หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ตีแผ่ยุทธวิธี..จู่โจมแบบ 'เฮดจ์ฟันด์''ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 18, 2012 10:59 pm
โดย pakapong_u
ตีแผ่ยุทธวิธี..จู่โจมแบบ 'เฮดจ์ฟันด์''ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Monday, June 18, 2012 06:09
7357 XTHAI XGEN DAS V%NETNEWS P%WKT

'ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี' เปิดโปงยุทธวิธีฟาดกำไรเข้ากระเป๋าของเหล่าบรรดา 'เสือหิว..เฮดจ์ฟันด์' จ้องหาจังหวะจากความบกพร่องของตลาด ช่วง 'ภาคเศรษฐกิจจริง' ถูกภาคการเงิน 'ครอบงำ'
เปิดไปแล้วสำหรับประวัติของ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้มีดีกรี MBA เอกบริหารพอร์ตโฟลิโอจาก UCLA อดีตผู้บริหารระดับสูง บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ กบข. และฟิทช์ เรทติ้งส์ รวมถึงเคยมีประสบการณ์ทำงานที่ จาร์ดีนเฟลมมิ่ง แอสเซท แมเนจเม้นท์ ที่ฮ่องกง ทำให้รู้จักใกล้ชิดกับ กองทุนเฮดจ์ฟันด์ มากมาย ซึ่งตอนนั้นกองทุนเสือหิวกำลังมุ่งหน้าเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในภูมิภาคเอเชีย ประกอบกับ "หม่อมกร"เลือกทำวิทยานิพนธ์ตีแผ่ตัวตนของเฮดจ์ฟันด์ตอนเรียน ปริญญาโทใบที่สองที่คณะเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวได้ว่า เขาเป็นผู้ที่รู้จักกับเฮดจ์ฟันด์มากที่สุดคนหนึ่งของไทย ปรัชญาพื้นฐานที่ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์เข้ามาแสวงหาประโยชน์ได้นั้น ม.ล.กรกสิวัฒน์ อธิบายว่า เป็นเพราะระบบต่างๆ ในโลกไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เมื่อมี "จุดอ่อน" ก็ย่อมมีคนหาประโยชน์จากความไม่สมบูรณ์นี้ สรุปง่ายๆ เฮดจ์ฟันด์เกิดขึ้นจากความบกพร่องของระบบทุนนิยม ยิ่งเฮดจ์ฟันด์เบ่งบาน ยิ่งตอบคำถามได้ว่าระบบยิ่งมีความไม่สมบูรณ์มากขึ้น และมีคนมาหาผลประโยชน์มากขึ้น จากความไม่สมบูรณ์นั้น การจัดตั้งเฮดจ์ฟันด์ส่วนมากจะไปจดทะเบียนนิติบุคคลกันที่ประเทศที่มี Tax Haven (ปลอดภาษี) อย่างหมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น เกาะเคย์แมน ฯลฯ วัตถุประสงค์เพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจสอบ ซึ่งประเทศ พวกนี้จะจำกัดเฉพาะนักลงทุนที่ "กระเป๋าหนัก" เท่านั้น ส่วนพวกที่กระเป๋าไม่หนักอาจจะต้องไปลงทุน ทางอ้อมผ่านกองทุนอื่นที่ไปซื้อหน่วยลงทุนของเฮดจ์ฟันด์อีกที
ข้อได้เปรียบของเฮดจ์ฟันด์ ก็คือ ผู้จัดการกองทุนสามารถก่อหนี้ (Leverage) ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะทำให้ได้กำไรหรือขาดทุน ได้มากกว่าการลงทุนแบบปกติ ยิ่งมีสัดส่วนการใช้ Leverage ต่อทุนสูงมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความเสี่ยงและโอกาสได้กำไรเพิ่มมากขึ้น เช่น มีส่วนของทุนเพียง 1,000 ล้านดอลลาร์ อาจจะไปกู้ยืม มาทำให้กองทุนมีขนาดใหญ่ 5,000-10,000 ล้านดอลลาร์ ได้เลยทีเดียว
