หน้า 1 จากทั้งหมด 1

บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 11, 2012 7:58 pm
โดย romee
» บทเรียนนักช้อป : ส่งตรงจากตลาดรัสเซีย ณ ปักกิ่ง

"ตลาดรัสเซีย" นั้นเป็นที่เลื่องลือว่าอุดมด้วยสินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่ายี่ห้อใดสัญชาติใด หากเป็นแบรนด์เนมระดับโลกแล้ว ที่นั่นมีหมด แถมราคายังถูกแสนถูก

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเป็น “ของเก๊” ทั้งนั้น ทำได้เนียนมากเหมือนของจริง แต่จะซื้อได้ถูกแค่ไหน ขึ้นอยู่กับฝีมือในการต่อราคา

----

กระนั้นก็ตามต่อเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักทำใจด้วย ไม่เช่นนั้น...อาจต้องแบกความเสียใจ หรือเจ็บแค้นกลับเมืองไทย เพราะพบว่าของที่ซื้อมานั้น เสียตั้งแต่ตอนอยู่เมืองจีน

บางคนพอกลับขึ้นมา บนรถทัวร์แล้วรู้ว่าตนซื้อแพงกว่าเพื่อนร่วมคณะ คืนนั้นถึงกับนอนไม่หลับเลยทีเดียว

ในตลาดรัสเซียนั้นความดีใจและเสียใจอยู่ใกล้กันมาก เมื่อกี้ยังดีใจอยู่เลยที่ได้ซื้อของถูกมากๆ แต่แล้วใจก็วูบจิตก็ตกทันที เมื่อไปเจอพ่อค้าที่บอกราคาสินค้าต่ำกว่าที่ตัวเองเพิ่งซื้อมา

ถ้าคุณเจอเหตุการณ์แบบนี้ทำอย่างไรจะกู้ความรู้สึกดีๆ ให้กลับคืนมา

----

สาวไทยผู้หนึ่งพบทางออก เรื่องของเรื่องก็คือเธออยากได้กระเป๋าถือยี่ห้อดัง แม่ค้าบอกราคา ๓๐๐ หยวน

เธอต่อแล้วต่ออีกจนซื้อได้ราคา ๑๕๐ หยวน ด้วยความดีใจ...เธอจึงซื้อ ๒ ใบ

จากนั้นก็ไปดูสินค้าร้านอื่นต่อ มีร้านหนึ่งขายกระเป๋าชนิดเดียวกับที่เธอ เพิ่งซื้อมา พ่อค้าอยากขายสินค้าตัวนี้ให้เธอ แต่รู้ว่าถ้าบอกราคาสูงเธอต้องเมินแน่ จึงเสนอราคา ๑๕๐ หยวนโดยที่เธอไม่ทันเอ่ยปาก

พอเธอได้ยิน ก็อึ้งทันที เพราะรู้แล้วว่ากระเป๋าที่เธอเพิ่งซื้อมานั้น ราคาจริงต่ำกว่านี้มาก

เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจที่ซื้อของแพง เธอจึงตัดสินใจต่อราคากระเป๋าในร้านนั้นทันทีในที่สุด ก็ซื้อมาด้วยราคา ๑๐๐ หยวน ด้วยความดีใจเธอ ซื้อ ๒ ใบเลย

จากนั้นก็เดินเที่ยวต่อ ไม่นานก็เจออีกร้านที่ขายกระเป๋าชนิดเดียวกับที่เธอซื้อมา เจ้าของร้านเห็นเธอหิ้วมา ๔ ใบก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรจึงจะขายสินค้าของตัวได้ เขาเสนอขาย ทันที ๘๐ หยวน

เท่านั้นเองความภาคภูมิใจที่เธอเคยมี เพราะซื้อของได้ถูกก็ไม่เหลืออีกต่อไป เธอเลือกที่จะกอบกู้ความภาคภูมิใจด้วยการกัดฟันต่อราคากระเป๋าจนเหลือ ๖๐ หยวน เพื่อไม่ให้เสียโอกาสอันดี เธอจึงซื้ออีก ๒ ใบ

