กับดักของราคาที่อยู่ในใจของนักลงทุน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 9:38 am
เรื่องนี้เกิดจากประสบการณ์โดยตรงกับตัวเอง. ที่แนะนำเพื่อนคนหนึ่งให้ลงทุนหุ้นตัวหนึ่ง
เมื่อแนะนำแล้วเพื่อนคนนี้ถามถึงทุกอย่างที่ข้างหน้า. ไล่ตั้งแต่ธุรกิจทำอะไร. เติบโตไม. มุมมองเป็นเช่นไร
แต่คำถามสีดท้ายของเพื่อนคนนี้คือราคาเท่า. พอบอกราคาคางวดของหุ้น. เขาถึงกับส่ายหน้าเลย เขาบอกคำเดียวแพงจังเลย. ลืมสิ่งที่บอกมาตั้งแต่ต้นทั้งหมด
จริงๆแล้วราคาของหุ้นถูกหรือแพงนั้น. ตามหลักการทางทฤษฏีทางการเงิน. ส่วนใหญ่หามาจากสองแหล่ง
แหล่งแรกที่นิยมและตายตัว. หามาจาก. Capm ซึ่งพัฒนามานาน มีทั้งข้อสนับสนุนและข้อขัดแย้ง. แต่สุดท้ายก็ใช้กันมากมาย เพราะใช้เวลาน้อยในการการาคาทางทฤษฏี. เป็นสูตรที่หาค่าไม่กี่ตัวและแทนค่าที่หามาได้ลงไปในสูตร. และคนในวงการนี้ใช้กันแพร่หลาย
ส่วนแหล่งที่สอง. มาจากงบการเงิน. หาเงิดสดส่วนที่เหลือทั้งตัวกิจการและเงิดสดที่เหลือจากการดำเนินงาน แต่วิธีนี้ค่อยข้างสับซ้อน. เพราะว่า ดำเนินการคาดคะเนงบการเงินไปในอนาคตเป็นเวลาอย่างน้อย 3-5 ปี (ยิ่งคาดคะเนไปข้างหน้ายิ่งนานไป. ความไม่แน่นอนก็มากยิ่งขึ้น). ต้องหาข้อมูลของต้นทุนทางการเงินของกิจกบร(wacc) หรือต้นทุนของผู้ถือหุ้น. เมือหาได้ครบก็จัดแจงเข้าขบวนการดำเนินการเพื่อหากระแสเงิดส่วนเกิน. เมื่อหาได้ก็discount กลับมาในปัจจุบันว่ากิจการมีมูลค่าหุ้นทางทฤษฏีเท่าไร
แต่ทั้งสองวิธีการนั้นยากไป. สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มลงทุนหรือลงทุนมานานจนตำราไม่ต้องใช้แล้ว(พวกหลังนี้คือกระบี่อยู่ที่ใจ. จะใช้กระบี่จากกิ่งไม้ก็ดี. หรือกระบี่ไม้ก็ดี. ความคมเทียบเท่ากับกระบี่อิงฟ้า) วิธีดังกล่าวคือดูค่า. P/E. ที่ทุกคนคุ้นเคย. ดูง่ายกว่ากันมาก. แต่การใช้ง่ายก็มีของระวังหากใช้แค่ตัวเดียวในการประเมินว่าถูกหรือแพงหรือไม่
แต่อย่างไรก็ดีมันก็ง่ายกว่าสองตัวแรกที่นักการเงินใช้เป็นเครื่องมือละกัน
ท้ายที่สุดปัจจุบันเพื่อนคนนี้มาบ่นให้ผมฟังว่า. รู้อย่างงี้ก็ซื้อไปแล้วเพราะราคาวันที่แนะนำเมื่อประมาณสามสี่ห้าเดือนที่แล้วขึ้นมาเกือบเท่า70-80%เห็นจะได้(ผมนับที่ราคาสูงสุด)

เมื่อแนะนำแล้วเพื่อนคนนี้ถามถึงทุกอย่างที่ข้างหน้า. ไล่ตั้งแต่ธุรกิจทำอะไร. เติบโตไม. มุมมองเป็นเช่นไร
แต่คำถามสีดท้ายของเพื่อนคนนี้คือราคาเท่า. พอบอกราคาคางวดของหุ้น. เขาถึงกับส่ายหน้าเลย เขาบอกคำเดียวแพงจังเลย. ลืมสิ่งที่บอกมาตั้งแต่ต้นทั้งหมด
จริงๆแล้วราคาของหุ้นถูกหรือแพงนั้น. ตามหลักการทางทฤษฏีทางการเงิน. ส่วนใหญ่หามาจากสองแหล่ง
แหล่งแรกที่นิยมและตายตัว. หามาจาก. Capm ซึ่งพัฒนามานาน มีทั้งข้อสนับสนุนและข้อขัดแย้ง. แต่สุดท้ายก็ใช้กันมากมาย เพราะใช้เวลาน้อยในการการาคาทางทฤษฏี. เป็นสูตรที่หาค่าไม่กี่ตัวและแทนค่าที่หามาได้ลงไปในสูตร. และคนในวงการนี้ใช้กันแพร่หลาย
ส่วนแหล่งที่สอง. มาจากงบการเงิน. หาเงิดสดส่วนที่เหลือทั้งตัวกิจการและเงิดสดที่เหลือจากการดำเนินงาน แต่วิธีนี้ค่อยข้างสับซ้อน. เพราะว่า ดำเนินการคาดคะเนงบการเงินไปในอนาคตเป็นเวลาอย่างน้อย 3-5 ปี (ยิ่งคาดคะเนไปข้างหน้ายิ่งนานไป. ความไม่แน่นอนก็มากยิ่งขึ้น). ต้องหาข้อมูลของต้นทุนทางการเงินของกิจกบร(wacc) หรือต้นทุนของผู้ถือหุ้น. เมือหาได้ครบก็จัดแจงเข้าขบวนการดำเนินการเพื่อหากระแสเงิดส่วนเกิน. เมื่อหาได้ก็discount กลับมาในปัจจุบันว่ากิจการมีมูลค่าหุ้นทางทฤษฏีเท่าไร
แต่ทั้งสองวิธีการนั้นยากไป. สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มลงทุนหรือลงทุนมานานจนตำราไม่ต้องใช้แล้ว(พวกหลังนี้คือกระบี่อยู่ที่ใจ. จะใช้กระบี่จากกิ่งไม้ก็ดี. หรือกระบี่ไม้ก็ดี. ความคมเทียบเท่ากับกระบี่อิงฟ้า) วิธีดังกล่าวคือดูค่า. P/E. ที่ทุกคนคุ้นเคย. ดูง่ายกว่ากันมาก. แต่การใช้ง่ายก็มีของระวังหากใช้แค่ตัวเดียวในการประเมินว่าถูกหรือแพงหรือไม่
แต่อย่างไรก็ดีมันก็ง่ายกว่าสองตัวแรกที่นักการเงินใช้เป็นเครื่องมือละกัน
ท้ายที่สุดปัจจุบันเพื่อนคนนี้มาบ่นให้ผมฟังว่า. รู้อย่างงี้ก็ซื้อไปแล้วเพราะราคาวันที่แนะนำเมื่อประมาณสามสี่ห้าเดือนที่แล้วขึ้นมาเกือบเท่า70-80%เห็นจะได้(ผมนับที่ราคาสูงสุด)
