ตอบสั้นๆ "Apps" สำหรับผู้ให้บริการนั่นเอง
อธิบายให้เห็นภาพ
ในระบบขนส่งมวลชน รถไฟ รถไฟฟ้า ผู้ให้บริการสร้างชานชาลา หรือ platform ให้ลูกค้ายืนพักรอเข้าแถวก่อนขึ้นรถ ไปปลายทาง
ในระบบสื่อสารมวลชนก็เหมือนกัน ข่าวสารจำนวนมากที่จะถูกส่ง จะมีจุดมีพื้นที่พักเพื่อจัดระบบก่อนส่งหรือ platform เช่นกัน (ก่อนไปสิ้นสุดที่ผู้เสพข่าว ก็ลำเลียงผ่านไปทาง "สื่อ" ที่อาจสื่อสิ่งพิมพ์ ถ้าเป็นสัญญาณเสียงหรือภาพ ก็อาจเป็นสายทองแดง, อาจผสมเลเซอร์ยิงไปในสายใยแก้ว, อาจยิ่งขึ้นอวกาศไปดาวเทียม, แล้วก็ความถี่วิทยุบนภาคพื้นดิน ไปแปลงกลับเข้าเครื่องรับ แล้วยุคนี้มีผสมหลายทางไปโผล่เข้าระบบออก Mobile device อย่างมือถือและ Tablet ด้วย)
ทีนี้ อธิบายด้วยเทคโนโลยีที่เราคุ้นกันอยู่แล้ว ถ้าจะบอกว่า Digital TV จะคล้ายกับเราดูหนัง CD คือใช้ Technology บีบอัดไฟล์ให้เล็กลง เพื่อให้ได้ช่่องเยอะขึ้น เทคโนโลยีที่แพร่หลายและที่จะเอามาใช้กับระบบเราเป็นจริงๆ เลยคือ MPEG
ก็บริษัทเดียวกับเจ้าของเทคโนโลยีลิขสิทธิ์บีบอัดเพลง MP3 ส่วนทาง AV (Audio Video นะครับ ไม่ใช่ Audio-Video

) ที่เอามาใช้กับ DVB เป็น MPEG-2 และ MPEG-4 แล้วแต่ประเทศ
แล้วเอาสัญญาณนั้นส่งออกอากาศกระจายไปทั่ว เทคโนโลยี digital คล้ายๆ กับ Wireless Broadband ทั้งหลาย รวมถึง 4G ด้วย
จะเห็นว่าถ้าเราดูง่ายๆ มันก็แทบไม่ต่างกับเราใช้ Internet ในทุกวันนี้นี่เอง แต่การกระจายเสียง/ภาพดังเดิม เป็นการส่งสัญญาณไปปลายทางด้านเดียว กระจายไปหาลูกค้าโดยไม่สนใจต้องมีส่งสัญญาณกลับ ที่เรียกว่า Broadcasting
(แต่ที่ผมไม่แน่ใจว่าจะมีรึเปล่า เพราะยังไม่เห็นของจริงจากผู้ให้บริการเนื่องจากยังไม่เป็นวุ้น ยังไม่ได้ประมูลเลย... คือมาตรฐานยุโรป DVB ที่กสทช.ประกาศว่าเราจะเอามาใช้ จะคล้าย internet ยิ่งขึ้น คือสามารถให้ลูกค้าตอบสนองกลับได้ด้วยโดยมีมาตรฐาน DVB-RCT (Return Channel Terrestrial) ประกอบมาด้วย ยังไม่รู้ว่าบ้านเราจะเอามาใช้หรือไม่ ถ้าทำกล่องแปลงสัญญาน หรือ Set-top box ก็ต้องเพิ่มขาส่งกลับด้วย)
เมื่อเป็น digital คนที่ทำ TV ก็จะสามารถควบคุมการกระจายสัญญาณ ด้วยวิธี Digital มีลูกเล่นได้เยอะขึ้น
ซึ่งตรงนี้ ที่ต้องการ Developer ทำ Hardware และ Software ทำขึ้นมาเพื่อควบคุมตามใจ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ไม่ต้องสนใจเทคโนโลยีว่ามันเป็นอะไร ที่เรียกว่า "Platform" จึงหมายถึงเจ้าระบบตัวนี้
และที่ควรเหมือนอย่าง TV ดาวเทียม ที่มีสารพัดกล่องทั้งหลายในปัจจุบัน ลูกเล่นฝั่งเครื่องรับ platform ต้องตอบสนองในการติดต่อได้
ถ้าเป็น TV Analog ก็แค่ต่อสายสัญญาณ Video ง่ายๆ เข้าหาเครื่องส่ง แล้วออกอากาศ
TV Digital เหมือนต้องการยุ่งยาก ถ้าจะเป็นผู้ให้บริการรายเล็กๆ จะทำเหมือนเดิมก็ได้ เอาสัญญาณเข้ารหัส ไปผสมสัญญาณความถี่ส่งแล้วออกอากาศ
แต่จะใช้ความถี่สัมปทานให้คุ้มค่า License เป็นประโยชน์ในการสร้าง interface กับลูกค้า
ยิ่งอนาคตได้ TV รุ่นใหม่ลูกเล่นมากมาย และผู้ให้บริการก็จะสร้างและพัฒนาระบบอื่นมาตามให้ทันเพื่อหาประโยชน์ให้มากที่สุด แล้วอาจไม่ใช่เฉพาะช่อง Free TV ก็ได้ ก็คล้าย Cable TV และ Satellite TV ทุกวันนี้
