กว่าจะมีพอร์ตหุ้นเลข9หลักเปิดคัมภีร์เซียนวีไอ'โจ..ลูกอีสาน'
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 13, 2012 8:12 am
กว่าจะมีพอร์ตหุ้น 'เลข 9 หลัก'เปิดคัมภีร์เซียนวีไอ 'โจ..ลูกอีสาน'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, August 13, 2012 08:07
24875 XTHAI XGEN DAS V%NETNEWS P%WKT
ถ้าชีวิตคนคนหนึ่งคือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นตัวเอง ชีวิต "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง ก็เป็นยิ่งกว่านวนิยาย สะท้อนให้ใครหลายคนเห็นว่าเด็กยากจนคนหนึ่งชีวิตยังประสบความสาเร็จได้ กลายเป็น 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' ในวัยเพียง 38 ปี มีพอร์ตหุ้นใหญ่ "เลข 9 หลัก" นิยายกลายเป็นเรื่องจริง !!!
ถ้าชีวิตคนคนหนึ่งคือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นตัวเอง ชีวิต "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง ก็เป็นยิ่งกว่านวนิยายสะท้อนให้ใครหลายคนเห็นว่าเด็กยากจน คนหนึ่งชีวิตยังประสบความสำเร็จได้...นิยายกลายเป็น ความจริง!!!
ในกลุ่มนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ โจนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัยเพียง 38 ปี เขามีพอร์ต หุ้นใหญ่ "เลข 9 หลัก" ด้วยหลักการลงทุน "กำไรทบต้น" พอร์ตขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% ทำกำไร 400 เท่า ภายในระยะเวลา 12 ปี เขาทำได้มาแล้ว!
โจเป็นคนจังหวัดพังงาแต่ใช้นามแฝง "ลูกอีสาน" ตามนวนิยายเรื่อง "ลูกอีสาน" ของ คำพูน บุญทวี หนังสืออ่านนอกเวลาที่บรรยายชีวิตเด็กบ้านนอกยากจนได้บาดลึกถึงหัวใจ
หลังคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.6 แม่ต้องยึดอาชีพขายของชำเล็กๆ เลี้ยงดูครอบครัว 5 ปาก แต่ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน "ชีวิตต้องสู้" ในวัยเด็ก โจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ชาตินี้ต้องประสบความสำเร็จให้ได้ ช่วงเรียนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โจใช้เวลาทุกเย็นคลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์และ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อนคนอื่น ไปเที่ยวเฮฮากัน โจนั่งอ่าน..อ่าน และอ่านอย่างนี้ทุกวัน ตลอด 4 ปี เขาเคยล้มเหลวจากความพยายามเล่นหุ้น ครั้งแรก และตามภรรยาไปอเมริกาไปทำงานเป็น ผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารเกาหลีประมาณ 1 ปีครึ่ง ก่อนจะกำเงิน 800,000 บาท กลับมาพิชิตความฝัน ที่รอคอยจนมีเงิน "หลักร้อยล้าน" ในปัจจุบัน
เซียนหุ้นวีไอรายนี้ เล่าสไตล์การลงทุนให้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ปกติจะเป็นคนถือ หุ้นค่อนข้างนานเฉลี่ยประมาณ 1 ปี เคยถือนานที่สุด 2-3 ปี ลงทุนสั้นที่สุด 2-3 เดือน ที่ขายเพราะราคา หุ้นขึ้นมาถึงเป้าหมายเร็วก็ขายทำกำไรออกมา
การลงทุนของโจจะวางน้ำหนักหุ้นไม่กระจุกตัวกันเกินไป เขามีความคิดว่า "นั่งเก้าอี้หลายขาดีกว่าสองขา" ถ้าวิเคราะห์พลาดโอกาสเสียหายจะหนักมาก เพราะฉะนั้นจะไม่วัดดวงกับหุ้นเพียงหนึ่งหรือ สองตัว แต่จะกระจายอย่างเหมาะสมเพื่อ "จำกัดความเสี่ยง"
"ปกติผมจะมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 10-15 ตัว แต่ช่วงนี้มีเยอะประมาณ 19 ตัว เพราะพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ผมจะไม่เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม แต่เน้นเป็นตัว ผมถือคติว่าถ้าหุ้นดีจริง สุดท้ายราคาต้องขยับ"
คำจำกัดความของหุ้นที่เขาชอบลงทุนคือ "หุ้น ถูก คุณภาพใช้ได้" ถ้าใครรู้จักโจแทบจะไม่เห็นเขาลงทุน ในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่วีไอส่วนใหญ่ชอบลงทุน เขาให้เหตุผลง่ายๆ "มันแพงครับ!" (หัวเราะ) โจเล่าว่า ทุกวันนี้ มีนักลงทุนแนววีไออยู่ 3 ประเภท พวกแรก...ประเภทเดียวกับผม คือ ชอบ "หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้" พวกที่สอง...ชอบหุ้นคุณภาพดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ขอ "ถูก" ไว้ก่อน พวกสุดท้าย...ชอบหุ้น "ซูเปอร์สต็อก" ถูกแพง ไม่ว่า ขอให้คุณภาพบริษัทดีไว้ก่อน ประเภทหลังนี้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์วีไอในประเทศไทย "ชอบมาก"
สำหรับวิธีการเลือกหุ้นลงทุน ข้อแรก.. "ผมจะดูกำไร" ส่วนตัวมีความเชื่อว่ากำไรเป็นเสมือน "มือที่มองไม่เห็น" กำไรคือ "เจ้ามือตัวจริง" ที่จะผลักดันราคาหุ้น
"ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่า บริษัทนั้นมีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว"
ข้อสอง..ผมจะวิเคราะห์ "มูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็นภายใน 1 ปีข้างหน้า" นำมาเปรียบเทียบกับราคาหุ้น ที่ซื้อขายในปัจจุบัน ถ้าหุ้นตัวนั้นมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (margin of safety) ยิ่งมาก..ยิ่งชอบ ถามว่าวิธีการคำนวณต้องทำอย่างไร? เขาบอกว่า เรื่องนี้ต้องไปศึกษาเอง ไม่มีทางลัด นักลงทุนต้องไปอ่านแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1) บ่อยๆ ตัวเองก็อ่านมาแล้วเกือบทุกบริษัท โจสรุปให้ฟังว่าหากมองในแง่ของตัวเลขจะดูหลักๆ ดังนี้ หนึ่ง..เน้นดูค่า P/E ควรต่ำเข้าไว้ แต่ถ้าคุณภาพดี ก็ไม่ต้องต่ำมากก็ได้ ปกติหากบริษัทนั้นมีคุณภาพที่ดี "ผมจะเพิ่มพรีเมียม..ให้ค่าเฉลี่ย P/E ขึ้นไปอีก 1 เท่า" แต่ก็ไม่ได้ใช้หลักการนี้ตายตัว ถ้าคุณภาพ "ดีปานกลาง" จะเพิ่มพรีเมียมค่าเฉลี่ย P/E อีกเพียง 0.5 เท่า จากค่าเฉลี่ยปกติ พวกหุ้นค้าปลีก และโรงพยาบาลจะเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพ "ดีที่สุด" เพราะมีการเจริญเติบโตทุกปี แถมงบการเงินก็ดี ผู้บริหารเก่ง และแทบไม่มีความเสี่ยง
สอง..เน้นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ต้องมากกว่า 15% สาม..อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ธุรกิจทั่วไปไม่ควรเกิน 1 เท่า ไม่เช่นนั้นจะเริ่มเสี่ยง แต่บางธุรกิจมีข้อยกเว้น เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มลิสซิ่ง เป็นต้น
ข้อสุดท้าย.. ดูวงจรกระแสเงินสด บริษัทไหนมีเงินนอนอยู่ในบริษัทมากๆ ถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่ม โรงพยาบาล และค้าปลีก เพราะเวลาเขาขายสินค้าจะรับเงินสดทันที แต่เวลาซื้อสินค้ากว่าจะจ่ายเงินก็ 60 วัน เท่ากับว่าเขามีเงินสดกองในบริษัทตลอดเวลา แถมเงินส่วนนี้มีดอกเบี้ยด้วย
