Thai VI

ถ้าผมจะแบ่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งสำหรับการคาดเดาอนาคต โดยคิดว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งน่าจะเป็นหุ้น turnaround และผมจะตั้งกฏสำหรับตัวเองว่าถ้ามันเป็นจริง ( โต 100 % ) ภายใน
1 ปีถือว่าผมกำไร 100 %
2 ปีถือว่าผมกำไร 75 %
3 ปีถือว่าผมกำไร 50 %
4 ปีขายทิ้งทันที เอาทุนคืนถ้ามันไม่ขยับขึ้นเลย ( อาจเท่าทุน หรือขาดทุน )

คิดว่าความคิดแบบนี้พอจะใช้ได้ใหมครับ โอกาสล่มจมมีมากขนาดใหนครับ ถ้าผม
ดำเนินการตามกฏโดยเคร่งครัด

ผมไม่แน่ใจว่ากฏของคุณ nonation จะใช้ได้ดีมากน้อยแค่ไหน
แต่จากที่ผมศึกษาเกียวกับเรื่องการเพิ่มกำไร หรือ การ turnaround ประเด็นที่น่าจะต้องใส่ใจมากๆ คือ
บริษัทจะ turnaround ได้อย่างไร?
โอกาสเกิดขึ้นสูงแค่ไหน?
และใช้เวลานานเท่าไร?

ยกตัวอย่างนะครับ บริษัทหนึ่งแค่ลดพาร์ก็กลับมามีกำไรได้, บริษัทที่มีหนี้ท่วมหัวปรับโครงสร้างหนี้ก็ลดต้นทุนดอกเบี้ยได้เยอะ มีโอกาสกลับมามีกำไรได้, บางบริษัทเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจไปเลยก็กลับมามีกำไร, บางบริษัทถูก take over มีทุนใหม่เข้ามา ก็มีกำไร

ซึ่งเราต้องติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด และจะสังเกตุได้ว่า หลายๆ รูปแบบของการ turnaround เกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ต้องรอเป็นปีๆ ผมไม่เชื่อในอนาคตหลายๆ ปีข้างหน้าที่ภาพยังไม่ชัดเจนครับ เลยไม่แน่ใจครับว่ากฏนั้นจะไช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือเปล่า

โดยส่วนตัวผมยังไม่เคยมีประสบการณ์หุ้น turnaround นะ แต่ควานหาอยู่ หังหูไว้หูละกัน ผิดถูกอย่างไรขอโทษด้วยครับ

ผมอ่านดู เหมือนเอาผลตั้ง แต่ ยังไม่หาเหตุนะครับ

การดูหุ้น Turnaround น่าจะเริ่มหา จากหุ้นที่พื้นฐานที่ก่อให้เกิดรายได้ มีการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น เรา ควรหาหุ้น ตั้งสมมุติฐานก่อน แล้วติดตามผลการดำเนินการว่าเป็นไปตามที่คาดหรือไม่

ส่วนผลที่ได้ จะ มาก จะ น้อย ขึ้นกับ พื้นฐานหุ้นที่ได้เลือกมา

เลือกได้ดี ตั้งสมมุติฐานถูก ผลการดำเนินการเป็นไปตามที่คาด ก็กำไร

ถ้าตรงข้ามก็ขาดทุน

ขอบคุณครับ เป็นลักษณะที่ว่าต้องการประเมินวิธีการก่อนนะครับ ส่วนการหาหุ้น
ก็ต้องลงในรายละเอียดอีกที แต่เผื่อในกรณีที่มองหรือวิเคราะห์พลาดแหละครับ
ตลาดไม่มีใครรู้จริง

ต้องเผื่อ downside risk ด้วยนะครับ เห็น scenario มีแต่เสมอตัว...
และอีกอย่าง หากซื้อปุ๊บ ราคา ตก ปั๊บ ต้องถามตัวเองว่า ประเมินถูกต้องจริงรึเปล่า? ยังกล้าถือต่อรึเปล่า?

