หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ขอผู้มีประสบการณ์ให้ความกระจ่างด้วยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 30, 2004 10:59 pm
โดย windwheel
ปกติผมจะใช้เทคนิคในการซื้อขาย มีถูกบ้างผิดบ้างตามประสา "ผู้ไม่รู้"

แล้วก็ได้มีโอกาสรู้หลักการลงทุนแบบ Value Investment พอรู้แล้วรู้สึกชอบการลงทุนแบบนี้มาก แต่เนื่องจากเป็นผู้มาใหม่ จึงมีข้อสงสัยหลาย ๆ อย่างในมุมมองของ "นักเก็งกำไร"

ปัญหาสำคัญที่อยู่ในใจของผมคือ

หุ้นจะเรียกว่าแพง เมื่อ PE และ PBV สูง ๆ ๆ เท่านั้นหรือครับ ผมไปตามดูราคาหุ้นหลาย ๆ ตัวในสมัยที่ดัชนีลงจาก 1600 จุด มันก็ลงตาม
ในระยะเวลาเกือบ 10 ปี จากปี 94 หุ้นที่พื้นฐานดี จะปรับราคาของมันเองขึ้นมาถึงระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อตอนที่มันลงมา
เนื่องจากตอนนี้ผมเริ่มอ่านบทความของ ดร.นิเวศน์ เป็นประจำ ท่านบอกว่าเลือกหุ้นดี ๆ แล้วถือยาว ๆ จนกว่ามูลค่ามันจะสูงเกินจริง ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าผมถือหุ้นตอนสมัยที่ดัชนี 1600 ซื่งหุ้นพื้นฐานดีหลายตัว PE ก็ต่ำมาก อย่างปัจจุบัน ถือไม่ปล่อย ในระยะเวลา 10 ปี มันกลับมาอยู่ที่เดิม อย่างนี้ ทำถูกหรือครับ

ที่บอกมาทั้งหมดไม่ได้มาจับผิด หรือหาเรื่องอะไรนะครับ ต้องการความกระจ่างจริง ๆ เพราะถ้าจะพูดตามจริงผมศรัทธาวิธีการลงทุนอย่างนี้ครับ

ขอผู้มีประสบการณ์ให้ความกระจ่างด้วยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 30, 2004 11:14 pm
โดย Jeng
ถ้า pe ต่ำมากๆ เช่น pe 4 - 6 ตอน 1600 แล้วถือมา 10 ปี ราคายังเท่าเดิม ขอให้ช่วยดูรายละเอียด เช่น แต่ก่อน ราคา 10 บาท ปัจจุบัน ก็ 10 บาท มีการแตกพาร์หรือเปล่า และ มีนโยบายปันผลเยอะหรือไม่ ถ้าผ่านมา 10 ปี แล้วเราได้รับปันผล เกินจากราคาที่เราได้ซื้อไว้ คือ ซื้อไว้ 10 บาท ปันผล มาแล้วเกิน 10 บาท เท่ากับว่าปัจจุบันได้หุ้นฟรี อย่างไรก็ตามถ้าเราซื้อหุ้นที่พื้นฐานดี ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งวัดจากตัวเรา ไม่ต้องไปวัดจากคนอื่น ว่าราคาที่เหมาะสมเป็นเท่าไร หากว่าเราได้รับผลตอบแทน ตามที่เราตั้งใจไว้ก็น่าจะโอเคนะครับ

ขอผู้มีประสบการณ์ให้ความกระจ่างด้วยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 30, 2004 11:45 pm
โดย CK
การที่บอกว่าเลือกหุ้นดีๆแล้วถือยาวๆ ก็เป็น vi แล้ว นับเป็นความเข้าใจผิด
อย่างมหันต์ครับ

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะต้อง

(1) เลือกหุ้นที่ดีๆ มี growth สูงๆ
(2) อดทนรอราคาซื้อที่เหมาะสม
(3) ลุยซื้อ
(4) exit หรือ cut loss ถ้าตัดสินใจพลาด
(5) อดทนรอกำไรที่จะได้รับ
(6) ปรับปรุงพอร์ตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ไม่ว่าจะวีไอวีเอส จะต้องทำทั้งหกข้อนี้ ก็เหมือนการทำสงคราม
แหละครับ