----

เรื่องทำท่าจะจบเท่านี้เพราะเธอซื้อกระเป๋ามาแล้ว ๖ ใบ แต่พ่อค้าอีกร้านไม่ยอมให้เธอเดินผ่านไปง่าย ๆ

ทีแรกเขาบอกราคา ๑๐๐ หยวน เธอต่อเล่นๆ ๕๐ หยวน ปรากฏว่าเขาตอบรับทันทีเพราะรู้ดี ว่ามีแต่ราคาต่ำขนาดนี้เท่านั้นที่จะทำให้เธอยอมซื้อกระเป๋าเพิ่มเป็นใบที่ ๗ ได้

แล้วเขาก็คาดไม่ผิด เธอตกลงซื้อ ไม่ได้ซื้อแค่ใบเดียว แต่ซื้อ ๒ ใบ เพราะรู้ดีว่าโอกาสที่จะซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมอย่างนี้ด้วยราคา ๕๐ หยวนหาไม่ได้ง่ายนัก

----

เข้าตลาดรัสเซียได้ไม่ถึงชั่วโมงปรากฏว่าเธอหอบ หิ้วกระเป๋าชนิดเดียวกันถึง ๘ ใบ ทั้งๆ ที่ที่แต่เดิม เธอต้องการแค่ใบเดียวเท่านั้น เฉพาะกระเป๋าถืออย่างเดียวเธอหมดเงินไป ๗๒๐ หยวน แทนที่จะเสียเพียง ๓๐๐ หยวน

ทั้งนี้ด้วยเหตุผลประการ เดียวคือเพื่อกอบกู้จิตใจไม่ให้ย่ำแย่จากการซื้อของแพง แต่แม้จะเสียเงินเพิ่มกว่าเท่าตัว เธอก็ยังปลอบใจตัวเองว่า กระเป๋าที่ซื้อมานี้เฉลี่ยแล้วใบ ละ ๙๐ หยวนเท่านั้นเอง ถูกอะไรอย่างนี้

อะไรทำให้เธอซื้อกระเป๋าไม่หยุดทั้ง ๆ ที่มีแล้ว ๒ ใบ คำตอบก็คือ ความไม่พอใจในกระเป๋าทั้งสอง นั่นเอง กระเป๋าทั้งสองนั้นไม่มีตำหนิอะไรเลย เธอ ดีใจด้วยซ้ำตอนที่ซื้อมาใหม่ ๆ แต่ความไม่พอใจเกิดขึ้นทันทีที่เห็นกระเป๋าใบอื่นมีราคาถูกกว่า

ขณะเดียวกันก็เกิดความอยากได้กระเป๋าใบใหม่ขึ้นมา ยิ่งเห็นกระเป๋าราคาถูกมากเท่าไรก็อดใจ ซื้อไม่ได้ ประกอบกับกลัวเสียหน้าว่าซื้อของแพง ทำให้เธอยอมเสียเงินเพิ่มเพื่อจะได้ของถูก

----

เราอยากซื้อของถูกเพื่ออะไร มิใช่เพราะประหยัดเงินหรอกเหรอ แต่น่าแปลกไหมว่ายิ่งอยากได้ของ ถูกหญิงสาวผู้นี้กลับต้องจ่ายเงินมากขึ้น ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะอะไร หากไม่ใช่เพราะ...ความไม่พอใจสิ่งที่มี...ไม่ยินดีสิ่งที่ได้

"พอใจสิ่งที่มี ยินดีสิ่งที่ได้" เป็นคาถาสำคัญสำหรับ นักช็อปปิ้งและคนทั่วไป

คาถานี้ไม่เพียงช่วย ประหยัดเงินในกระเป๋าเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ เรามีความสุขได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องดิ้นรนไล่ล่าหาสิ่ง ใหม่ จนกระทั่งมันสามารถหลอกล่อจูงจมูกให้เรา ทำอะไรก็ได้เพื่อมัน

----

Credit : ภาวัน
FB: Life 101 Co.,Ltd.