อาจมี remote ที่มีลูกเล่น อนาคตอาจไปไกลมี keyboard หรืออาจ touchscreen
และอาจไม่ใช่แค่ Broadcast เทคโนโลยีสามารถ interactive คือส่งสัญญาณกลับมาสถานีส่งได้เพื่อการควบคุมผ่าน DVB-RCT ที่บอกข้างบน เช่น เอาวิดีโอที่ออกใหม่มาฉาย กดรีโมทเลือกหนังใหม่เหมือนสั่งหนังใหม่ที่กำลังฉายในโรงดูเลยหรือจะหนังเก่าในคลังก็แล้วแต่ ซึ่งเราเรียก VoD หรือ Video on Demand (หรืออนาคต อาจสั่งสินค้าผ่าน TV ได้)
ทำไมต้อง Platform เหรอครับ ตัวอย่างประโยชน์ที่ดีๆ ในอนาคตมีอีกมาก
- เก็บสถิติการชมลูกค้า เพื่อโฆษณาให้ตรงเป้าหมาย
(Google มองวงการทีวีตาเป็นมันพยายามมีส่วนร่วมและจะกระตุ้นให้เกิด interactive มากกว่านี้ มองว่า TV operator ทุกวันนี้เฉื่อยเกินไป
ก็หนีไม่พ้นเรื่องโฆษณา จะแกะรอยลูกค้าว่านิยมรายการไหนเหมือนที่ทำกับ search engine)
- อาจสร้าง Application อะไรดึงดูดลูกค้าแปลกๆ ใหม่ๆ อย่างวงการ internet ทำตอนนี้
- Right Protection ป้องกันการ Copy หนังดีๆ เอาไปขาย เพราะเมื่อก่อนขนาดเป็นภาพไม่ชัด ก็ยัง copy กัน อย่าลืมว่าตอนนี้เป็น content คุณภาพสูงแล้ว
(และถึงแม้สุดท้าย คนเก่งๆ ก็ hack ได้ แต่ก็ถือว่าป้องกันแล้ว ยังดีกว่าปล่อยให้ copy ได้เฉยๆ ง่ายดาย)
- Subtitle หรือ Menu สารพัดภาษา
- อาจเก็บ Online bookmark รายการโปรดของลูกค้า ส่งสัญญานเชื่อมมือถือไป SMS/MMS บอก schedule รายการออกอากาศ เพิ่มรายละเอียด เช่น พรุ่งนี้วู๊ดดี้จะเชิญใครมามาคุย, รายการที่เคยดูต้องเลื่อนเพราะมีถ่ายทอด olympic มาทับ, แล้วมีรายการใหม่เกิดขึ้นคล้ายๆ กันคุณอาจสนใจ เป็นต้น
- สถานีส่ง อาจรับ content จากลูกค้ามากขึ้น จากปัจจุบันแค่ SMS อนาคตอาจรับ message สดโดยตรง, สร้างเกมเล่นกับรายการ, การโหวตในรายการ, อาจจะเขียนให้รับ clip video ได้เลย ยังมีเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขึ้นบนระบบ boradband อีกมากในอนาคต ที่เรายังไม่รู้ตอนนี้ ว่าอะไรจะเป็นที่นิยม ตัวอย่างคล้าย whatapps บนมือถือ เช่น อ่านตำแน่งว่าลูกค้าส่งมาจากที่ไหน
ขอให้จับตาดู google ว่าจะมาไม้ไหน! ยกแรกยังไม่สำเร็จ แต่ไม่ละความพยายามแน่
อย่างที่บอกว่า DVB-RCT ที่ยังไม่รู้ว่าบ้านเราจะเอามาใช้หรือไม่ ถ้าเอามาใช้ระบบ vote ก็รองรับบนนี้ได้ ไม่ไต้องไปส่งผ่านมือถือ เขียน platform แยกต่างหาก อย่างที่ทำทุกวันนี้
- ข้อมูลบนทีวี อนาคตอาจต้องปฏิสัมพันธ์กับ web และทำให้พร้อมที่จะออกจอทุกรูปแบบ ไม่ว่าจอ mobile หรือจอ tablet
อย่างที่น้าหยุ่น ณ เนชั่น ประกาศ vision แล้วว่าจะทำเช่นนั้น เพราะมีสื่อครบในมือ จะสำเร็จหรือไม่ก็คอยดู
- จะมีรายงานอะไรพิเศษเกี่ยวกับหุ้น จะมีช่องตลาดหุ้นหรือรายงานตลาด Asean Link รึเปล่า อนาคตอาจมีใครทำมากกว่านี้
สรุปกว้างๆ ถ้าจะให้บริการมืออาชีพ และทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ... ระยะแรกอาจจะจะทำแบบลูกทุ่ง ใช้ PC ไม่กี่ตัวควบคุม
ต่อสายสัญญาณวิดีโอออกอากาศเหมือนทีวีระบบเก่าก็พอได้ แค่ใช้ router ต่อไปหาระบบ