ส่วนที่แตกต่างกันไปแต่ละคนคือ tactics ในการเลือกหุ้นเอง
บางคนเลือกเพราะกราฟสวย บ้างก็เลือกเพราะผลงานในอดีตดี
บ้างก็เพราะกำไรสะสมเยอะ

ส่วนราคาที่เหมาะสม บ้างก็ดูจากกราฟ บ้างก็ดู p/e p/bv บ้างก็
ดู peg บ้างก็ดู dcf

tactics ในการ exit ก็ต่างกัน บางคนตั้งจุด cut loss จากราคา บ้าง
ก็ดูผลประกอบการ บ้างก็ดู macro/micro economy trend บางคน
ก็ดูนักวิเคราะห์พูด

ส่วนกำไรแต่ละคนก็ต้องการไม่เหมือนกัน บางคนรอปันผลอย่างเดียว
บางคนรอ capital gain อย่างเดียว บางคนรอมันทั้งสองอย่าง

ฯลฯ

ขอผู้มีประสบการณ์ให้ความกระจ่างด้วยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 01, 2004 12:00 am
โดย CK
Jeng เขียน:ถ้า pe ต่ำมากๆ เช่น pe 4 - 6 ตอน 1600 แล้วถือมา 10 ปี ราคายังเท่าเดิม ขอให้ช่วยดูรายละเอียด
ถ้าหุ้น p/e 4 สิบปีที่แล้วราคา 10 บาท ตอนนี้ก็ยัง 10 บาทที่พาร์เดิม
แปลว่าไม่ใช่หุ้นดีครับ

ขอยกตัวอย่างว่าหุ้น A (หุ้นดี) กำไรเพิ่ม 10% ทุกปีนะครับ

ปีที่ 1 หุ้นราคา 10 บาท กำไร 2 บาท (p/e 5x)
ปีที่ 2 กำไร 2.2 บาท
ปีที่ 3 กำไร 2.42 บาท
ปีที่ 4 กำไร 2.66 บาท
ปีที่ 5 กำไร 2.93 บาท
ปีที่ 6 กำไร 3.22 บาท
ปีที่ 7 กำไร 3.54 บาท
ปีที่ 8 กำไร 3.90 บาท
ปีที่ 9 กำไร 4.28 บาท
ปีที่ 10 กำไร 4.71 บาท

ถ้าราคาปีที่ 10 ยัง 10 บาทอยู่ p/e จะเหลือ 2.12
ถ้าปันผล 50% ทุกปี ก็จะได้เงินปันผลมา 14.92 บาท
ปีสุดท้ายได้ปันผล 2.35 ซึ่งเท่ากับ 23.5% ของเงินต้น

ขอผู้มีประสบการณ์ให้ความกระจ่างด้วยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 01, 2004 1:24 am
โดย harry
CK เขียน:
ขอยกตัวอย่างว่าหุ้น A (หุ้นดี) กำไรเพิ่ม 10% ทุกปีนะครับ

ปีที่ 1 หุ้นราคา 10 บาท กำไร 2 บาท (p/e 5x)
ปีที่ 2 กำไร 2.2 บาท
ปีที่ 3 กำไร 2.42 บาท
ปีที่ 4 กำไร 2.66 บาท
ปีที่ 5 กำไร 2.93 บาท
ปีที่ 6 กำไร 3.22 บาท
ปีที่ 7 กำไร 3.54 บาท
ปีที่ 8 กำไร 3.90 บาท
ปีที่ 9 กำไร 4.28 บาท
ปีที่ 10 กำไร 4.71 บาท

ถ้าราคาปีที่ 10 ยัง 10 บาทอยู่ p/e จะเหลือ 2.12
ถ้าปันผล 50% ทุกปี ก็จะได้เงินปันผลมา 14.92 บาท
ปีสุดท้ายได้ปันผล 2.35 ซึ่งเท่ากับ 23.5% ของเงินต้น
อยากได้หุ้นแบบนี้จังครับ ใบ้หน่อยได้มั้ย ว่ามีของจริงมั้ยครับ