"ถ้าผมเจอหุ้นที่มีคุณสมบัติอย่างที่บอก ผมจะ เคาะขวา (ซื้อฝั่ง Offer) เลย เพราะกลัวมีคนมาแย่ง ไม่ต้อง ตั้งรอ ซื้อแพงหน่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าตัวไหนดูแล้วอัพไซด์ไม่มาก..ก็รอหน่อย! ส่วนใหญ่จะซื้อทีเดียวเลย ถ้าลงมา ก็จะซื้อเพิ่มอีก ตัวไหนดีมากจะซื้อไม่เกิน 30% ของพอร์ต ปกติจะมีหุ้นตัวหลักในใจ 6-7 ตัว"
ก่อนจะเป็นวีไอที่ประสบความสำเร็จแก่นแท้ข้อหนึ่งที่จะต้องท่องไว้เลยคือ "เราซื้อธุรกิจไม่ได้ซื้อหุ้น" คน ส่วนใหญ่ที่คิดว่าซื้อหุ้น เพราะเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้น แต่หากคิดว่าซื้อธุรกิจ เราจะคิดว่าธุรกิจนี้จะมีกำไรสูงขึ้น ซึ่งมันจะเป็นตัวผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น แต่จะคิดแบบซื้อธุรกิจได้คุณต้องศึกษาธุรกิจนั้นอย่างลึกซึ้ง
"บางคนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน คุณต้องไปอ่านหนังสือ การลงทุนก็เหมือนปลูกทุเรียนปีเดียวคงไม่มีทางได้กิน แต่ผมวันนี้ศึกษาข้อมูลเพียง 1 วัน บางครั้ง 5-10 นาที ก็ตัดสินใจได้แล้ว เพราะผมพร้อมตลอดเวลารู้จักทุกบริษัท แล้ว"
มาถึงศาสตร์เรื่องจิตวิทยา และทัศนคติ โจเล่าว่า เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ตลาดหุ้นจะมี 2 คน คือ "ตัวเรา" และ "นายตลาด" ตลอดเวลาเราจะซื้อขายหุ้นกับ นายตลาด ซึ่งนายตลาดเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บ้าๆ บอๆ วันไหนอารมณ์ดีจะมาเสนอซื้อหุ้นเราในราคาสูงๆ แต่หากวันไหนอารมณ์หดหู่ มองโลกในแง่ร้าย จะมาเสนอขายหุ้นให้เราในราคาต่ำๆ ฉะนั้นเรามี 2 ทางเลือก คือ 1. หาประโยชน์จากนายตลาด หรือ 2. ตกอยู่ในอิทธิพล ของนายตลาด ดังนั้นหากเราเลือกถูกทาง ก็ไม่ต้องกลัวหุ้นตก
"ผมพนันเลยว่ากว่า 90% ของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น จะกลายเป็นนายตลาดเสียเอง ยิ่งเขาไม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากนายตลาดได้ เขาก็จะ "เจ๊ง" เห็นคนชอบขายหุ้นตอนราคาต่ำๆ แล้วไปไล่ซื้อช่วงสูงๆ..ถ้าเรามั่นใจถือเลย ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เชื่อมั้ย! ตอนวิกฤติซับไพร์ม ผมขาดทุนครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ขายของดีราคาต่ำจะขายทำไม! มันไม่สมเหตุสมผล ตรงข้ามเราควรซื้อเพิ่มถ้ามีเงิน อย่าไปหวั่นไหวตามตลาด คนที่อดทนผมรับรองไม่สำเร็จมากก็สำเร็จน้อยอย่างแน่นอน" เขากล่าวอย่างมั่นใจ
โจบอกว่า ทุกๆ วันจะมองหาหุ้นที่จะซื้อตลอดเวลา มองหุ้นบางตัวอยู่แต่ราคาอาจแพงไปนิด แถมโอกาส ชนะมีแค่ 50% ถ้าเป็นแบบนั้น "จะยังไม่ซื้อ" เพราะโอกาสชนะแค่ 50% เหมือนเรา "เล่นการพนัน" จะซื้อก็ต่อเมื่อโอกาสชนะต้องมากถึง 80-90% เท่านั้น
"ที่ผ่านมาผมลงทุนในตลาดหุ้น 100% ตลอด จากสถิติพบว่าตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ก่อตั้งในปี 2518 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี สูงสุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทุกประเภท ผมยังเชื่อว่าระยะยาวตลาดหุ้นยังจะให้ ผลตอบแทนดีที่สุดต่อไป" และ "โจ..ลูกอีสาน" ก็จะฝังตัว อยู่ในตลาดหุ้น ที่ที่เขารักตลอดไป!!!