หม่อมกร เล่าต่อว่า พวกเฮดจ์ฟันด์จะมีผู้ช่วย คนสำคัญ คือ Prime Broker เนื่องจากการตั้งเฮดจ์ฟันด์ มักจะเกิดขึ้นจากคนเพียงไม่กี่คนและจ้างลูกน้องไม่เยอะ พวกนี้จะไปจ้าง Prime Broker เป็นแบ็คออฟฟิศให้ทั้งระบบ เช่น งานบัญชี ส่วนผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่เพียงแค่คิดว่าจะลงทุนอะไรดีเท่านั้น
ถามว่า Prime Broker คือใคร ก็คือพวกวาณิช- ธนกิจใหญ่ๆ ระดับโลกอย่าง เลแมน บราเธอร์ส, เมอร์ริล ลินช์ ฯลฯ พวกนี้ นอกจากช่วยเฮดจ์ฟันด์ทำงาน แล้วยังพร้อมจะ "ปล่อยกู้" ให้ด้วย โดยเอา "พอร์ตลงทุน" เช่น หุ้น ตราสารหนี้ พันธบัตรมา "ตึ๊ง" (จำนำ) ไว้ หรือเฮดจ์ฟันด์จะ "ยืมหุ้น" จาก Prime Broker มาขาย Short ก็ได้ ซึ่ง Prime Broker ก็จะมีลูกค้ามาซื้อขายหุ้นกับตัวเองมากมาย จึงมีหุ้นทุกตัวให้เฮดจ์ฟันด์ "ยืมไปขายก่อน" พวกนี้ก็นอนกิน "ค่าธรรมเนียม" รวยเละ!! ไม่เพียงวาณิชธนกิจใหญ่ๆ สนับสนุนให้เฮดจ์ฟันด์ เติบโตแล้ว ธนาคารพาณิชย์ ยังมีส่วนร่วมในการ "ปล่อยกู้" ให้เงินเฮดจ์ฟันด์ไปลงทุนด้วย กองทุนพวกนี้จึงไม่ได้ทำงานในมุมมืดอีกต่อไป ธนาคารใน ต่างประเทศแนะนำให้ลูกค้าของตัวเองไปลงทุนใน เฮดจ์ฟันด์อย่างเปิดเผย นอกจากนี้ ธนาคารพวกนี้ยังเป็นช่องทางให้เฮดจ์ฟันด์ "เก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน"ตัวเองก็ได้ผลประโยชน์จากการ "ซื้อขายเงินตรา" ของประเทศต่างๆ ให้เฮดจ์ฟันด์
"ผมเชื่อว่าสมัยปี 2540 ตอนนั้นธนาคารไทยก็ต้อง มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรค่าเงินบาทของเฮดจ์ฟันด์ แน่นอน ลองคิดดูว่ามีคนขายเงินบาทตูมๆ ทุกวัน ธนาคารต้องรู้ว่าตอนนี้มีเงินบาทออกจากระบบของเราแล้ว!"
ค้นหา 'จุดอ่อน' ของระบบแล้วจู่โจมฉับพลัน!!!
ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า กรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือ กรณีการโจมตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษในปี 1992 (ปี 2535) ตอนนี้ยังใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ก่อนที่อังกฤษจะประกาศลอยตัวค่าเงิน รัฐมนตรีคลังของเขาก็ออกมาบอกว่า "ไม่มีวันลด" จากนั้น 3 วัน ก็ต้องปล่อยลอยตัวค่าเงิน ตอนนั้น จอร์จ โซรอส เขาเห็นแล้วว่ามี "ช่องว่าง" ในระบบอัตราแลกเปลี่ยน จึงเข้า "โจมตี" (เก็งกำไร) ได้กำไรไปจำนวนมาก และทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นในทันที
"ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ แม้แต่ธนาคารกลางอังกฤษและอิตาลี ยังไม่สามารถเอาชนะเฮดจ์ฟันด์ได้ กรณีของประเทศไทยก็เช่นกันก่อนลอยตัวค่าเงินบาท (ปี 2540) เฮดจ์ฟันด์ก็อ่านเกมออกตั้งแต่แรก สุดท้าย
เราก็ต้องประกาศลอยตัวค่าเงิน..ภายใต้ระบบทุนนิยมการเข้ามาเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์เป็นเสมือนการ
เตือนว่าระบบกำลังมีจุดอ่อนเราต้องรีบไปแก้ไขซะ"เขาเชื่อว่าเราไม่มีทางกำจัดพวกเฮดจ์ฟันด์ออกไป จากระบบได้หมด พวกนี้ คือ "กระจกส่องตัวเราเอง"บางครั้งเฮดจ์ฟันด์ก็เป็น Watch Dog (สุนัขเฝ้ายาม) ทางเศรษฐกิจได้เหมือนกัน แม้แต่กองทุน "เทมาเส็ก" ของรัฐบาลสิงคโปร์ และ "เวิลด์แบงก์" ยังเป็นลูกค้าของเฮดจ์ฟันด์! ซึ่งเขาไม่ได้หวังเพียงแค่ผลตอบแทน แต่ต้องการรู้ด้วยว่าพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เฮดจ์ฟันด์ จึงมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก แม้แต่สหรัฐอเมริกาต้นแบบของระบบทุนนิยม ปัจจุบันก็กลับเป็น "เหยื่อ" ของทุนนิยมเสียเอง