ขอผู้มีประสบการณ์ให้ความกระจ่างด้วยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 01, 2004 10:11 am
โดย VIB007
CK เขียน:การที่บอกว่าเลือกหุ้นดีๆแล้วถือยาวๆ ก็เป็น vi แล้ว นับเป็นความเข้าใจผิด
อย่างมหันต์ครับ

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะต้อง

(1) เลือกหุ้นที่ดีๆ มี growth สูงๆ
(2) อดทนรอราคาซื้อที่เหมาะสม
(3) ลุยซื้อ
(4) exit หรือ cut loss ถ้าตัดสินใจพลาด
(5) อดทนรอกำไรที่จะได้รับ
(6) ปรับปรุงพอร์ตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ไม่ว่าจะวีไอวีเอส จะต้องทำทั้งหกข้อนี้ ก็เหมือนการทำสงคราม
แหละครับ

ส่วนที่แตกต่างกันไปแต่ละคนคือ tactics ในการเลือกหุ้นเอง
บางคนเลือกเพราะกราฟสวย บ้างก็เลือกเพราะผลงานในอดีตดี
บ้างก็เพราะกำไรสะสมเยอะ

ส่วนราคาที่เหมาะสม บ้างก็ดูจากกราฟ บ้างก็ดู p/e p/bv บ้างก็
ดู peg บ้างก็ดู dcf

tactics ในการ exit ก็ต่างกัน บางคนตั้งจุด cut loss จากราคา บ้าง
ก็ดูผลประกอบการ บ้างก็ดู macro/micro economy trend บางคน
ก็ดูนักวิเคราะห์พูด

ส่วนกำไรแต่ละคนก็ต้องการไม่เหมือนกัน บางคนรอปันผลอย่างเดียว
บางคนรอ capital gain อย่างเดียว บางคนรอมันทั้งสองอย่าง

ฯลฯ
พูดถูกใจครับพี่ CK ขอก๊อปไปลงกระทู้ตระแกรงร่อนนะครับ
หวังว่าพี่คงไม่คิดค่าลิขสิทธิ์

ขอผู้มีประสบการณ์ให้ความกระจ่างด้วยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 01, 2004 11:15 am
โดย ayethebing
ไม่เห็นด้วยกับซือแป๋วิบูลย์ ตรงที่.........ไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ครับ นอกนั้นเห็นด้วยหมดเลย

แหมความจริงแบบครีมๆ แบบนี้ให้ฟรีได้ไงเนาะ พี่ซีกกี้

จากน้อง ayetheby

ขอผู้มีประสบการณ์ให้ความกระจ่างด้วยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 01, 2004 11:41 am
โดย VIB007
ayethebing เขียน:ไม่เห็นด้วยกับซือแป๋วิบูลย์ ตรงที่.........ไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ครับ นอกนั้นเห็นด้วยหมดเลย

แหมความจริงแบบครีมๆ แบบนี้ให้ฟรีได้ไงเนาะ พี่ซีกกี้

จากน้อง ayetheby
ให้ไม่ให้ก็เอาไปแปะแล้วหล่ะ
ก็ตอนนี้มุขหมด เลยต้องอาศัยมุขแมวขโมยหากิน...... อิ อิ

ท่าน ayethebing ตอนนี้เป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า

ขอผู้มีประสบการณ์ให้ความกระจ่างด้วยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 01, 2004 5:23 pm
โดย CK
ayethebing เขียน:แหมความจริงแบบครีมๆ แบบนี้ให้ฟรีได้ไงเนาะ พี่ซีกกี้
จะคิดค่าลิขสิทธิ์ก็เกรงใจครับคุณน้องเดอะบี้ ผมก็ก๊อปคนอื่นหลายๆ คนมา
อีกที ไม่เว้นแม้กระทั่งตำราพิชัยสงครามของซุนวู

สรุปแล้วยินดีให้กอปได้ครับ แต่บอกได้เลยจากประสบการณ์ว่าส่วนใหญ่ก็
รู้ครับ หลักการนี้ แต่ทำไม่ได้

เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าหลักการคือ "วินัยในการลงทุน" การโลภในเวลา
ที่ควรกลัวกับการกลัวในเวลาที่ควรโลภจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดจาก
แผนที่วางไว้เดิม ทำให้เกินการขายหมูและติดดอยกันเป็นประจำ