คำแนะนำสำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 01, 2012 8:27 am
คำแนะนำสำหรับคนที่สนใจประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์กว้างมาก เราเก่งกันเรื่องการลงทุนอยู่แล้ว ก็ใช้ความได้เปรียบของเรา ใช้ความรู็จาก value invetsing มาใช้ว่าจะศึกษากับประวัติศาสตร์อย่างไร ความรู้ที่ว่านี้ คือ นายตลาด สองส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย และสามการเข้าใจธุรกิจในกรอบของ circle of competence มันใช้จริงๆ ครับ ผมทำอย่างนั้นบ่อยครั้งกับสิ่งต่างๆ ที่ผมพยายามทำความเข้าใจ เริ่มจากตั้งคำถามว่าจะเริ่มอย่างไร ตัวเราคือใคร ต้องถามว่าเราถนัดแบบไหน เว็บนี้สนใจแต่เรื่องตลาดหุ้น เราก็บีบให้เข้าทาง circle of competence ของเรา เราก็เริ่มอย่างนั้น การลงทุนก็ยังกว้างอยู๋มาก ถ้าเรายังจับต้นปลายทางไม่ถูก เราอาจเริ่มจากสิ่งที่เราคุ้นเคย อย่างเช่น เงินกระดาษ หรือ ธนบัตร
อย่างอเมริกา มีสองคนในแบงค์ดอลไม่ได้เป็นประธานาธิบดี อเมริกาเอามาขึ้นหน้าแบงค์ เขาเป้นระบบทุนนิยม เขายกย่องคนแบบนั้น แต่ที่เกาหลี เขาเอาคนดีที่ซื่อสัตย์มาขึ้นหน้าแบงค์ คนเกาหลียกย่องคนแบบนั้น แต่ละประเทศก็ใช้คนสำคัญต่างกัน เราก็พอเดาออกคร่าว ว่าประเทศนั้นแกนกลางของประเทศเขาคืออะไร
ตัวอย่างแบงค์ร้อยดอลนี้เป็น เบนจามิน แฟรงคลิน คนนี้เป็นฮี่โร่ของ ชาลี มังเกอร์ เป็นคนแรกของโลกที่คิดเรื่องพิมพ์เงินกระดาษมาใช้ อเมริกามีหนี้บานเบอะเลยเพราะไปยืมเงินฝรั่งเศสมาใช้รบกับอังกฤษ มีแต่เงินเหรียญอย่างเดียว แต่เบน แฟรงคลิน เขาก็ได้ประโยชน์ถึงขั้นรวยทีเดียวเพราะตัวเองทำโรงพิมพ์ เขาก็ได้รับสัมปทานในการพิมพ์แบงค์ อเมริกาพิมพ์แบงค์ออกมาแล้วก็เริ่มตกลงกันระหว่างประเทศต่างๆ ว่าจะเอาทองมาเป็นตัววัดปริมาณของเงินที่จะพิมพ์ออกมา ผมอ่านจากเว็บนี้ก็ได้ความรู็มากมาย เขาเป็นเว็บเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่นักเขียนเขาสนใจเรื่องอื่นด้วย และเขียนหลายบทความเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ ได้ดีมากเช่นกันครับ
กำเนิดดอลลาร์
http://www.arip.co.th/businessnews.php?id=404312
ต้องขอบคุณครับ
คนที่สอง อเลกซานเดอร์ แฮมมิลตัน คนนี้คนอเมริกันยกย่อง เป็นบิดาของระบบทุนนิยม เป็นคนแรกที่เป้นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เขาวางรากฐานระบบธนาคาร การเงิน ตลาดหุ้น เป็นคนสำคัญมากทีเดียวครับ สิ่งที่ยูโรปกำลังเจอตอนนี้เหมือนกันอย่างบังเอิญ น่าสนใจครับ เหมือนฉายหนังซ้ำ ย้อนประวัติศาสตร์ไปยุคของอเมริกาในสมัยแฮมมิลตันกำลังวางรากฐานให้กับรัฐต่างๆของอเมริกาที่ตอนนั้นยังต่างคนต่างปกครองตนเอง ยังไม่รวมกันเป้น The United States ผมมีเว็บภาษาอังกฤษที่อธิบายเหตุการณ์นี้ ภาษาอ่านง่าย เข้าใจง่าย เขาเขียนดีมาก
Hamilton and the federalist financial revolution, 1789–1795
by Richard Sylla
http://www.alexanderhamiltonexhibition. ... lution.pdf
ต้องขอบคุณครับ
บีบให้แคบลงไปอีก สำหรับเขาสนใจหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนตรงๆ เลย ผมก็มีแนะนำเช่นกันครับ Wall Steet : มุมมองเกี่ยวกับวอลล์สตรีท ในฐานะศูนย์กลางของตลาดเงินตลาดทุนอเมริกาและของโลก ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มุมมองว่าด้วยฐานะของวัฒนธรรมในหนังสือเล่มนี้ กลับไม่มีใครพูดถึงมาก่อน จึงถือว่าเป็นการบุกเบิกที่สำคัญทีเดียว เว็บผู็จัดการ review book เขาสรุปไว้กระชับได้ใจความเป็นภาษาไทยได้ดีมากครับ