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 11, 2012 8:06 pm
โดย romee
แม้จะไม่คล้ายกับการเลือกหุ้น เพราะกระเป๋าของปลอมกับหุ้นที่ดีมันต่างกันมาก

แต่จุดที่ผมอ่านแล้วก็โดนใจกับตัวเอง คงเป็นเรื่องการที่ผมเคยคิดว่า "หุ้นยิ่งลง ตรูยิ่งซื้อเข้าไปอีก" โดยไม่ได้ดูทั้งเงินหน้าตักตัวเอง และมันลงเพราะพื้นฐาน หรือว่าลงเพราะทั้งตลาด

บางทีคำพูดที่บอกว่า อย่าพึ่งเอามือไปรับมีดที่ตกลงมา มันก็จริง เพราะตอนที่ตลาดล่วงหนัก ช่วงซัพไพร์ม ผมเคยทะยอยซื้อเฉลี่ยขาลง...ซื้อไป5ไม้ กลายเป็นว่าเฉลี่ยได้แค่ครึ่งนึง และราคาก็แปะอยู่จุดต่ำสุด แต่ไม่มีเงินเข้าไปซื้อแล้ว

กลับมาถามครับ คิดว่า VI กับเรื่องวิธีการเข้าซื้อหุ้นขาลงเรื่อยๆ มันควรต้องมาใส่ใจกันมั้ยครับ

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 11, 2012 8:50 pm
โดย nut776
romee เขียน:แม้จะไม่คล้ายกับการเลือกหุ้น เพราะกระเป๋าของปลอมกับหุ้นที่ดีมันต่างกันมาก

แต่จุดที่ผมอ่านแล้วก็โดนใจกับตัวเอง คงเป็นเรื่องการที่ผมเคยคิดว่า "หุ้นยิ่งลง ตรูยิ่งซื้อเข้าไปอีก" โดยไม่ได้ดูทั้งเงินหน้าตักตัวเอง และมันลงเพราะพื้นฐาน หรือว่าลงเพราะทั้งตลาด

บางทีคำพูดที่บอกว่า อย่าพึ่งเอามือไปรับมีดที่ตกลงมา มันก็จริง เพราะตอนที่ตลาดล่วงหนัก ช่วงซัพไพร์ม ผมเคยทะยอยซื้อเฉลี่ยขาลง...ซื้อไป5ไม้ กลายเป็นว่าเฉลี่ยได้แค่ครึ่งนึง และราคาก็แปะอยู่จุดต่ำสุด แต่ไม่มีเงินเข้าไปซื้อแล้ว

กลับมาถามครับ คิดว่า VI กับเรื่องวิธีการเข้าซื้อหุ้นขาลงเรื่อยๆ มันควรต้องมาใส่ใจกันมั้ยครับ
แล้วแต่ราคาเป้าหรือเปล่าคับ
สูงพอ จะเวลาหุ้นตกหนัก และเราคิดแล้วว่าราคาเป้าเราไม่น่าจะผิด
จะซื้อ หรือ รอ ก็แค่ขาดทุนเวลา

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 11, 2012 8:53 pm
โดย Energy_eak
ผมไม่เก่งนะ..แต่ขอแชร์ประสบการณ์ครับ

ผมเคยซื้อหุ้นตัวนึง...ที่1.2 ราคาขยับไปสูงสุดที่1.3หน่อยๆ...จากนั้นมีเหตุการสำคัญกระทบกับบริษัท...ราคาตกลงไปต่ำสุดที่ราวๆ30สตางค์....ตอนนั้นผมตัดสินใจซท้อเพิ่มครับ...ด้วยความ"โชคดี"สุดท้ายราคากลับมาเกิน1.3ซะอีกครับ

ปล.ผมไม่ได้บอกว่าอะไรผิด หรือ ถูกนะครับ...เล่าแชร์อะครับ

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 11, 2012 11:47 pm
โดย istyle
Energy_eak เขียน:ผมไม่เก่งนะ..แต่ขอแชร์ประสบการณ์ครับ