^
^
^
^
หุ้นturnaround ถ้าซื้อปุ๊ปหุ้นลง มือใหม่ ขาสั่น ซิท่าน
ต้องจิตใจหนักแน่นเลยครับ
แต่ต้องคิดถูกทางนะ ถ้าผิดทางแล้วหลงคิดว่าถูก ละยุ่งเลย

ผมคิดว่าการมองหาโอกาส
จากหุ้น turnaround สำคัญกว่านะ

และถ้าไม่มั่นใจจริงๆ
ผมว่าอยู่ห่างๆ ไว้ก็ดี
เราไม่จำเป็นต้องหาทุกโอกาสที่ผ่านมา
ตลาดไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น

ผมว่า turnaround มันก็ต้องวิเคราะห์ตัวถ่วงของกิจการให้ออกล่ะครับว่าเกิดจากอะไร ส่งผลกระทบอย่างไร และบริษัทมีแนวทางแก้ไขอย่างไร และแนวโน้มของปัญหาเป็นอย่างไร ถ้าตอบไม่ได้ผมก็ไม่ลงทุนครับ

สุดท้ายถ้าอยากลงทุนหุ้นแบบนี้ก็ต้องนึกชื่อคุณ PAK ให้ดีครับ เพราะย่อมาจาก Passion And Knowledge นั่นเอง

การจะมองหากิจการที่จะ turn around นั้น ต้องมองปัจจัยเชิงคุณภาพ ก่อน ปัจจัยเชิงปริมาณ
บริษัทนี้มันมีอะไรดี อะไรคือ key point ที่จะ turn around
ดูให้ออกว่ามันคือลูกปิงปอง หรือไข่
ลูกปิงปองเวลาตกกระทบพื้นยิ่งแรงเท่าไหร่มันจะยิ่งเด้งกลับแรงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นไข่ หากกระทบพื้นก็อย่างที่รู้ๆกัน
จำมาจาก P'pak นะครับ

สรุปคือ โอกาสล่มจมมีครับ ถ้าหากมันเป็นไข่
เพราะปีที่ 4 ราคาหุ้นอาจจมดิ่งลงก้นเหวไปแล้ว

ขอบคุณครับ สำหรับทุกความเห็น แต่อยากจะฟังความเห็นครับว่าโอกาสล่มจม
มันมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ ( อนุมาน ) 50 % 70 % หรือ 100 % ไม่รู้ว่ามีใครเคยทำวิจัยเรื่องทำนองนี้ไว้บ้างหรือไม่ครับ จากสถิติหุ้นที่มีสตอรี่ในตลาดว่ามันน่าจะเป็นหุ้น Turnaround

*********************************
* เพราะเราคิดต่าง เราจึงเป็นต้นแบบ *
*********************************

BeSmile เขียน:ผมอ่านดู เหมือนเอาผลตั้ง แต่ ยังไม่หาเหตุนะครับ

การดูหุ้น Turnaround น่าจะเริ่มหา จากหุ้นที่พื้นฐานที่ก่อให้เกิดรายได้ มีการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น เรา ควรหาหุ้น ตั้งสมมุติฐานก่อน แล้วติดตามผลการดำเนินการว่าเป็นไปตามที่คาดหรือไม่

ส่วนผลที่ได้ จะ มาก จะ น้อย ขึ้นกับ พื้นฐานหุ้นที่ได้เลือกมา

เลือกได้ดี ตั้งสมมุติฐานถูก ผลการดำเนินการเป็นไปตามที่คาด ก็กำไร

ถ้าตรงข้ามก็ขาดทุน

ขอบคุณครับ พี่ BeSmile ในมุมมองหุ้น Turnaround นั้นผมไม่ถนัด แต่ก็อยากได้ความรู้ครับ ตรงประเด็นที่พี่บอกว่า "เราควรหาหุ้น ตั้งสมมุติฐานก่อน" ตรงนี้พี่มีวิธีการหาหุ้นอย่างไรครับ เพราะลำพังการหาหุ้นแบบผมคือเห็นสินค้าตัวไหนดีแล้วก็มาศึกษาเพิ่มเติมก่อนซื้อนั้น ในประสบการณ์ผม ผมยังไม่เจอตัวไหนจะ Turnaround เลยครับ จึงต้องการทราบว่า หุ้น Turnaround นั้นเรามีวิธีการหา หรือร่อนหุ้นออกมาก่อนศึกษาเบื้องลึกอย่างไรครับ?