แต่ระยะยาวคู่แข่งเยอะขึ้น อาจรายได้สู้คนอื่นไม่ได้ ถ้ายังทำทื่อๆ อาจพออยู่ได้ตามมีตามเกิด แต่นานไปก็อาจเป็นเหมือนวิทยุ AM หรือ SW ที่ถูกมองเป็นวัตถุโบราณ obsolete และโลกลืมในวงการ
นอกจากฉายข่าว ฉายหนัง ที่เก็บเป็นรูป "ห้องสมุด Digital" ได้ทั้งหมดแล้ว ต้องมีระบบ เป็น server สร้างสรรค์บริการใหม่ๆ "Apps"
ที่สำคัญ ยิ่งเป็นฟรีทีวีด้วยแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือ "โฆษณา" ต่อไปนี้ Nielsen จะเก็บ Rating ได้แม่นยำกว่าเดิม และบริษัท Agency โฆษณา รวมถึงลูกค้าคนที่ใช้บริการยิง commercial spot จะสามารถตัดสินใจได้ว่า อยากออกโฆษณาช่องไหน เวลาเท่าไหร่ ให้ตรงเป้าหมาย
และการจัดราคากันอย่างไร เพราะปกติช่วงที่ลูกค้าดูเยอะ หรือที่เรียกว่า prime time โฆษณาต่อนาทีก็จะยิ่งแพง แต่คนแย่งกัน
การจัด Rating จะได้ความรู้สึกเชื่อมั่นมากกว่าเดิม ว่ามีลูกค้าดูเยอะจริง
แล้วช่วยให้สถานีจัดผังรายการง่ายขึ้น สมกับความเป็น Digital เพราะผู้บริหารมีข้อมูลตัดสินใจมากขึ้น ดูตัวเลขแล้วลองจับโยกได้เลย
ในวงการ TV Analog มีคำพูดคำหนึ่งว่า Content is the King
Content ในวงการ TV ก็คือหนัง ข่าว รายการบันเทิง
ซึ่งก็ไปตรงกับวงการอินเตอร์เนตด้วย ว่าการจะให้คน Search หา ต้องมี content ที่แข็งแกร่ง คนทำ SEO คือให้ search engine optimization ค้นหา ก็ได้รับคำแนะนำว่าต้องจัดเตรียม content ที่ดี และมีข้อความพร้อมมีข้อมูลที่สัมพันธ์กับคามต้องการลูกค้า
เมื่อ TV เข้าสู่วงการ Digital ผู้บริหารอาจต้องเรียนรู้พฤติกรรมของวงการ Internet มาเสริมด้วย เพราะคู่แข่งจะเยอะขึ้น อนาคตลูกค้ากดช่องหนีง่ายขึ้นเมื่อเบื่อ
เสริมอีกนิดว่าปัจจุบันบทบาทของคนทำ platform และ infrastructre ยังเป็นที่สับสนและถูกมองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน มองว่าการจัดการส่งออกผ่านเคเบิ้ลและดาวเทียม เป็น platform เพราะคนทำเป็นรายเดียวกัน และ platform ยังไม่ซับซ้อน
infrastructre operator ก็คือคนทำสถานีส่ง ช่อง 3, 5, 7, 9, 11, TPBS
ที่ถูกแยกไปพอเห็นเป็นธุรกิจต่างหากชัด คือ content provider คือคนทำรายการ มีแต่รายการข่าวเท่านั้น ที่ content provider เป็นสถานีเอง เพราะยังต้องการการควบคุมอยู่
แต่ก็มีตัวอย่างชัดเจน ที่เคยมีคนทำข่าวเทิงแยกออกมา
อนาคตขึ้นอยู่กับกสทช. ที่อาจเก็บค่า License แยก ซึ่งจากที่ดูข่าวที่ The Nation จัดงานวันเกิดตัวเอง เชิญ ดร. นที ศุกลรัตน์ไปพูด ก็เขียนไว้ว่า
โดยในงาน 12 ปี Nation Channel : Digital Media Landscape 2012 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.อ.ดร.นทีบอกว่า
กสทช.น่าจะออกใบอนุญาตการให้บริการทีวีออกเป็น 5 ประเภท คือ Infrastructure Provider (โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก) Network Provider (ผู้ให้บริการโครงข่าย) Frequency Spectrum , Service Provider (บริการช่องรายการ) และ Application Provider (บริการประยุกต์)
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=810958 "อนาคตสื่อทีวียุค กสทช./Content ทำท่าจะไม่ใช่ King ?"