ผมเคยซื้อหุ้นตัวนึง...ที่1.2 ราคาขยับไปสูงสุดที่1.3หน่อยๆ...จากนั้นมีเหตุการสำคัญกระทบกับบริษัท...ราคาตกลงไปต่ำสุดที่ราวๆ30สตางค์....ตอนนั้นผมตัดสินใจซท้อเพิ่มครับ...ด้วยความ"โชคดี"สุดท้ายราคากลับมาเกิน1.3ซะอีกครับ

ปล.ผมไม่ได้บอกว่าอะไรผิด หรือ ถูกนะครับ...เล่าแชร์อะครับ
การซื้อเฉลี่ยขาลงผมคิดว่าทำได้ครับ

แต่ไม่ใช่เหตุผลเพราะหวังโชคช่วยแน่ๆ

เนื่องจากก่อนที่เราจะซื้อ เราควรจะมั่นใจในการประเมินของเรา รวมทั้งเผื่อส่วนต่างเพื่อความปลอดภัยด้วย

ส่วนคำถามว่าจะซื้อตอนนั้นเลยดีมั้ย

อยากถามกลับครับว่า เราทราบหรือเปล่าว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ไหน? (ถ้ารู้ก็รวยไปแล้ว)

สำหรับผมก็จะประเมินว่า ณ ราคานี้มีผลตอบแทนที่คาดหวังเท่าไหร่ ปันผลเท่าไหร่ เงินเราเย็นพอหรือไม่

และจะทำใจก่อนเลยครับว่า ถ้าซื้อมันอาจจะลงไปอีก แต่เรารับได้กับปันผลและจะไม่รีบขายมันทิ้งไป

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 12:09 am
โดย sipoonya
ทั้งหมดแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

ถ้าเชื่อว่าไม่มีใครเดาตลาดได้ การจับจังหวะตลาดย่อมใช้ไม่ได้
ถ้าเกิดเราเดาราคาหรือดัชนีได้ถูก เราอาจแค่โชคดี
ดังนั้น สิ่งที่ควรสนใจ คือ มูลค่าหรือตัวกิจการมากกว่า

ซึ่งสำหรับนักลงทุนแนวพื้นฐาน การซื้อเฉลี่ยขาลง เป็นแค่วิธีการ
อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ซึ่งเราจะรู้ว่าถูกหรือผิด ก็ต่อเมื่อมันผ่านไปแล้ว
(ส่วนแนว technical อาจ cut loss กันไป)

โดยวิธีการนั้นเป็นผลที่เกิดจากเหตุ คือ การวิเคราะห์กิจการ
ถ้าเรายังมั่นใจการวิเคราะห์กิจการของเราอยู่ การซื้อเฉลี่ยขาลงก็ทำได้
แต่คำว่าลงนั้น สำหรับผมอาจจะหมายถึง 10-15% เป็นอย่างน้อย ตามบรรยากาศ
และวิธีที่ช่วยได้คือ การซื้อเป็นไม้ๆ ในระยะเวลาหรือช่วงราคาที่ห่างกันพอสมควร

อีกส่วนหนึ่ง ผมได้มาจากพี่สุมาอี้ คือ limit exposure
การจำกัดสัดส่วนของพอร์ตว่าเราจะไม่ถือหุ้นตัวนึงเกิน xx %
จะช่วยจำกัดความเสี่ยงของการ overconfidence ได้

อีกส่วนหนึ่ง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรจะมีเงินสดติดไว้เสมอ
หรือ มีทางออกสำหรับการหาเงินสดมาซื้อหุ้นในยามที่เกิดวิกฤติถ้าไม่ถือเงินสด
สุดท้าย จงเตรียมตัวพร้อมเอาไว้สำหรับโอกาสทั้ง เงิน ความรู้ ความกล้า

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 12:19 am
โดย Energy_eak
istyle เขียน:
Energy_eak เขียน:ผมไม่เก่งนะ..แต่ขอแชร์ประสบการณ์ครับ

ผมเคยซื้อหุ้นตัวนึง...ที่1.2 ราคาขยับไปสูงสุดที่1.3หน่อยๆ...จากนั้นมีเหตุการสำคัญกระทบกับบริษัท...ราคาตกลงไปต่ำสุดที่ราวๆ30สตางค์....ตอนนั้นผมตัดสินใจซท้อเพิ่มครับ...ด้วยความ"โชคดี"สุดท้ายราคากลับมาเกิน1.3ซะอีกครับ