JUMP เขียน:

BeSmile เขียน:ผมอ่านดู เหมือนเอาผลตั้ง แต่ ยังไม่หาเหตุนะครับ

การดูหุ้น Turnaround น่าจะเริ่มหา จากหุ้นที่พื้นฐานที่ก่อให้เกิดรายได้ มีการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น เรา ควรหาหุ้น ตั้งสมมุติฐานก่อน แล้วติดตามผลการดำเนินการว่าเป็นไปตามที่คาดหรือไม่

ส่วนผลที่ได้ จะ มาก จะ น้อย ขึ้นกับ พื้นฐานหุ้นที่ได้เลือกมา

เลือกได้ดี ตั้งสมมุติฐานถูก ผลการดำเนินการเป็นไปตามที่คาด ก็กำไร

ถ้าตรงข้ามก็ขาดทุน

ขอบคุณครับ พี่ BeSmile ในมุมมองหุ้น Turnaround นั้นผมไม่ถนัด แต่ก็อยากได้ความรู้ครับ ตรงประเด็นที่พี่บอกว่า "เราควรหาหุ้น ตั้งสมมุติฐานก่อน" ตรงนี้พี่มีวิธีการหาหุ้นอย่างไรครับ เพราะลำพังการหาหุ้นแบบผมคือเห็นสินค้าตัวไหนดีแล้วก็มาศึกษาเพิ่มเติมก่อนซื้อนั้น ในประสบการณ์ผม ผมยังไม่เจอตัวไหนจะ Turnaround เลยครับ จึงต้องการทราบว่า หุ้น Turnaround นั้นเรามีวิธีการหา หรือร่อนหุ้นออกมาก่อนศึกษาเบื้องลึกอย่างไรครับ?

ใช้ file ของพี่ครรชิตก็พอจะร่อนหุ้นออกมาได้ครับ
สมมติฐานที่เราอาจจะลองตั้งดูตอนใส่ filter ให้กับ excel เช่น
1. ขาดทุนลดลงทุกปี และไตรมาสล่าสุดยังขาดทุนหรือเริ่มกำไร
2. ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 10% ในรอบสามปีที่ผ่านมา
3. PBV<1

ได้อกมาแล้วไปเจาะรายบริษัทอีกทีโดยอ่าน 56-1 และเข้าไปดูในข่าวบริษัทใน set.or.th
บริษัทอาจจะกำลังทำอะไร เช่น เปลี่ยนชื่อ, เปลี่ยนผู้บริหาร, ขายบริษัทย่อยออก, มีแผนลดพาร์ และอีกหลายๆอย่าง หรือถ้าไม่มีให้วิเคราะห์เหตุผลที่มันจะ turnaround ได้

ถ้าเราไม่มั่นใจมาก เราลองมาหาหุ้นที่แย่ชั่วคราวแต่ถูกตลาดลงโทษก็ได้ครับ วิธีคล้ายๆกัน
ทางที่ดีหาที่ turnaround แล้วมีแนวโน้มจะโตต่อเนื่องอีก 3ปีขึ้นไปถึงจะน่าสนใจลงทุนครับ

PBV<1 อาจพลาดหุ้นหลายตัวนะครับเพราะบริษัทที่ขาดทุนติดต่อกันหลายปีส่วนทุนเหลือจิ๊ดเดียวเอง

nonation เขียน:ขอบคุณครับ สำหรับทุกความเห็น แต่อยากจะฟังความเห็นครับว่าโอกาสล่มจม
มันมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ ( อนุมาน ) 50 % 70 % หรือ 100 % ไม่รู้ว่ามีใครเคยทำวิจัยเรื่องทำนองนี้ไว้บ้างหรือไม่ครับ จากสถิติหุ้นที่มีสตอรี่ในตลาดว่ามันน่าจะเป็นหุ้น Turnaround

