R37: มวลวิกฤต กับ ทฤษฎีลิงตัวที่ 100
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 09, 2012 8:36 pm
มือใหม่หัดเขียนครับ ถ้าสนใจอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ http://randomwalk.bloggang.com
ในการดำเนินธุรกิจนั้นบางครั้งผลกำไรของตัวสินค้าและบริการจะคุ้มต้นทุนในการลงทุนหรือไม่จะขึ้นอยู่กับความนิยมของตลาดด้วย ถ้าเป็นสินค้าและบริการดั้งเดิมที่คนรู้จักและคุ้นเคยกับการใช้งานอยู่แล้ว ย่อมจะขายได้ง่ายกว่าสินค้าหรือบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ยังต้องอาศัยเวลาเป็นการพิสูจน์ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะเปิดร้านขายอาหาร การขายข้าวมันไก่ที่คนคุ้นเคยอยู่แล้วย่อมมีความเสี่ยงน้อยกว่าการขายเสต็กเนื้อแกะที่คนไทยยังไม่ค่อยคุ้นเคย อย่างไรก็ตามถ้าสินค้าหรือบริการที่เป็นของใหม่ทำให้เกิดกระแสนิยมแห่ตามกัน ผู้ขายก็คงจะเหมือนถูกแจ็กพอต เพราะยังไม่มีคู่แข่งจึงทำให้ได้กำไรที่มากกว่าการขายสินค้าและบริการแบบดั้งเดิม
ตัวอย่างสินค้าที่ดังกล่าวที่เห็นได้ชัดในที่ผ่านมาก็คือ น้ำชาเขียว ในช่วงเริ่มแรกชาเขียวจะดื่มกันในร้านอาหารญี่ปุ่นเท่านั้นและยังมีน้อยคนนักที่รู้จักเครื่องดื่มประเภทนี้ ต่อมาเมื่อชาเขียวเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่งก็เกิดกระแสการดื่มชาเขียวขึ้นมา จนในปัจจุบันชาเขียวได้ติดตลาดและเรียกได้ว่าน้ำชาเขียวอาจจะมาแทนการดื่มน้ำอัดลมสำหรับบางคนไปแล้วก็ได้ สินค้าอีกตัวหนึ่งก็คือ iphone ในช่วงแรก iphone จะนิยมในกลุ่มเฉพาะคนรัก apple เท่านั้น แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทุกคนรอบตัวใช้ iphone กันหมด ตนเองจึงรู้สึกว่าจะต้องใช้ iphone ตาม สุดท้ายทุกคนในสังคมของเราก็ใช้ iphone เหมือนกันทั้งหมด ยังมีตัวอย่างอื่นให้เห็นอีกมากมาย เช่น เทรนด์ของเสื้อผ้า การตัดผม การนิยมเกาหลี แบรนด์เนมที่ฮิตตามกัน หรือแม้กระทั่งการซื้อหุ้นที่เป็นที่นิยมในขณะนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีจุดหนึ่งที่เราจะรู้สึกว่าคนรอบตัวนิยมแบบนี้ ทำให้เราต้องใช้สินค้าและบริการแบบนี้ตามคนรอบตัว
มีนักวิจัยศึกษาพฤติกรรมของลิงบนเกาะแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น พบว่าลิงเหล่านี้มีพฤติกรรมเรียนรู้ที่จะล้างมันฝรั่งที่เปื้อนทรายด้วยน้ำทะเลก่อนกิน แรกๆก็จะมีลิงอยู่ไม่กี่ตัวที่ล้างมันฝรั่ง และลิงก็เริ่มทำตามกันอย่างช้าๆไปจนถึง “ลิงตัวที่ 100” เมื่อถึงจุดนี้ พฤติกรรมของลิงจะถูกเลียนแบบอย่างรวดเร็ว จนทำให้ลิงทั้งหมดในเกาะนั้นล้างมันฝรั่งก่อนที่จะกิน ซึ่งจุดนี้เขาเรียกว่าจุด “มวลวิกฤต” (Critical Mass)
ทฤษฎีนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในการลงทุนก็คือ การเข้าลงทุนในธุรกิจที่เราได้คาดการณ์ว่าธุรกิจนั้นๆใกล้จะถึงจุดมวลวิกฤต และทำให้เกิดความนิยมในอนาคต ถึงแม้ว่าสภาพในปัจจุบัน หรืองบการเงินต่างๆของตัวบริษัทยังไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่เมื่อใดที่ถึงจุดมวลวิกฤตที่สินค้าและบริการนั้นติดตลาดและคนเริ่มใช้ตามกัน การขายสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ได้กำไรมากกว่าอดีตหลายเท่าตัว อย่างไรก็ตามการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆทั้งหลายอาจจะมีความเสี่ยงมากกว่าธุรกิจแบบดั้งเดิม เพราะถ้าสินค้าและบริการนั้นไม่ติดตลาดขึ้นมา ก็จะทำให้บริษัทขาดทุนได้มากเช่นกัน
ผมคิดว่า การลงทุนในธุรกิจประเภทใหม่และหวังจะให้เกิดจุด “มวลวิกฤต” ในอนาคตนั้นน่าจะปกป้องความเสี่ยงในระดับหนึ่งได้โดยการดูแนวโน้มจากต่างประเทศ เพราะประเทศไทยมักจะมีแนวโน้มความนิยมที่ตามหลังต่างประเทศอยู่เสมอ ธุรกิจไหนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในต่างประเทศ ก็น่าจะมีความน่าจะเป็นสูงที่จะประสบความสำเร็จในประเทศไทย