ปล.ผมไม่ได้บอกว่าอะไรผิด หรือ ถูกนะครับ...เล่าแชร์อะครับ
การซื้อเฉลี่ยขาลงผมคิดว่าทำได้ครับ

แต่ไม่ใช่เหตุผลเพราะหวังโชคช่วยแน่ๆ

เนื่องจากก่อนที่เราจะซื้อ เราควรจะมั่นใจในการประเมินของเรา รวมทั้งเผื่อส่วนต่างเพื่อความปลอดภัยด้วย

ส่วนคำถามว่าจะซื้อตอนนั้นเลยดีมั้ย

อยากถามกลับครับว่า เราทราบหรือเปล่าว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ไหน? (ถ้ารู้ก็รวยไปแล้ว)

สำหรับผมก็จะประเมินว่า ณ ราคานี้มีผลตอบแทนที่คาดหวังเท่าไหร่ ปันผลเท่าไหร่ เงินเราเย็นพอหรือไม่

และจะทำใจก่อนเลยครับว่า ถ้าซื้อมันอาจจะลงไปอีก แต่เรารับได้กับปันผลและจะไม่รีบขายมันทิ้งไป
อ่าน คห. ของคุณ istyle ทำให้คิดได้ว่า..ที่ผมเขียนไว้ บางทีเผื่อมีใคร มาอ่านแล้วจะเข้าใจ ผิดได้จริงๆครับ.

ขอบคุณมากครับทีช่วยขยายความเพิ่มเติม^_^

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 4:15 am
โดย chitadisai
ตอนไปตลาดรัสเซีย
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาก็คือ
คนจีน มีความอึด อดทน มากกว่าคนไทยมาก
เค้าจะใช้กลยุทธ์ ยืดเยื้อในการต่อราคา ยิ่งเราต่อเค้ามาก ก็ยิ่งยืดเยื้อมาก
สมมติเราต่อราคา แม่ค้าไม่ยอม เราก็จะไปร้านอื่น เค้าจะทำทุกวิธีทาง
ในการดึงเราไว้ ทั้งดึง ลาก พูดต่างๆนานา แล้วก็ลดให้นิดนึง
ทำอย่างนี้หลายๆรอบ จนเราเหนื่อยมาก ซื้อๆไป ถ้าเป็นแม่ค้าคนไทย ไม่ซื้อก็ไม่ยื้อ
เกมส์นี้ก็คือ ใครเหนื่อยก่อน ก็แพ้ ใครอึดกว่ากัน
ของที่ผมซื้อๆมา ราคาพอๆกับเมืองไทย
ทำให้ผมรู้ว่า ไอที่เสียเวลาต่อราคา เป็นชั่วโมงๆ หลายๆร้าน ได้ของมาราคาไม่ได้ถูกกว่าบ้านเรามาก
ถึงแม้จะต่อแบบครึ่งๆ หาร 3 หาร 4 แล้ว ซื้อบ้านเราก็ได้ ของก๊อปบ้านเราก็มากมาจากพี่จีนมีขายมากมาย
คนจีนเค้าก็รู้จักคนไทยดี คนไทยไปเที่ยวบ้านเค้ามาก คนจีนก็มาเที่ยวบ้านเรามากเช่นกัน
เค้ารู้ราคาที่เหมาะสมที่จะขายกับคนไทย เค้ารู้นิสัยเรา

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 5:46 am
โดย investor9000
แฟนผมเคยไปซื้อของที่ตลาดรัสเซีย เห็นกระเป๋าใบหนึ่ง แม่ค้าบอก 200 หยวน

แฟนผมต่อ 20 หยวนได้ไหม มันทำเป็นโมโหหน้าแดงเชียว แฟนผมก็ไม่สนใจ

แกล้งทำเป็นเดินออกจากร้านกำลังจะลงบันไดเลื่อนแล้ว แม่ค้าคนนั้นก็วิ่งมาบอกว่ายอมแล้ว