*********************************
* เพราะเราคิดต่าง เราจึงเป็นต้นแบบ *
*********************************

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีคนทำวิจัยเอาไว้รึเปล่านะครับ แต่หากถาม Warren Buffett ก็จะตอบว่า
"Both our operating and investment experience cause us to conclude that "turnarounds" seldom turn, and that the same energies and talent are much better employed in a good business purchased at a fair price than in a poor business purchased at a bargain price."
คือ บริษัท Turnarounds ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะ Turn จริงอ่ะครับ ใช้คำว่า Seldoms นี่โอกาสไม่น่าจะเกิน 10% น่ะครับ (โอกาสล่มจม > 90%)

จริงๆ ในตัวหุ้น Turnarounds เองก็น่าจะมีหลายแบบ -> หุ้นที่น่าลงทุน ผมว่าเป็นพวกที่ผู้บริหาร OK (มีความสามารถ และมีจริยธรรม) แต่เกิดปัญหาชั่วคราวมากกว่านะครับ ลองเอาเวลาไปวิเคราะห์เพิ่ม ดีกว่า ดูจาก Story ว่าจะ Turn หรือ ไม่ Turn ครับ
หากลงทุนตาม Story ผมว่าเสี่ยง (มาก) ครับ
แล้วก็เห็นด้วยกับที่ คุณ ส.สลึง บอก คือ ควรมองหา "โอกาส" ดีกว่า ผมคิดว่า "โอกาส" ที่ว่าน่าจะเป็น การเติบโตของยอดขาย + กำไร จาก Status เดิมที่กำลังย่ำแย่ ครับ

nonation เขียน:ขอบคุณครับ สำหรับทุกความเห็น แต่อยากจะฟังความเห็นครับว่าโอกาสล่มจม
มันมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ ( อนุมาน ) 50 % 70 % หรือ 100 % ไม่รู้ว่ามีใครเคยทำวิจัยเรื่องทำนองนี้ไว้บ้างหรือไม่ครับ จากสถิติหุ้นที่มีสตอรี่ในตลาดว่ามันน่าจะเป็นหุ้น Turnaround

*********************************
* เพราะเราคิดต่าง เราจึงเป็นต้นแบบ *
*********************************

ผมเดาว่าไม่มีครับ
และเดาต่อว่า แต่ละตัวค่าต่างกันมาก บางตัวอาจจะมีโอกาสเทิน>90% บางตัวอาจจะมีโอกาสเทิน<1%
ดังนั้นถ้าแต่ละตัวมีความแตกต่างกันมาก คงทำให้เป็นสูตรสำเร็จยากปะครับ

ในส่วนเทินภายในกี่ปีตอบแทนเท่านั้นเท่านี้4ปีขายทิ้ง ผมว่ามันไม่น่าจะเอามาเป็นระบบได้นะครับ
ผมเดาว่าkeyของหุ้นเทินอะราวคือ ต้องมองให้ออกเลยว่าบ.มันแย่เพราะอะไร? และบริษัทมันจะไม่แย่เพราะอะไร?
และบริษัทมันมากลับมาโตเพราะอะไร? ถ้าหาเจอkeyเหล่านี้ก็ติดตามว่าเป็นแบบที่คิดไหม?ในเคสที่เป็นน่าจะใช้เวลาเท่าไหร่รีเทินเท่าไหร่?ในเคสที่ไม่เป็นน่าจะใช้เวลาเท่าไหร่รีเทินเท่าไหร่? เทียบกับตัวอื่นคุ้มค่าคุ้มเสี่ยงไหม?
ถ้าคุ้มก็ลงทุน(สะกิตผมด้วยนะ555)