รวยแล้ว!!! ยังอาศัยบ้านพักข้าราชการ
สำหรับเป้าหมายการลงทุน อนุรักษ์ บุญแสวง บอกว่า ในปีนี้ ขอผลตอบแทน 30% ก็พอใจแล้ว แต่ระยะยาวอยากได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี คนที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ทำได้เท่านี้ แต่เขาทำได้ติดต่อกัน 50 ปี ถามว่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า อยากมีพอร์ตสูงขึ้นเป็นระดับเท่าไร มาถึงตอนนี้ "ผมพอใจแล้ว"
ทุกวันอนุรักษ์จะตื่นเช้าไปส่งลูกทั้ง 3 คน ไปโรงเรียน (ลูกชายคนโต 9 ปี ลูกชายคนรอง 7 ปี ลูกสาวคนสุดท้อง 3 ขวบ) ส่งเสร็จจะกลับมาอ่านข่าว บจ.ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ และอ่านบทวิเคราะห์ โดยจะไม่ฟัง คำแนะนำของมาร์เก็ตติ้ง
"ผมถือคติว่า ฟังคนอื่นหรือลอกหุ้นคนอื่นชีวิตการลงทุนคงไม่รอด ที่ผ่านมาผมปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ใช้ "อินไซเดอร์" ถึงได้กำไรก็ไม่ภูมิใจ เราโกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ ไม่อยากเงยหน้าอายฟ้า
ก้มหน้าอายดิน"
สำหรับเงินที่ได้กำไรจากการลงทุน โจไม่เคยนำไปซื้อบ้านหรือที่ดินทุกวันนี้ครอบครัวเขายังอยู่บ้านพักข้าราชการ (ภรรยาเป็นอาจารย์) เขามองว่า สินทรัพย์ประเภทนั้นไม่ได้สร้างรายได้ให้มากมาย
และไม่เคยซื้อทองคำ ลองดูราคาย้อนหลัง 30 ปี ผลตอบแทนทองคำ "ห่วยที่สุด" แต่คนมองว่าทองคำ
ดีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
"ผมมีซื้อที่ดินในจังหวัดพังงา 40-50 ไร่ ให้พี่ชาย (อายุห่างกัน 2 ปี) นำไปปลูกปาล์มและ
ทำสวนยาง ให้เขามีอาชีพเลี้ยงตัวเอง"
ปัจจุบันอนุรักษ์ซื้อขายหุ้นหลายโบรกเกอร์ที่ บล.เอเซีย พลัส, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ไทยพาณิชย์, บล.ภัทร และ บล.ธนชาต ถามว่าทำไม! ต้องเล่นหลายโบรก เขาตอบว่า อยากได้งานวิจัยที่หลากหลายและดีที่สุด นอกจากนี้แต่ละโบรกเกอร์มีโปรแกรมการซื้อขาย ไม่เหมือนกัน ส่วนตัวมองว่า บล.เอเซีย พลัส มีงานวิจัยดีที่สุด เซียนหุ้นร้อยล้าน กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้นักลงทุนที่ยังไม่ถึงเป้าหมายศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด อย่าไปคิดว่า
ซื้อแล้วหุ้นต้องขึ้นทันที ให้คิดว่าเรา "ซื้อธุรกิจ" ถ้าใครไม่พร้อมก็ให้ไปซื้อกองทุนรวมแทนก็ได้ ปัจจุบันมีหลาย กองทุนสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี "ผมอยากฝากถึงนักลงทุนทุกคนว่า ถ้าอยากมีชีวิตหลังเกษียณที่ดีควรรีบลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ หุ้นเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่า ให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ก็ต้องลงทุนด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง คือ มองหุ้นให้เป็นธุรกิจ และมีอารมณ์ที่มั่นคง หุ้นจึงจะกลายเป็น "บ่อเงินบ่อทอง" ขุดเท่าไรก็ไม่หมด แต่ถ้าลงทุนผิดวิธีมีเท่าไรก็หมดได้"
ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่าบริษัทนั้น มีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว!!!