ม.ล.กรกสิวัฒน์ ชี้ว่า ตอนนี้เฮดจ์ฟันด์ในเอเชียกำลังเติบโตเร็วมาก เพราะทุนนิยมไปโตที่ไหนมันจะไปที่นั่น ขณะที่อเมริกากับยุโรปมันโตจนถึงขีดสุด แล้ว จุดอ่อนของเอเชียก็คือแต่ละประเทศมีนโยบายทางเศรษฐกิจแตกต่างกันมาก และทุกประเทศถูกครอบงำโดยนโยบายภาครัฐทำให้เกิด "ช่องว่าง" เข้ามา หาผลประโยชน์ได้ง่าย และทุนเข้าครอบงำได้ง่าย
เขามองว่า เฮดจ์ฟันด์ก่อให้เกิด "ต้นทุนทางเศรษฐกิจ" เพราะสามารถดึงเงินออกจากระบบได้ครั้งละเป็นพันเป็นหมื่นล้านดอลลาร์ การที่กองทุนมีขนาดใหญ่ทุกความเคลื่อนไหวย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญได้เลยทีเดียว
วิธีค้าส่วนต่างกำไร (Arbitrage) แบบไม่มีความเสี่ยง
อีกส่วนที่สำคัญของเฮดจ์ฟันด์ ก็คือ แนวคิดในการค้าส่วนต่างกำไร (Arbitrage) เพื่อทำกำไรโดยไม่มีความเสี่ยงของตลาด แนวคิดง่ายๆ ของการทำ Arbitrage เกิดเมื่อมีการบิดเบือนของราคาสินค้าเกิดขึ้น เพราะเมื่อไรสินค้าตัวเดียวกันมีการซื้อขายอยู่ใน 2 ตลาด ย่อมมีโอกาสที่ราคาจะถูกบิดเบือนได้สูง
หลายปีที่ผ่านมา มีเฮดจ์ฟันด์จำนวนมากเข้ามาจัดตั้ง ในฮ่องกง และสิงคโปร์ ตามภาวะเศรษฐกิจในเอเชียที่เติบโตขึ้น ซึ่งหลายคนมักสับสนระหว่าง Hedge Fund กับ Private Equity เฮดจ์ฟันด์รอกินส่วนต่างของระบบ ยิ่งเร็วยิ่งดีอาทิตย์เดียวก็พอ แต่ Private Equity มุ่งเน้น ลงทุนระยะยาว ฟูมฟักจนเติบโตรอดอกผลแล้วถึงจะขายออกไป
สำหรับวิธีการลงทุนของเฮดจ์ฟันด์ เริ่มต้นจะเลือกหุ้น "สองตัว" ในเซ็กเตอร์เดียวกันเพื่อให้ได้ผลกระทบจาก Systematic Risk เท่าเทียมกัน โดยตัวแรกต้องมี "ราคาตลาด ต่ำกว่ามูลค่า" ที่ควรจะเป็นและตัวที่สองมี "ราคาตลาดแพงกว่ามูลค่า" ที่ควรจะเป็น ต่อมาก็จะ "ซื้อหุ้น" (ถือ Long) หุ้นที่มูลค่าตลาด "ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น" สมมติว่าใช้เงิน 100 ล้านบาท ซื้อหุ้น A แล้วไป "ยืมหุ้น" (B) ที่คิดว่า "ราคาแพงกว่ามูลค่าที่แท้จริง" มาทำการ "ขายล่วงหน้า" (ขาย Short) ด้วยจำนวนเงิน 100 ล้านบาท เท่ากัน
"ถ้าหากหุ้นสองตัวนี้ขึ้นลงในระดับเดียวกัน คือ 10% สถานะเงินลงทุนสุทธิก็ยังเท่ากับ "ศูนย์" เท่ากับว่าความเสี่ยง ได้ถูก "กำจัด" ออกไปแล้ว ถ้าหากการวิเคราะห์ถูกต้องในตลาด "ขาขึ้น" หุ้นที่ Under Value (ราคาถูกกว่าความเป็นจริง) ก็จะขึ้นมากกว่าหุ้นที่ Over Value (ราคาแพง) และในตลาด "ขาลง" หุ้นที่ Under Value ก็จะ "ตกน้อยกว่า" หุ้นที่ Over Value ผลกำไร ก็คือ ส่วนต่างของหุ้นสองตัวนี้นั่นเอง"
ม.ล.กรกสิวัฒน์ อธิบายว่า จากเทคนิคนี้จะทำให้ เฮดจ์ฟันด์สามารถทำกำไรได้ในทุกสภาวะตลาด!! ถึงมีอีกชื่อว่า "กองทุนบริหารความเสี่ยง" นอกจากนี้ เฮดจ์ฟันด์ ยังสามารถนำเงินที่ได้จากการขาย Short Sell หุ้น มาซื้อหุ้น (ถือ Long) หุ้นที่ยัง Under Value เพิ่มได้อีก ความสำเร็จของเฮดจ์ฟันด์จึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการเลือกหุ้นเป็นสำคัญ คือ เลือกหุ้นตัวที่ "ดีที่สุด" และ "แย่ที่สุด" ในเซ็กเตอร์นั้น แม้ในบางสถานการณ์หุ้น ทุกตัวในเซ็กเตอร์นั้นจะดีเหมือนกันหมด แต่หุ้นแต่ละตัว ก็ดีไม่เท่ากัน