ปล.แต่ต้องรู้จริงนะครับ ถ้ารู้จริง ผมเดาว่า(เดาอีกละ555) คุณจะรู้เองว่ามั่นใจแค่ไหนควรเข้ากี่%
แต่หากไม่รู้จริงแค่เห็นว่ามันแย่แล้วหวังว่าวันหนึ่งมันจะดีแล้วซื้อหลายๆตัวเพื่อหวังว่ามันจะเทิน.....ผมว่ายากมากครับ....เพราะหุ้นแย่ๆจะกลับมาดีอาจจะมีแค่1% แต่!!!หุ้นตัว1%นี้ที่อาจจะมีโอกาสเทินถึง90%และเดาว่าพี่pakแกเจอ แกก็เลยเข้า....(แต่มะสะกิตอย่างเซ็ง-*-)(ล้อเล่นนะพี่555)

แต่ถ้าอยากเล่นจริงๆผมให้ข้อระวังสองข้อ
1.จากทฤษฏีเกมส์ คนร้ายตราบใดก็ร้ายควรมองร้ายไว้ก่อนเพราะโอกาสที่คนร้ายจะกลับตัวมาดีต่ำมากๆ
คนดีตราบใดก็ดีเพราะคนจะดีแล้วเปลี่ยนมาไม่ดีโอกาสต่ำมาก(แต่ก็มองกลางๆไว้ก่อนวีไอเราเน้นเซฟ555)
2.พวกหุ้นที่pbvต่ำๆแต่ขาดทุน นับวันbvมันจะยิ่งต่ำจึงทำให้pต่ำตามไปด้วย พวกนี้ถ้าไม่มั่นใจว่าจะเทินแล้วถือยาวๆไม่แค่ไม่ได้กำไรแต่อาจจะเข้าเนื้อนะครับ^^

ขอบคุณครับ สรุปในเบื้องต้นแนวนี้น่าจะไม่น่าเป็นไปได้ แนวทางที่น่าจะศึกษาต่อคือหุ้นที่เกิดปัญหาชั่วคราว ( หรือคิดว่าชั่วคราว ) ตามที่คุณ kongkiti แนะนำ ( กรณีคำถามนี้คือการแบ่งเงินทุนเพียงส่วนหนึ่งอาจจะเพียง 10 % เพื่อเล่นกับอารมณ์ของตลาด และเป็นการลงทุนยาว ว ว ว จริง ๆ + 3 ปี

JUMP เขียน:[....

"เราควรหาหุ้น ตั้งสมมุติฐานก่อน" ตรงนี้พี่มีวิธีการหาหุ้นอย่างไรครับ เพราะลำพังการหาหุ้นแบบผมคือเห็นสินค้าตัวไหนดีแล้วก็มาศึกษาเพิ่มเติมก่อนซื้อนั้น ในประสบการณ์ผม ผมยังไม่เจอตัวไหนจะ Turnaround เลยครับ จึงต้องการทราบว่า หุ้น Turnaround นั้นเรามีวิธีการหา หรือร่อนหุ้นออกมาก่อนศึกษาเบื้องลึกอย่างไรครับ?

เจอคำถามเข้าไปเลย งง ๆ เลยกลับมาคิดทบทวน ใหม่

เพราะที่ผมเคยดูและศึกษาแต่ละตัวนั้น ใช้แนวคิดไม่เหมือนกันเลย ในการดูการ Turn Around
หุ้น turn around ในความหมายของ lynch โดยสรุปตามที่ผมเข้าใจนั้นคือ หุ้นที่ทำธุรกิจ แล้วมีปัญหา แล้วสามารถแก้ปัญหานั้นได้ แล้วมีแนวโน้มที่สามารถ ทำกำไรได้มากกว่าเดิม

ถ้าเรายึด คำของ lynch ดังกล่าว สิ่งที่เราต้องใช้ ก่อน คือ จินตนาการ - Imagination
จินตนาการ เพื่อ นำมาตั้งสมมุติฐาน ว่าอะไรเป็นเหตุในการ Turn around ของรายได้หรือกำไร

เพราะหุ้นจะ Turn around ได้นั้นเราไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ว่า หลังจากบริษัท ได้แก้ปัญหาแล้วจะทำให้บริษัท มีกำไรกลับมาดังเดิมหรือมากกว่า