เลยได้กลับมา 2 ใบ และลองไปเดินดูที่ร้านอื่นๆ ก็ไม่มีร้านไหนขายได้เท่านี้เลย

ส่วนหุ้นผมว่า เมื่อผมมีเป้าหมาย ราคาแล้ว ก็รอให้ราคามันมาถึง ยังไม่ถึงก็ไม่ซื้อ

ถ้าถึงแล้วก็ซื้อ มันจะลงก็ช่างหัวมัน เพราะซื้อแล้วคิดว่าจะไม่ขายเลย เอาไว้อีก 10 ปี 20 ปี ค่อยมาว่ากัน

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 7:22 am
โดย superboy
ซื้อมาตั้ง 8 ใบ เหมือนกัน เอามาทำไม เอาไปขายต่อเพื่อนที่เมืองไทยซิ. อิอิ

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 7:44 am
โดย kasam
ซื้อของกับซื้อหุ้นมันคนละเรื่องครับ

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 12:00 pm
โดย wigraipat
ผมขอแชร์แนวคิดแบบผมดูน่ะคับ

เวลาผมคิดรอบคอบแล้วซื้อหุ้น แต่หุ้นยังลงอีก ผมก็จะซื้อจนหมดเงินที่ผมคิดว่าจะซื้อหุ้นตัวนี้
จากนนั้นไม่ว่าจะลงไปแค่ไหนผมจะไม่ซื้อเพิ่มคับ
ผมเชื่อว่าคนเราถึงจะคิดดีแค่ไหนก็อาจพลาดได้คับ อย่าซื้อเพิ่มจนเกินตัว
และผมเชื่อว่าถ้าตอนที่เราซื้อหุ้นเราคิดว่าราคามันถูกมากแล้ว มันต้องกลับมาได้เหมือนที่เราคิดคับ ไม่งั้นแสดงว่าเราคิดผิดก็จ่ายค่าครูไปตามระเบียบคับ

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 12:15 pm
โดย Notelio
ซื้อของมันต่างจากซื้อหุ้นตรงที่มันขายออกไม่ได้ การซื้อหุ้นเฉลี่ยขาลงไม้ช่วยชีวิตที่ซื้อข้างล่าง ถ้าดีดขึ้นมาก็ต้องลดน้ำหนักออก เพราะมันไม่ใช่จำนวนที่เราจะซื้อแต่แรกมันเป็นแค่กลยุทธดึงต้นทุนลงเท่านั้น และควรทำเมื่อพื้นฐานหุ้นไม่เปลี่ยนและราคาหลุดมาแรงไปเท่านั้น แต่ถ้าพื้นฐานเปลี่ยนนี่ต้องหยุดซื้อเด็ดขาดครับ

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 1:43 pm
โดย MacroArt
เคยไปเที่ยวจีน แม่ค้าขายกำไลหยกเดินขึ้นมาขายบนรถทัวร์ ลูกทัวร์เบาะหน้าสุดต่อจาก 200 หยวนเหลือ 100 หยวน ขณะที่ลูกทัวร์เบาะหลังสุดได้มาในราคา 20 หยวน แม่ค้าลงรถอย่างสบายใจเพราะของขายได้หมด ส่วนลูกทัวร์เบาะหน้าช้ำใจเพราะติดดอย