คนจนเล่นหวย..คนรวยเล่นหุ้น ประโยคพลิกชีวิต 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ก่อนชีวิตจะกลับด้านจาก 'คนจน' กลายเป็น 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' นิยายกลายเป็นเรื่องจริง!!!--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, August 13, 2012 08:07
24875 XTHAI XGEN DAS V%NETNEWS P%WKT
ถ้าชีวิตคนคนหนึ่งคือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นตัวเอง ชีวิต "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง ก็เป็นยิ่งกว่านวนิยาย สะท้อนให้ใครหลายคนเห็นว่าเด็กยากจนคนหนึ่งชีวิตยังประสบความสาเร็จได้ กลายเป็น 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' ในวัยเพียง 38 ปี มีพอร์ตหุ้นใหญ่ "เลข 9 หลัก" นิยายกลายเป็นเรื่องจริง !!!
ถ้าชีวิตคนคนหนึ่งคือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นตัวเอง ชีวิต "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง ก็เป็นยิ่งกว่านวนิยายสะท้อนให้ใครหลายคนเห็นว่าเด็กยากจน คนหนึ่งชีวิตยังประสบความสำเร็จได้...นิยายกลายเป็น ความจริง!!!
ในกลุ่มนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ โจนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัยเพียง 38 ปี เขามีพอร์ต หุ้นใหญ่ "เลข 9 หลัก" ด้วยหลักการลงทุน "กำไรทบต้น" พอร์ตขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% ทำกำไร 400 เท่า ภายในระยะเวลา 12 ปี เขาทำได้มาแล้ว!
โจเป็นคนจังหวัดพังงาแต่ใช้นามแฝง "ลูกอีสาน" ตามนวนิยายเรื่อง "ลูกอีสาน" ของ คำพูน บุญทวี หนังสืออ่านนอกเวลาที่บรรยายชีวิตเด็กบ้านนอกยากจนได้บาดลึกถึงหัวใจ
หลังคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.6 แม่ต้องยึดอาชีพขายของชำเล็กๆ เลี้ยงดูครอบครัว 5 ปาก แต่ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน "ชีวิตต้องสู้" ในวัยเด็ก โจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ชาตินี้ต้องประสบความสำเร็จให้ได้ ช่วงเรียนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โจใช้เวลาทุกเย็นคลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์และ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อนคนอื่น ไปเที่ยวเฮฮากัน โจนั่งอ่าน..อ่าน และอ่านอย่างนี้ทุกวัน ตลอด 4 ปี เขาเคยล้มเหลวจากความพยายามเล่นหุ้น ครั้งแรก และตามภรรยาไปอเมริกาไปทำงานเป็น ผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารเกาหลีประมาณ 1 ปีครึ่ง ก่อนจะกำเงิน 800,000 บาท กลับมาพิชิตความฝัน ที่รอคอยจนมีเงิน "หลักร้อยล้าน" ในปัจจุบัน
เซียนหุ้นวีไอรายนี้ เล่าสไตล์การลงทุนให้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ปกติจะเป็นคนถือ หุ้นค่อนข้างนานเฉลี่ยประมาณ 1 ปี เคยถือนานที่สุด 2-3 ปี ลงทุนสั้นที่สุด 2-3 เดือน ที่ขายเพราะราคา หุ้นขึ้นมาถึงเป้าหมายเร็วก็ขายทำกำไรออกมา
การลงทุนของโจจะวางน้ำหนักหุ้นไม่กระจุกตัวกันเกินไป เขามีความคิดว่า "นั่งเก้าอี้หลายขาดีกว่าสองขา" ถ้าวิเคราะห์พลาดโอกาสเสียหายจะหนักมาก เพราะฉะนั้นจะไม่วัดดวงกับหุ้นเพียงหนึ่งหรือ สองตัว แต่จะกระจายอย่างเหมาะสมเพื่อ "จำกัดความเสี่ยง"
"ปกติผมจะมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 10-15 ตัว แต่ช่วงนี้มีเยอะประมาณ 19 ตัว เพราะพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ผมจะไม่เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม แต่เน้นเป็นตัว ผมถือคติว่าถ้าหุ้นดีจริง สุดท้ายราคาต้องขยับ"
คำจำกัดความของหุ้นที่เขาชอบลงทุนคือ "หุ้น ถูก คุณภาพใช้ได้" ถ้าใครรู้จักโจแทบจะไม่เห็นเขาลงทุน ในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่วีไอส่วนใหญ่ชอบลงทุน เขาให้เหตุผลง่ายๆ "มันแพงครับ!" (หัวเราะ) โจเล่าว่า ทุกวันนี้ มีนักลงทุนแนววีไออยู่ 3 ประเภท พวกแรก...ประเภทเดียวกับผม คือ ชอบ "หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้" พวกที่สอง...ชอบหุ้นคุณภาพดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ขอ "ถูก" ไว้ก่อน พวกสุดท้าย...ชอบหุ้น "ซูเปอร์สต็อก" ถูกแพง ไม่ว่า ขอให้คุณภาพบริษัทดีไว้ก่อน ประเภทหลังนี้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์วีไอในประเทศไทย "ชอบมาก"
สำหรับวิธีการเลือกหุ้นลงทุน ข้อแรก.. "ผมจะดูกำไร" ส่วนตัวมีความเชื่อว่ากำไรเป็นเสมือน "มือที่มองไม่เห็น" กำไรคือ "เจ้ามือตัวจริง" ที่จะผลักดันราคาหุ้น
"ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่า บริษัทนั้นมีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว"
ข้อสอง..ผมจะวิเคราะห์ "มูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็นภายใน 1 ปีข้างหน้า" นำมาเปรียบเทียบกับราคาหุ้น ที่ซื้อขายในปัจจุบัน ถ้าหุ้นตัวนั้นมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (margin of safety) ยิ่งมาก..ยิ่งชอบ ถามว่าวิธีการคำนวณต้องทำอย่างไร? เขาบอกว่า เรื่องนี้ต้องไปศึกษาเอง ไม่มีทางลัด นักลงทุนต้องไปอ่านแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1) บ่อยๆ ตัวเองก็อ่านมาแล้วเกือบทุกบริษัท โจสรุปให้ฟังว่าหากมองในแง่ของตัวเลขจะดูหลักๆ ดังนี้ หนึ่ง..เน้นดูค่า P/E ควรต่ำเข้าไว้ แต่ถ้าคุณภาพดี ก็ไม่ต้องต่ำมากก็ได้ ปกติหากบริษัทนั้นมีคุณภาพที่ดี "ผมจะเพิ่มพรีเมียม..ให้ค่าเฉลี่ย P/E ขึ้นไปอีก 1 เท่า" แต่ก็ไม่ได้ใช้หลักการนี้ตายตัว ถ้าคุณภาพ "ดีปานกลาง" จะเพิ่มพรีเมียมค่าเฉลี่ย P/E อีกเพียง 0.5 เท่า จากค่าเฉลี่ยปกติ พวกหุ้นค้าปลีก และโรงพยาบาลจะเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพ "ดีที่สุด" เพราะมีการเจริญเติบโตทุกปี แถมงบการเงินก็ดี ผู้บริหารเก่ง และแทบไม่มีความเสี่ยง
สอง..เน้นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ต้องมากกว่า 15% สาม..อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ธุรกิจทั่วไปไม่ควรเกิน 1 เท่า ไม่เช่นนั้นจะเริ่มเสี่ยง แต่บางธุรกิจมีข้อยกเว้น เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มลิสซิ่ง เป็นต้น
ข้อสุดท้าย.. ดูวงจรกระแสเงินสด บริษัทไหนมีเงินนอนอยู่ในบริษัทมากๆ ถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่ม โรงพยาบาล และค้าปลีก เพราะเวลาเขาขายสินค้าจะรับเงินสดทันที แต่เวลาซื้อสินค้ากว่าจะจ่ายเงินก็ 60 วัน เท่ากับว่าเขามีเงินสดกองในบริษัทตลอดเวลา แถมเงินส่วนนี้มีดอกเบี้ยด้วย