ดังนั้นสิ่งที่เราเดา(ไม่รู้) มักจะมีความเสี่ยงสูงกว่าสิ่งที่เรารู้

เราลองแยกกลุ่มการ Turn around เป็น 3 แบบ
A จากกิจการแย่ ไปเป็น เหมือนเดิม เสี่ยงที่สุด
B จากกิจการแย่ ไปเป็น ดีกว่าเดิม เสี่ยงเหมือนกัน แต่ถ้าเจอจะคุ้มมาก
C จากกิจการธรรมดา ไปเป็น ดีกว่าเดิม เสี่ยงน้อย หน่อย ถ้าซื้อได้ที่ MOS เพียงพอ

แต่อย่าลืมการ Turn around ต้องใช้เวลาในการ Turn around ยกตัวอย่างที่แย่ที่สุด

เช่น เจ้าสวนผัก เป็นแบบ A ที่ต้องรอการเพิ่มทุน เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ และได้ผู้บริหารฝีมือดีมาแก้ไข – อย่างนี้เอาเวลาไปดูหุ้นตัวอื่นดีกว่า

สาเหตุที่ทำให้ มีการ Turn around ทั้ง 3 แบบคือ
ปัจจัยภายในเช่น การปรับแผนงานธุรกิจ เปลี่ยนผู้บริหาร
ปัจจัยภายนอกเช่น รัฐเปลี่ยนนโยบาย อย่างรถคันแรก
สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุด คือ ผู้บริหาร เพราะเป็นหัวใจของการ Turn around

มาดูสัญญาณ ของการ Turn around

ในมุมมองบริษัทดูได้จากงบการเงิน เท่านั้นที่ยืนยัน ได้จริง

แต่ถ้าเรารองบออกมายืนยัน ราคาหุ้นก็มารอให้นักลงทุนขายแล้วมั้ง

ดังนั้นสัญญาณต่าง ๆ ขึ้นกับว่าเรามีความรู้ในตัวบริษัทนั้น ขนาดไหนและแต่ละบริษัทก็มีสัญญาณ ไม่เหมือนกัน

ยกตัวอย่าง บริษัทขายเครื่องสำอาง ถ้าเรามี Shop เป็นตัวแทน ก็ได้เปรียบ

อย่างน้องนิวเคลียร์ 3BB ช่วงต้นก็ต้องดูการขยายตัว ของ NET ADD

และสุดท้ายก็กับมาที่จินตนาการ (เดา) ที่เราตั้งสมมุติฐาน สาเหตุของการ Turn around แล้วคอยเฝ้าดู


จะว่าไปแล้วการใช้ จินตนาการ วิเคราะห์ข้อมูล จาก ข่าวสารหลาย ๆ ทาง เพื่อมาตั้งสมมุตฐาน กับหุ้นที่เราสนใจ นั้นใช้ได้กับหุ้นทุกประเภท

หลังจากนั้นก็ใช้ความรู้เพื่อทำการศึกษาและติดตามในเชิงลึก เพื่อดูว่าเป็นไปตามจินตนาการนั้น หรือไม่


คมคำสุดท้ายนี้

จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

ผมคิดว่าจริง ๆ ไอน์สไตน์ แกต้องการจะบอกว่า มีความรู้แล้วให้พัฒนาไปเป็นจินตนาการมากกว่า

เพราะไม่งั้นมีแต่จินตนาการ ไม่มีความรู้ ก็แค่เป็นการเพ้อฝัน ไม่สามารถพิสูจน์หรือทำให้เป็นจริงได้


ไม่เชื่อลองไปถามพี่หมอ IMAGINATION ในงานวันที่ 9 เดือน 9 ได้เลยครับ

BeSmile เขียน:

JUMP เขียน:[....

"เราควรหาหุ้น ตั้งสมมุติฐานก่อน" ตรงนี้พี่มีวิธีการหาหุ้นอย่างไรครับ เพราะลำพังการหาหุ้นแบบผมคือเห็นสินค้าตัวไหนดีแล้วก็มาศึกษาเพิ่มเติมก่อนซื้อนั้น ในประสบการณ์ผม ผมยังไม่เจอตัวไหนจะ Turnaround เลยครับ จึงต้องการทราบว่า หุ้น Turnaround นั้นเรามีวิธีการหา หรือร่อนหุ้นออกมาก่อนศึกษาเบื้องลึกอย่างไรครับ?