กรณีที่หุ้นสองตัวนั้นอยู่ต่างอุตสาหกรรมกันจะต้องพิจารณาเงื่อนไขและผลกระทบในด้านเศรษฐกิจมหภาค ที่จะส่งผลให้หุ้นสองตัวมีความเคลื่อนไหวที่ต่างกัน เช่น หากเกิดเหตุการณ์ 9/11 หุ้นที่อยู่ในกลุ่มสายการบินจะต้อง ตกต่ำลง แต่หุ้นในกลุ่มระบบรักษาความปลอดภัยกลับได้ประโยชน์ นอกจากนี้ สภาพคล่องซื้อขายจะต้องสูงเพื่อให้กลยุทธ์ดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ เพราะถ้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สภาพคล่องต่ำ เฮดจ์ฟันด์อาจไม่สามารถซื้อหรือขายได้ตามราคาและปริมาณที่ต้องการก็จัดเป็น "ความเสี่ยง" ที่เพิ่มเข้ามา
"ที่สำคัญ ตอนนี้ภาคการเงินได้ครอบงำภาคเศรษฐกิจจริงไปแล้ว เห็นได้จากการซื้อขายน้ำมันในตลาดล่วงหน้า ที่มีมูลค่ามากกว่าซื้อขายจริงเป็นร้อยเท่า หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ถูกนำไปผูกกับตลาดการเงิน ยิ่งเป็นการสร้างโอกาสให้เฮดจ์ฟันด์มากขึ้นไปอีก"
สัปดาห์หน้า "หม่อมกร" จะมาเผยกลยุทธ์ทำกำไรของเฮดจ์ฟันด์ที่สามารถเก็งกำไรได้ทุกรูปแบบ รวมถึงไขคำตอบว่าทำไม!! เฮดจ์ฟันด์ถึง "ฆ่าไม่ตาย" และยัง จะโตขึ้นได้อีก..ห้ามพลาด!!
'ตราสารหนี้' เชื่อมโยงทิศทางตลาดหุ้น
แท้ที่จริงแล้ว อัตราผลตอบแทนของ "ตราสารหนี้"จะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทาง "ฟันด์โฟลว์" ได้เป็นอย่างดี!!!ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ชี้ว่าคนที่เป็นผู้จัดการกองทุนจะต้องหาจุดลงตัวที่เหมาะสมระหว่าง Top Down และ Bottom Up ให้มาเจอกัน ส่วนมากแล้วทีมที่ดูแลพอร์ตตราสารหนี้จะวิเคราะห์ Top Down เพราะ ผลขาดทุนหรือกำไรจากพันธบัตรจะมาจากเศรษฐกิจเป็นหลัก ส่วนทีมหุ้นจะมีส่วนแข็งที่ Bottom Up หรือการวิเคราะห์หุ้นจากปัจจัยภายในบริษัท ทั้งสองทีม ต้องทำงานสอดประสานกัน เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น กับอีกตลาดหนึ่งจะส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน อย่างเช่น ตลาดพันธบัตร ถ้าหากผลตอบแทนพันธบัตรลดลงอย่างรวดเร็ว แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังจะมีปัญหา หรือไม่!! คนเทรดหุ้นจะดูหุ้นอย่างเดียวไม่พอต้องดูตลาดตราสารหนี้ประกอบด้วย "ผลตอบแทนของพันธบัตรมักจะบอกภาพของเศรษฐกิจเสมอ เช่น อยู่ดีๆ ผลตอบแทนวิ่งขึ้นไปมากกว่า 0.20-0.30% แสดงว่าตลาดกำลังบอกอะไรเราอยู่ อย่างกรณีพันธบัตรรัฐบาลกรีซมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแสดงว่าความเสี่ยงเริ่มมากขึ้น เพราะผู้ออกตราสาร ต้องให้ผลตอบแทนที่สูงเป็นตัวจูงใจให้เข้ามาลงทุน"
ถ้าดูแต่เฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้บางทีจะช้ากว่าตลาดพันธบัตร ตัว Bond Yield จึงเป็นตัว ชี้วัดเศรษฐกิจได้ดีมาก นักลงทุนต้องมองให้ทัน จะรอให้ตลาดหุ้นถูกเทขายก่อนแล้วค่อยขายตามอาจเสียโอกาสได้

บรรยายใต้ภาพ
ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