู้ รู้แต่ว่า มันเป็นไปตามคำนวนแลว้

ผมเองก็ขายหมูบ่อย จนหลายๆครั้งต้องกลับไปทบทวนวิธีคิดของตัวเองว่าเพราะสาเหตุใด
สิ่งที่ผมสรุปได้มีสองข้อหลักๆคือ

1. ยึดติดกับอดีตผลงานในอดีตมากเกินไป
เนื่องจากผมจะชอบลงทุนที่บริษัทประสบปัญหาและวิเคราะห์แล้วว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นชั่วคราว ก็จะเข้าไปลงทุนคล้ายๆแนวดันโด
ปัญหาคือผมชอบใช้ตัวเลขในอดีตมาหามูลค่าในอนาคตมากเกินไป เพราะบางบริษัทพอเกิดประสบปัญหา แต่ได้ผู้บริหารที่มี
ความสามารถมาช่วยปรับเปลี่ยนโมเดลในการทำธุรกิจให้กลับมาดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่งผลให้
- อัตราการเติบโตของยอดขายและกำไรเพิ่มมากกว่าในอดีต --> ตลาดให้ PE สูงขึ้น
- ประสิทธิภาพในการสร้างกำไรสูงขึ้น ROE,ROA ดีกว่าในอดีต --> ตลาดให้ PBV สูงขึ้น
หากยังใช้ตัวเลข PE, PBV อดีตมาคิดก็อาจทำให้ขายหมูเร็วก่อนเวลาอันควร

2. นายตลาดอารมณ์ดี กล้าให้ราคาที่สูงขึ้น ทั้งๆที่คุณภาพของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างมีข่าวดีทยอยเข้ามา
หรือเป็นหุ้นที่กลับมาอยู่ในกระแสหลักอย่างที่คนส่วนมากแนะนำเช่น เศรษฐกิจตกให้ซื้อหุ้นปันผล เศรษฐกิจดีให้ซื้อหุ้น(ที่คาดว่า)โกรท

กรณีข้อ 1 เชื่อว่ายังพอศึกษาเพิ่มเติมทำให้มั่นใจที่จะถือต่อ แต่หากเป็นข้อ 2 ยังคิดไม่ออกครับ

ผมชอบคำพูด ท่าน ซุน กิ๊ก เซ็ก


ไม่มีใครขาดทุน เพราะขายหมู

torpongpak เขียน: ...พอดีวันศุกร์ที่ผ่านมาผมได้ดูคลิป A here ที่สัมภาษณ์Toon Bodyslam
อยู่ๆก็รู้สึก เหมือนเฮียเเกสอนการลงทุนให้ผมทางอ้อม...

ซึ่งเเก่นของVIมีประโยคเดียวเท่านั้นในมุมมองผมคือลงทุนเเบบ"เป็นเจ้าของกิจการ"ครับ
ลองดูVIที่ประสบความสำเร็จ มันต่างจากVIดาดๆ อย่างไรครับ...มันก็ต่างกันที่"ทัศนคติ"อันนี้นี่เอง
คำพูดง่ายๆเเต่ทำยากโครตร

สุดท้ายถ้าคุณหันมามองที่เเก่นของคำว่า"หุ้น"เเละปรับทัศนคติใหม่ คุณก็จะไม่ขายหมูอีกต่อไปครับ

คลิปพี่ตูนเมพมากครับ ปรัญชาการลงทุนจากคุณ torpongpak ก็ เมพ เหมือนกัน

ปล. ขายหมู หรือ ไม่ขายหมู ผมว่าอยู่ที่ความพึงพอใจของตัวเราเองครับ คือ เราได้ผลตอบแทนที่เราคาดหวังไว้หรือยัง -> ไม่แน่ใจว่าขายหมูของ จขกท. นี่คือ ขายหมูขนาดไหนเหมือนกันนะครับ

ขออนุญาต คุณ Shaen เอา Case Study การขายหมูของ Sir Isaac Newton มาให้ศึกษากันครับ (น่าสนใจมากๆ)
http://vihybrid.wordpress.com/2012/05/04/south-sea/

ขอนอกเรื่องของ จขกท. นิดนะครับ

clipสัมภาษณ์เฮียตูนที่ผมเอามาลงเป็นตอนที่2 จริงๆมีclipตอนเเรกด้วยนะครับน่าดูมาก...ที่ผมชอบมากคือเรื่อง"การตัดสินใจออกนอกกรอบ"

คุณโหน่งถามว่าถ้ามีเด็กจบ ม.6 ถือกีตาร์มา บอกจะเป็นนักดนตรี จะออกนอกกรอบ นอกระบบ ตูนจะเเนะนำเค้าว่าไง?