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 12, 2012 9:59 pm
โดย nonation
ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกนะครับ สำหรับผมการซื้อหุ้นคือการตั้งเป้าหมาย
1. มองหาหุ้น แล้วศึกษา ( ได้ลึกหรือตื้นก็ว่ากันไป )
2. ตัดสินใจว่าพอใจที่จะลงทุนใหม ถ้าพอใจราคาเป้าหมายสุดท้ายคือเท่าใหร่
3. สรุปผลลัพท์ของการลงทุนดูว่า ถ้าราคาอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จะต้องมี
ปันผลเข้ามาลดน้ำหนัก ( ภาระ ) ลงด้วยหรือไม่
4. ระยะเวลาหวังผลเท่าใด 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี
5. ผลตอบแทนที่ต้องการโดยประมาณคือเท่าใด ( จำนวนเงิน หรือ เปอเซ็นต์ )
6. ราคาที่เริ่มเข้าซื้อได้เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามข้อ 5
7. ซื้อจนกว่าจะได้ครบจำนวนตามประมาณการข้อ 6
8. ซื้อได้ครบแล้วหยุดอยู่แค่นั้นไม่มีการซื้อเพิ่มอีก แม้ว่าราคาจะลงไปอีก
9. ไม่ขายม้ว่าราคาจะลงไปอีก ๆ ๆ ๆ ถ้ายังไม่ครบกำหนดเวลาตามข้อ 4
10 อาจขายถ้าราคาเพิ่มขึ้นจนได้กำไรเกิน 50 % ของข้อ 5 แม้ว่ายังไม่ครบ
ระยะเวลาตามข้อ 4
11. ขายทันที หรือ ปล่อยทิ้งลืมไปเลยถ้าครบเวลาตามข้อ 4 แล้วราคาไม่เป็น
ไปตามที่คาดหมายตามข้อ 4 ( เพราะเงินลงทุนสำหรับผม ๆ มองหุ้นแต่ละตัว
คือกิจการที่มีการแยกบัญชีกันเด็ดขาด และมีการกัน NPL. ไว้แล้วเพื่อไม่ให้
มีผลกระทบกับกิจการ ( หุ้น ) ตัวอื่น )

หมายเหตุ ตอนนี้ผมเล็งหุ้นไว้ตัวหนึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องเก็บให้ครบ 100,000 หุ้น
ตามแนวคิดนี้ แล้วจะรู้กันว่าจะมีอะไรในกอใผ่

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 13, 2012 8:41 am
โดย kraikria
ผมคิดว่า ถ้าเราซื้อถัวเฉลี่ยเพราะทำให้ต้นทุนลดลงอย่างเดียวไม่ใช่การกระทำที่ดีครับ. เราควรต้องประเมินให้ได้ว่าธุรกิจที่เราลงทุนยังดีอยู่หรือไม่ ก่อนที่จะทำอะไรลงไป

ถ้าธุรกิจไม่มีอะไรแย่ลง แถมยังดีขึ้นด้วย อะไรแบบนี้ ก็ลุยครับ...ขอให้ซื้อเพราะจุดที่ซื้อมันคุ้มค่า ไม่ใช่เพื่อลดต้นทุน

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 13, 2012 9:03 pm
โดย tawich
ขอคิดด้วยคนครับ ผมคนหนึ่งที่ซื้อถัวขาลง ที่ซื้อเพราะเชื่อว่าธุระกิจยังไปต่อได้ อนาคตของบริษัทยังดีอยู่แม้จะมีปัญหาบ้างบางช่วง ที่สำคํญยังมีปันผลปลอบใจ ในเมื่อเมื่อธุระกิจยังดีอยู่ เมื่อหุ้นสะท้อนความเป็นจริงนั่นคือกำไร ถ้าผู้หญิงคนนั้นซื้อกระเป๋า8ใบ แต่หล่อนรู้ว่าถ้ามาที่เมืองไทยขายในราคาที่สูงกว่าเจ้าแรกที่ซื้อ นั่นแสดงว่าเจ้าหลังๆที่ซื้อกำไรยิ่งมากขึ้นนะครับ

Re: บทเรียนนักช้อป = ซื้อถัวเฉลี่ยขาลง

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 14, 2012 10:50 pm
โดย yoko
นลทวอต้องซื้อหนักๆตอนขาลงครับ
เพราะก่อนซื้อผมมองตัวเลขต่างๆดีแล้ว
และรอจนราคาถูก เมื่อผมซื้อแล้วราคาตก
ผมก็ดูๆๆๆๆ แล้วก็ซื้อเพิ่มอีก
เมื่อผมเงินหมดแล้วราคาตกลงอีก
ผมก็ดูๆๆๆๆๆ แล้วน้ำลวยหกเพราะอยากได้แต่เงินหมด555 555