"ถ้าผมเจอหุ้นที่มีคุณสมบัติอย่างที่บอก ผมจะ เคาะขวา (ซื้อฝั่ง Offer) เลย เพราะกลัวมีคนมาแย่ง ไม่ต้อง ตั้งรอ ซื้อแพงหน่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าตัวไหนดูแล้วอัพไซด์ไม่มาก..ก็รอหน่อย! ส่วนใหญ่จะซื้อทีเดียวเลย ถ้าลงมา ก็จะซื้อเพิ่มอีก ตัวไหนดีมากจะซื้อไม่เกิน 30% ของพอร์ต ปกติจะมีหุ้นตัวหลักในใจ 6-7 ตัว"
ก่อนจะเป็นวีไอที่ประสบความสำเร็จแก่นแท้ข้อหนึ่งที่จะต้องท่องไว้เลยคือ "เราซื้อธุรกิจไม่ได้ซื้อหุ้น" คน ส่วนใหญ่ที่คิดว่าซื้อหุ้น เพราะเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้น แต่หากคิดว่าซื้อธุรกิจ เราจะคิดว่าธุรกิจนี้จะมีกำไรสูงขึ้น ซึ่งมันจะเป็นตัวผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น แต่จะคิดแบบซื้อธุรกิจได้คุณต้องศึกษาธุรกิจนั้นอย่างลึกซึ้ง
"บางคนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน คุณต้องไปอ่านหนังสือ การลงทุนก็เหมือนปลูกทุเรียนปีเดียวคงไม่มีทางได้กิน แต่ผมวันนี้ศึกษาข้อมูลเพียง 1 วัน บางครั้ง 5-10 นาที ก็ตัดสินใจได้แล้ว เพราะผมพร้อมตลอดเวลารู้จักทุกบริษัท แล้ว"
มาถึงศาสตร์เรื่องจิตวิทยา และทัศนคติ โจเล่าว่า เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ตลาดหุ้นจะมี 2 คน คือ "ตัวเรา" และ "นายตลาด" ตลอดเวลาเราจะซื้อขายหุ้นกับ นายตลาด ซึ่งนายตลาดเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บ้าๆ บอๆ วันไหนอารมณ์ดีจะมาเสนอซื้อหุ้นเราในราคาสูงๆ แต่หากวันไหนอารมณ์หดหู่ มองโลกในแง่ร้าย จะมาเสนอขายหุ้นให้เราในราคาต่ำๆ ฉะนั้นเรามี 2 ทางเลือก คือ 1. หาประโยชน์จากนายตลาด หรือ 2. ตกอยู่ในอิทธิพล ของนายตลาด ดังนั้นหากเราเลือกถูกทาง ก็ไม่ต้องกลัวหุ้นตก
"ผมพนันเลยว่ากว่า 90% ของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น จะกลายเป็นนายตลาดเสียเอง ยิ่งเขาไม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากนายตลาดได้ เขาก็จะ "เจ๊ง" เห็นคนชอบขายหุ้นตอนราคาต่ำๆ แล้วไปไล่ซื้อช่วงสูงๆ..ถ้าเรามั่นใจถือเลย ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เชื่อมั้ย! ตอนวิกฤติซับไพร์ม ผมขาดทุนครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ขายของดีราคาต่ำจะขายทำไม! มันไม่สมเหตุสมผล ตรงข้ามเราควรซื้อเพิ่มถ้ามีเงิน อย่าไปหวั่นไหวตามตลาด คนที่อดทนผมรับรองไม่สำเร็จมากก็สำเร็จน้อยอย่างแน่นอน" เขากล่าวอย่างมั่นใจ
โจบอกว่า ทุกๆ วันจะมองหาหุ้นที่จะซื้อตลอดเวลา มองหุ้นบางตัวอยู่แต่ราคาอาจแพงไปนิด แถมโอกาส ชนะมีแค่ 50% ถ้าเป็นแบบนั้น "จะยังไม่ซื้อ" เพราะโอกาสชนะแค่ 50% เหมือนเรา "เล่นการพนัน" จะซื้อก็ต่อเมื่อโอกาสชนะต้องมากถึง 80-90% เท่านั้น
"ที่ผ่านมาผมลงทุนในตลาดหุ้น 100% ตลอด จากสถิติพบว่าตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ก่อตั้งในปี 2518 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี สูงสุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทุกประเภท ผมยังเชื่อว่าระยะยาวตลาดหุ้นยังจะให้ ผลตอบแทนดีที่สุดต่อไป" และ "โจ..ลูกอีสาน" ก็จะฝังตัว อยู่ในตลาดหุ้น ที่ที่เขารักตลอดไป!!!