เจอคำถามเข้าไปเลย งง ๆ เลยกลับมาคิดทบทวน ใหม่

เพราะที่ผมเคยดูและศึกษาแต่ละตัวนั้น ใช้แนวคิดไม่เหมือนกันเลย ในการดูการ Turn Around
หุ้น turn around ในความหมายของ lynch โดยสรุปตามที่ผมเข้าใจนั้นคือ หุ้นที่ทำธุรกิจ แล้วมีปัญหา แล้วสามารถแก้ปัญหานั้นได้ แล้วมีแนวโน้มที่สามารถ ทำกำไรได้มากกว่าเดิม

ถ้าเรายึด คำของ lynch ดังกล่าว สิ่งที่เราต้องใช้ ก่อน คือ จินตนาการ - Imagination
จินตนาการ เพื่อ นำมาตั้งสมมุติฐาน ว่าอะไรเป็นเหตุในการ Turn around ของรายได้หรือกำไร

เพราะหุ้นจะ Turn around ได้นั้นเราไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ว่า หลังจากบริษัท ได้แก้ปัญหาแล้วจะทำให้บริษัท มีกำไรกลับมาดังเดิมหรือมากกว่า

ดังนั้นสิ่งที่เราเดา(ไม่รู้) มักจะมีความเสี่ยงสูงกว่าสิ่งที่เรารู้

เราลองแยกกลุ่มการ Turn around เป็น 3 แบบ
A จากกิจการแย่ ไปเป็น เหมือนเดิม เสี่ยงที่สุด
B จากกิจการแย่ ไปเป็น ดีกว่าเดิม เสี่ยงเหมือนกัน แต่ถ้าเจอจะคุ้มมาก
C จากกิจการธรรมดา ไปเป็น ดีกว่าเดิม เสี่ยงน้อย หน่อย ถ้าซื้อได้ที่ MOS เพียงพอ

แต่อย่าลืมการ Turn around ต้องใช้เวลาในการ Turn around ยกตัวอย่างที่แย่ที่สุด

เช่น เจ้าสวนผัก เป็นแบบ A ที่ต้องรอการเพิ่มทุน เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ และได้ผู้บริหารฝีมือดีมาแก้ไข – อย่างนี้เอาเวลาไปดูหุ้นตัวอื่นดีกว่า

สาเหตุที่ทำให้ มีการ Turn around ทั้ง 3 แบบคือ
ปัจจัยภายในเช่น การปรับแผนงานธุรกิจ เปลี่ยนผู้บริหาร
ปัจจัยภายนอกเช่น รัฐเปลี่ยนนโยบาย อย่างรถคันแรก
สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุด คือ ผู้บริหาร เพราะเป็นหัวใจของการ Turn around

มาดูสัญญาณ ของการ Turn around

ในมุมมองบริษัทดูได้จากงบการเงิน เท่านั้นที่ยืนยัน ได้จริง

แต่ถ้าเรารองบออกมายืนยัน ราคาหุ้นก็มารอให้นักลงทุนขายแล้วมั้ง

ดังนั้นสัญญาณต่าง ๆ ขึ้นกับว่าเรามีความรู้ในตัวบริษัทนั้น ขนาดไหนและแต่ละบริษัทก็มีสัญญาณ ไม่เหมือนกัน

ยกตัวอย่าง บริษัทขายเครื่องสำอาง ถ้าเรามี Shop เป็นตัวแทน ก็ได้เปรียบ

อย่างน้องนิวเคลียร์ 3BB ช่วงต้นก็ต้องดูการขยายตัว ของ NET ADD

และสุดท้ายก็กับมาที่จินตนาการ (เดา) ที่เราตั้งสมมุติฐาน สาเหตุของการ Turn around แล้วคอยเฝ้าดู


จะว่าไปแล้วการใช้ จินตนาการ วิเคราะห์ข้อมูล จาก ข่าวสารหลาย ๆ ทาง เพื่อมาตั้งสมมุตฐาน กับหุ้นที่เราสนใจ นั้นใช้ได้กับหุ้นทุกประเภท