ในการดำเนินธุรกิจนั้นบางครั้งผลกำไรของตัวสินค้าและบริการจะคุ้มต้นทุนในการลงทุนหรือไม่จะขึ้นอยู่กับความนิยมของตลาดด้วย ถ้าเป็นสินค้าและบริการดั้งเดิมที่คนรู้จักและคุ้นเคยกับการใช้งานอยู่แล้ว ย่อมจะขายได้ง่ายกว่าสินค้าหรือบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ยังต้องอาศัยเวลาเป็นการพิสูจน์ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะเปิดร้านขายอาหาร การขายข้าวมันไก่ที่คนคุ้นเคยอยู่แล้วย่อมมีความเสี่ยงน้อยกว่าการขายเสต็กเนื้อแกะที่คนไทยยังไม่ค่อยคุ้นเคย อย่างไรก็ตามถ้าสินค้าหรือบริการที่เป็นของใหม่ทำให้เกิดกระแสนิยมแห่ตามกัน ผู้ขายก็คงจะเหมือนถูกแจ็กพอต เพราะยังไม่มีคู่แข่งจึงทำให้ได้กำไรที่มากกว่าการขายสินค้าและบริการแบบดั้งเดิม
ตัวอย่างสินค้าที่ดังกล่าวที่เห็นได้ชัดในที่ผ่านมาก็คือ น้ำชาเขียว ในช่วงเริ่มแรกชาเขียวจะดื่มกันในร้านอาหารญี่ปุ่นเท่านั้นและยังมีน้อยคนนักที่รู้จักเครื่องดื่มประเภทนี้ ต่อมาเมื่อชาเขียวเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่งก็เกิดกระแสการดื่มชาเขียวขึ้นมา จนในปัจจุบันชาเขียวได้ติดตลาดและเรียกได้ว่าน้ำชาเขียวอาจจะมาแทนการดื่มน้ำอัดลมสำหรับบางคนไปแล้วก็ได้ สินค้าอีกตัวหนึ่งก็คือ iphone ในช่วงแรก iphone จะนิยมในกลุ่มเฉพาะคนรัก apple เท่านั้น แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทุกคนรอบตัวใช้ iphone กันหมด ตนเองจึงรู้สึกว่าจะต้องใช้ iphone ตาม สุดท้ายทุกคนในสังคมของเราก็ใช้ iphone เหมือนกันทั้งหมด ยังมีตัวอย่างอื่นให้เห็นอีกมากมาย เช่น เทรนด์ของเสื้อผ้า การตัดผม การนิยมเกาหลี แบรนด์เนมที่ฮิตตามกัน หรือแม้กระทั่งการซื้อหุ้นที่เป็นที่นิยมในขณะนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีจุดหนึ่งที่เราจะรู้สึกว่าคนรอบตัวนิยมแบบนี้ ทำให้เราต้องใช้สินค้าและบริการแบบนี้ตามคนรอบตัว
มีนักวิจัยศึกษาพฤติกรรมของลิงบนเกาะแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น พบว่าลิงเหล่านี้มีพฤติกรรมเรียนรู้ที่จะล้างมันฝรั่งที่เปื้อนทรายด้วยน้ำทะเลก่อนกิน แรกๆก็จะมีลิงอยู่ไม่กี่ตัวที่ล้างมันฝรั่ง และลิงก็เริ่มทำตามกันอย่างช้าๆไปจนถึง “ลิงตัวที่ 100” เมื่อถึงจุดนี้ พฤติกรรมของลิงจะถูกเลียนแบบอย่างรวดเร็ว จนทำให้ลิงทั้งหมดในเกาะนั้นล้างมันฝรั่งก่อนที่จะกิน ซึ่งจุดนี้เขาเรียกว่าจุด “มวลวิกฤต” (Critical Mass)
ทฤษฎีนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในการลงทุนก็คือ การเข้าลงทุนในธุรกิจที่เราได้คาดการณ์ว่าธุรกิจนั้นๆใกล้จะถึงจุดมวลวิกฤต และทำให้เกิดความนิยมในอนาคต ถึงแม้ว่าสภาพในปัจจุบัน หรืองบการเงินต่างๆของตัวบริษัทยังไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่เมื่อใดที่ถึงจุดมวลวิกฤตที่สินค้าและบริการนั้นติดตลาดและคนเริ่มใช้ตามกัน การขายสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ได้กำไรมากกว่าอดีตหลายเท่าตัว อย่างไรก็ตามการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆทั้งหลายอาจจะมีความเสี่ยงมากกว่าธุรกิจแบบดั้งเดิม เพราะถ้าสินค้าและบริการนั้นไม่ติดตลาดขึ้นมา ก็จะทำให้บริษัทขาดทุนได้มากเช่นกัน
ผมคิดว่า การลงทุนในธุรกิจประเภทใหม่และหวังจะให้เกิดจุด “มวลวิกฤต” ในอนาคตนั้นน่าจะปกป้องความเสี่ยงในระดับหนึ่งได้โดยการดูแนวโน้มจากต่างประเทศ เพราะประเทศไทยมักจะมีแนวโน้มความนิยมที่ตามหลังต่างประเทศอยู่เสมอ ธุรกิจไหนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในต่างประเทศ ก็น่าจะมีความน่าจะเป็นสูงที่จะประสบความสำเร็จในประเทศไทย