รวยแล้ว!!! ยังอาศัยบ้านพักข้าราชการ
สำหรับเป้าหมายการลงทุน อนุรักษ์ บุญแสวง บอกว่า ในปีนี้ ขอผลตอบแทน 30% ก็พอใจแล้ว แต่ระยะยาวอยากได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี คนที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ทำได้เท่านี้ แต่เขาทำได้ติดต่อกัน 50 ปี ถามว่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า อยากมีพอร์ตสูงขึ้นเป็นระดับเท่าไร มาถึงตอนนี้ "ผมพอใจแล้ว"
ทุกวันอนุรักษ์จะตื่นเช้าไปส่งลูกทั้ง 3 คน ไปโรงเรียน (ลูกชายคนโต 9 ปี ลูกชายคนรอง 7 ปี ลูกสาวคนสุดท้อง 3 ขวบ) ส่งเสร็จจะกลับมาอ่านข่าว บจ.ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ และอ่านบทวิเคราะห์ โดยจะไม่ฟัง คำแนะนำของมาร์เก็ตติ้ง
"ผมถือคติว่า ฟังคนอื่นหรือลอกหุ้นคนอื่นชีวิตการลงทุนคงไม่รอด ที่ผ่านมาผมปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ใช้ "อินไซเดอร์" ถึงได้กำไรก็ไม่ภูมิใจ เราโกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ ไม่อยากเงยหน้าอายฟ้า
ก้มหน้าอายดิน"
สำหรับเงินที่ได้กำไรจากการลงทุน โจไม่เคยนำไปซื้อบ้านหรือที่ดินทุกวันนี้ครอบครัวเขายังอยู่บ้านพักข้าราชการ (ภรรยาเป็นอาจารย์) เขามองว่า สินทรัพย์ประเภทนั้นไม่ได้สร้างรายได้ให้มากมาย
และไม่เคยซื้อทองคำ ลองดูราคาย้อนหลัง 30 ปี ผลตอบแทนทองคำ "ห่วยที่สุด" แต่คนมองว่าทองคำ
ดีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
"ผมมีซื้อที่ดินในจังหวัดพังงา 40-50 ไร่ ให้พี่ชาย (อายุห่างกัน 2 ปี) นำไปปลูกปาล์มและ
ทำสวนยาง ให้เขามีอาชีพเลี้ยงตัวเอง"
ปัจจุบันอนุรักษ์ซื้อขายหุ้นหลายโบรกเกอร์ที่ บล.เอเซีย พลัส, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ไทยพาณิชย์, บล.ภัทร และ บล.ธนชาต ถามว่าทำไม! ต้องเล่นหลายโบรก เขาตอบว่า อยากได้งานวิจัยที่หลากหลายและดีที่สุด นอกจากนี้แต่ละโบรกเกอร์มีโปรแกรมการซื้อขาย ไม่เหมือนกัน ส่วนตัวมองว่า บล.เอเซีย พลัส มีงานวิจัยดีที่สุด เซียนหุ้นร้อยล้าน กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้นักลงทุนที่ยังไม่ถึงเป้าหมายศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด อย่าไปคิดว่า
ซื้อแล้วหุ้นต้องขึ้นทันที ให้คิดว่าเรา "ซื้อธุรกิจ" ถ้าใครไม่พร้อมก็ให้ไปซื้อกองทุนรวมแทนก็ได้ ปัจจุบันมีหลาย กองทุนสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี "ผมอยากฝากถึงนักลงทุนทุกคนว่า ถ้าอยากมีชีวิตหลังเกษียณที่ดีควรรีบลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ หุ้นเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่า ให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ก็ต้องลงทุนด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง คือ มองหุ้นให้เป็นธุรกิจ และมีอารมณ์ที่มั่นคง หุ้นจึงจะกลายเป็น "บ่อเงินบ่อทอง" ขุดเท่าไรก็ไม่หมด แต่ถ้าลงทุนผิดวิธีมีเท่าไรก็หมดได้"
ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่าบริษัทนั้น มีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว!!!
คนจนเล่นหวย..คนรวยเล่นหุ้น ประโยคพลิกชีวิต 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ก่อนชีวิตจะกลับด้านจาก 'คนจน' กลายเป็น 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' นิยายกลายเป็นเรื่องจริง!!!--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