หลังจากนั้นก็ใช้ความรู้เพื่อทำการศึกษาและติดตามในเชิงลึก เพื่อดูว่าเป็นไปตามจินตนาการนั้น หรือไม่


คมคำสุดท้ายนี้

จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

ผมคิดว่าจริง ๆ ไอน์สไตน์ แกต้องการจะบอกว่า มีความรู้แล้วให้พัฒนาไปเป็นจินตนาการมากกว่า

เพราะไม่งั้นมีแต่จินตนาการ ไม่มีความรู้ ก็แค่เป็นการเพ้อฝัน ไม่สามารถพิสูจน์หรือทำให้เป็นจริงได้


ไม่เชื่อลองไปถามพี่หมอ IMAGINATION ในงานวันที่ 9 เดือน 9 ได้เลยครับ

ยอดเยี่ยมเลยครับพี่เล็ก ครับ ผมชอบคำตอบของพี่มากๆครับ

การตกผลึกของแนวคิด มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ประสบการณ์ได้มาจากการเรียนรู้
การเรียนรู้ ช่วยสร้างจินตนาการจริงๆครับ

^^^
Good job

กำลังศึกษาอยู่เหมือนกันค่ะ

ส่วนตัวคิดว่าปัจจัยในการ turnaround ก็แยกย่อยไปหลายแบบ เช่น
1. หุ้นที่ผลประกอบการไม่ดีนัก เนื่องจากอุตสาหกรรมนั้นอยู่ในช่วงขาลง supply มากกว่า demand
ซึ่งถ้าเป็นบริษัทเล็กๆก็จะผ่านไปได้ลำบาก ถึงขั้นขาดทุน. พออุตสาหกรรมเริ่มดี. มีการปรับโครงสร้างหนี้หรือล้างขาดทุนสะสม หุ้นก็จะกลับตัวได้เร็ว.

2. หุ้นที่ลงทุนหนักๆมาหลายปี และใกล้ถึงจุดคุ้มทุน และ demand ในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโต
อย่าง thcom bts เป็นต้น

3. หุ้นที่ดีพอประมาณ และอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต แต่มีปัจจัยที่ฉุดผลประกอบการ เช่นมีบริษัทลูกที่ขาดทุน หรือผู้บริหารไม่โปร่งใส ซึ่งถ้าตัดออกหรือแก้ไขได้ ก็จะทำให้ได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย. เช่น jas ktc cpf

4. หุ้นที่เปลี่ยนอุตสาหกรรมไปเลย. เช่น kamart. Sst. แต่อันนี้ก็ต้องดูว่าเปลี่ยนแล้วสำเร็จหรืเปล่า

5. หุ้นที่มีการ shift จากอุตสาหกรรมที่กำไรน้อยไปที่มีกำไรมากกว่า โดยต่อยอดจากธุรกิจเดิม เช่น cpf focus

5. หุ้น กลุ่มอสังหา รับเหมา. ประมูลงาน. ซึ่งในช่วงนั้นได้งานหรือมีโครงการขนาดใหญ่กว่า scale ปกติที่เคยทำมาก.

ที่คิดได้ประมาณนี้อ่ะค่ะ ผิดถูกชี้แนะเพิ่มเติมได้เลยค่ะ

ส่วน % ในการลงทุน เรา weight ตามความมั่นใจค่ะ. ถ้าเป็นกิจการที่เราเข้าใจ. มีข้อมูล โปร่งใส ก็ลงทุนมากหน่อย. แล้ว money management ก็สำคัญค่ะ. เพราะหุ้นพวกนี้จะ swing มากๆๆ. ควรบริหารหน้าตักให้ดี
ไม่งั้นลงทีเดียวหมดหน้าตักแล้วหุ้นตกมา 50% อาจจะใจแป้วได้. แต่ถ้าโชคดีก็อาจจะได้เป็นสองสามเด้ง
( เอ๊ะ นี่คุยเรื่องหุ้นใช่มั๊ย อิอิอิ )