http://www.gotomanager.com/books/detail ... new&id=729
ต้องขอบคุณเช่นกันครับ
อีกเล่มชื่อ Manias, Panics, and Crashes : A History of Financial Crisis เล่มนี้ส่วนตัว ชอบมากเช่นกันครับ
ทางเว็บนี้ เขาก็เขียนได้ดีครับ
http://www.aripnetwork.com/businessnews.php?id=403569
ต้องขอขอบคุณ
ชาร์ลส คินเดิลเบอร์เกอร์ คนเขียนหนังสือชื่อดังเรื่อง Manias, Panics, and Crashes : A History of Financial Crisis เคยกล่าวเอาไว้ว่า แวดวงของธุรกิจโดยเฉพาะในตลาดทุนของโลกนั้น มักจะวนเวียนอยู่กับ 4 ขั้นตอนของวิวัฒนาการที่ซ้ำซากกัน คือ ช่วงฟักตัวก่อนทะยานขึ้น ช่วงเห่อตามกระแส ช่วงตื่นตูม และ ช่วงพังทะลาย ทั้ง 4 ช่วงเวลานี้ คือวงจรของความโลภที่แก้ไม่หายในโครงสร้างแบบทุนนิยม
หรือจะอ่านเอาเฉพาะที่เป็น crisis อย่างเดียว เป็นการเฉพาะเจาะจงลงไปเลยนั้น ต้องอ่านเว็บนี้
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%B9.html
ต้องขอบคุณเช่นกันครับ
ผมมีรายชื่อหนังสือแนะนำสักสี่ห้าเล่มที่คุณอาจจะสนใจ
1. เมลท์ดาวน์ MELTDOWN : The end of the age of greed คนเขียนชื่อ พอล เมสัน (Paul Mason) ครับ
2. เธอะ ครันช์ THE CRUNCH : How greed and in competence sparked the credit crisis คนเขียนชื่อ อเล็กซ์ บรูมเมอร์ (Alex Brummer)
3. กำเนิดวิกฤติการเงิน มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ว่า The Origin of Financial Crises คนเขียนชื่อ จอร์จ คูเปอร์ (George Cooper) เล่มนี้จะเน้นไปพูดเรื่องธนาคารกลางและฟองสบู่ในระบบสินเชื่อมากหน่อย
4. ประวัติศาสตร์วิกฤติการเงิน มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ว่า Manias, Panics and Crashes : A History of Financial Crises เป็นนักวิชาการสองคนร่วมกันเขียน คนหนึ่งคือ ชาร์สส์ พี. ไคนเดิลเบอร์เกอร์ (Charles P. Kindleberger) เล่มนี้มีคนแนะนำผมมาก่อนแล้ว ตอนไปเลือกหนังสือเจอเล่มนี้เข้าโดยบังเอิญก็เลยรีบซื้อเลย ไม่ต้องเสียเวลาพลิกดูก่อน
5. พายุคลั่ง มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ว่า The Storm : The world economic crisis & what it means คนเขียนชื่อ วินซ์ เคเบิล (Vince Cable)
บทสรุป
อ่านประวัติศาสตร์นานๆ คลุกมานาน บางทีเราก็อยากย่อให้มันเป็นภาพ เหมือนที่คำกล่าว A picture is worth 1000 words. สุดท้ายถ้าอยากเหมือนผมที่เอาไปติดที่ห้องทำงานไว้เตือนตัวเอง เอาเป็นภาพเลย บางทีก็ขี้เกียจอ่าน เป็นโพสเตอร์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมเหตุการณ์วิกฤติ เขาเอาต้มยำกุ้งของไทยไปรวมด้วย ก็ต้องรูปนี้ครับ
This graphic is based on the New York Times and Wall Street Journal best seller This Time Is Different: Eight Centuries of Financial Folly by Carmen M. Reinhart & Kenneth S. Rogoff. Using data developed by Reinhart and Rogoff, it maps the cyclical history of financial crisis from 1810 to 2010 for sixty-six countries representing 90% of world GDP.
http://s147.photobucket.com/albums/r287 ... sis650.gif
ต้องขอบคุณเช่นกันครับ