ตูนตอบประมาณว่า "ผมเชื่อในกรอบในระบบ เป็นสิ่งที่คนเค้าคิดมาเเล้วผ่านการกลั่นกรอง ดังนั้นก่อนคุณจะออกนอกกรอบ คุณต้องยอมรับเเละทำได้ดี"ในกรอบ"ก่อน เเต่ถ้าเด็กคนนั้นเก่งจริง มีพรสวรรค์เป็น1ในล้านเหมือนเคิร์ต โคเบน ผมก็จะบอกให้ทำเลย เเต่มันยากที่จะเป็นเเบบนั้น ผมจะเเนะนำให้เรียนมหาลัยเเละเล่นดนตรีหรือเเต่งเพลงไปด้วย"

นอกจากนี้มีคุยเรื่องการประสบความสำเร็จ เฮียเเกเชื่อว่ามาจาก ฝีมือ50%+Timing50% ตอนเเรกตูนใช้คำว่า"ดวง"ต่อมาก็ค่อยๆClearify ดวงที่ว่าคือ"Timing"หรือ"จังหวะ"นั่นเอง

ผมว่าพี่ตูนเเกมี"Bruce Lee"อยู่ในตัวจริงๆครับ สัมภาษณ์เเต่ละทีจะมีอะไรบางอย่างให้ได้เรียนรู้ตลอด อย่างน้อยก็เรื่องinspiration รร.สวนกุหลาบคงสอนอะไรเเกเยอะ...

อื่นๆ...
อีกเรื่องไม่เกี่ยวกับคลิปข้างบน เเต่ผมมองว่ามีประโยชน์มาก คือเฮียเเกจะตั้งเป้าหมายสิ่งที่ต้องทำได้ในชีวิตไว้ ของพี่เค้าที่ผมเคยรู้คือต้องไปดูTottnahm Hotspurที่ขอบสนามให้ได้(อันนี้เเกคงได้ทำเเล้ว) อีกอย่างคือยอดขายCDของBodyslamต้องถึง1ล้านCopyให้ได้ซักชุด

ผมเลยนำมาปรับใช้เองโดยลองเขียน"10 thing I must do It before I die" 1ใน10ข้อของผมคงซ้ำกับkongkitiอยู่ข้อนึงคือ"มีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ซักครั้งในชีวิต" อีกข้อก็ซ้ำกับของพี่1154คือมีsix packซักครั้งในชีวิต

ถ้าหุ้นมัน undervalue(ตามความคิดเรา) ได้นานเป็นเดือนเป็นปี หากมันจะ overvalue(ตามความคิดเรา)ต่อเป็นเดือนเป็นปี...ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน
ถ้ายึดหลัก VI บริสุทธิ์ ประเด็นนี้ก็ดูไม่ค่อยมีทางออกเท่าไรนอกจาก ถือต่อตราบเท่าที่บริษัทยังดี หรือ ขายเท่า fair value(ตามความคิดเรา) แล้วทำใจยอมรับมัน

ถ้าขายหมูเพราะคำนวณมูลค่าหุ้นได้ราคาประมาณนี้เต็มมูลค่าแล้วจึงตัดสินใจขายหุ้นไปผมคิดว่าคุณทำถูกแล้วแม้ราคาหุ้นจะขึ้นต่อไปซึ่งปกติก็จะเป็นแบบนั้นคับอาจจะเป็นเพราะติดลมบนจึงไปต่อ และถ้ามองในแง่ดีก็ถือว่ายังโชคดีที่มีหมูให้ขายคับ แต่ที่สำคัญเมื่อขายหมูไปแล้วได้เงินมาแล้วถ้าเป็นไปได้อย่านำเงินไปซื้อเจ้าทุยนะคับ



เพราะผมเคยซื้อมาแล้วเลยต้องมาฟังนี้

ถ้าเราวางแผนการลงทุนให้ดีก่อนซื้อหุ้น. คำนวนมูลค่ากิจการที่ควรจะเป็น. เราจะไม่ขายหุ้นที่อนาคตมีมูลค่า 10 บาท ในราคา 5 บาท. เราจะไม่กังวลที่จะซื้อหุ้นที่ขึ้นมาเท่าตัวนึงแล้ว แต่กิจการยังโตได้อีกเยอะ เพียงเพราะว่าราคาขึ้นมาเยอะแล้ว. สรุปว่าถ้าเราเข้าใจกิจการดีเพียงพอ ทำการบ้าน และประเมินมูลค่าที่ควรจะเป็น เราจะไม่สับสนกับความผันผวนของตลาด เป็นวิธีรักษาอาการ ขายหมู ติดดอย ตกรถค่ะ

มองหุ้นเป็นธุรกิจ คิดในภาพใหญ่
ราคาในระยะสั้นอาจทำให้ไขว้เขว ได้

อ.เอง เขียน:มองหุ้นเป็นธุรกิจ คิดในภาพใหญ่
ราคาในระยะสั้นอาจทำให้ไขว้เขว ได้

ชอบแนวคิดนี้ของคุณ อ.เอง จริงๆครับ ^ ^

ขายหมูเป็นกันทุกคนแหละครับ พอร์ต 8 หลัก 9 หลัก ก็ยังหมูกันประจำ
อย่างที่พี่ๆเค้าแนะนำคือว่า ไม่มีใครขายได้ราคาสูงสุดตลอดหรอกครับ
แต่เรามีวิธีที่ช่วยให้ขายได้ราคาที่ดี คือ ขายราคาเฉลี่ย แบ่งเป็นไม้ ไม้ล่ะ10% 25% อันนี้แล้วแต่ ว่าเราชอบ ขายหมูตัวใหญ่ หรือหมูตัวเล็กบ่อยๆหรือเปล่า
ถ้าบ่อยก็ขายเอา เคล็ด 10% พอถ้าเราอยากจะขายแล้วนะครับ และส่วนมากราคาก็มักจะวิ่งขึ้นไป จากนั้นก็ ขายที่ล่ะไม้ ค่อยๆปรับ % ตามอาการขายหมูของเรา น่าจะพอช่วยได้กระมั้งครับ