ผมคิดว่าค่า PEG มีเกินสามสิบสอง
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 30, 2012 1:27 pm
สวัสดีครับ
นักบินตอนตรวจร่างกาย ถ้าเป็นตรวจภายนอก เขาจะให้เราหันหน้าหากันแล้วจับผิดเพื่อนตรงข้ามว่ามีครบสามสิบสองไหม แต่ถ้าเป็นภายใน เขาจะล้วงเข้าไปหาในรูก้นเราแล้วหาว่าเราเป็นริดสีดวงหรือไม่ เขาจะไม่เอาคนที่เป็นริดสีดวงมาเป็นนักบินเพราะเวลาบินขึ้นข้างบนอากาศจะขยายและริดสีดวงก็หนีไม่พ้นกฏข้อนี้ ผมอยากตรวจดูว่า PEG หนีพ้นกฏข้อนี้หรือไม่
ตัว PEG น่าสนใจมากครับ มันกลบข้อเสียของ PE วิธีคิดก็ดูไม่ยาก มีสามตัวแปร ราคาของหุ้น กำไรต่อหุ้น อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ซับซ้อนกว่า PE โดยเอาอัตรการเติบโตของกำไรต่อหุ้นมาคิดด้วย สมการครับ PEG ratio =(Price/Earnings ratio)/ Annual EPS growth
สองคนสำคัญของโลก นักฟิสิกส์อย่างไอไสตน์และนักชีวิทยาอย่างชาร์ล ดาวินใช้เวลาบั้นปลายจับผิดตนเอง ผมจะลองทำอย่างนั้นบ้างกับ PEG แต่ผมไม่มีความสามารถอย่างนั้น สมองน้อยๆ ของผมที่เป็นโรค Dyslexia ผมเป็นคนเข้าใจอะไรช้า ผมจะขอยืมวิธีจากนักคณิตศาสตร์ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกที่ชื่อ Jacob Jacobbi มาใช้เวลาแก้ปัญหาโจทย์เลขที่ยากมากๆ เขาใช้วิธี invert ครับ ผมจะลองใช้วิธี invert กับ PEG เช่นกัน
สมุติว่า หุ้น Humdrum ขายมันแกว มี PE 20 เท่าและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ลงความเห็นเคาะอัตราการเติบโตของกำไรโดยเฉลี่ยของบริษัทนี้ตลอดระยะห้าปีข้างหน้าที่ 12% จับเศษหารส่วน PEG= 20/12 = 1.66
อีกบริษัท Humson ขายทรัมเปต มี PE สูงถึง 30 เท่า เติบโตตลอดห้าปี 40% จับเศษหารส่วน PEG = 0.75
ในการตีความหมาย ผมตีความว่า ราคาของบริษัท humdrum มากกว่าอัตราการเติบโตของกำไร ถ้าบริษัทโตไม่ทันราคาที่มันเอง ราคาจะสะท้อนปรับตัวลงตามตลาดที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่บริษัท Humsom มีค่าเป๊ก PEG แค่ 0.75 เท่านั้น แปลเอาว่าราคาของบริษัทนี้ยังต่ำกว่ามูลค่าการเติบโตที่แท้จริงของบริษัท ราคาจะเพื่มขึ้นตามตลาดที่มีประสิทธิภาพ ผมแปลอย่างง่ายๆ บริษัทไหนมีค่าเป๊กเกิน 1 ถือว่าแพง และบริษัทไหนมีค่าเป๊กน้อยกว่า 1 ถือว่าถูก
ข้อเสียของ P/E คือ ถ้าบริษัทไหนมีอัตราเติบโตของกำไรมาก ๆ ค่า PE จะสูงตามไปด้วย อย่างหุ้นซีพีออล ถ้าใช้แค่ค่าพีอีเป็นตัววัดบริษัท "จิ้งโจ้" เหล่านั้น ถือว่าแพงมาก ต้องใช้ค่าเป๊กถือว่าเหมาะสมกว่าตามความสามารถของบริษัทในการหากำไรที่เพิ่มขึ้น แต่ค่า PEG ทีสองเท่าก็ถือว่าแพงเช่นกัน
PEG มีข้อดีอีกอย่างครับ ผมถือว่าสำคัญมากครับ ในความเห็นผมหุ้น humdrum ขายมันแกว แต่หุ้น Humson ขายทรัมเปต มันเหมือนคนละหน่วยเลย ดังนั้นเวลาเทียบค่า PE แต่ละ sector มันเปรียบเทียบกันไม่ได้ด้วยลักษณะของธุรกิจที่ต่างกัน แต่พอเอา growth เป็นตัวหาร ไม่ว่าข้ามไปอุตสาหกรรมไหนหรือตลาดคนละประเทศ เปรียบ humdrum ในตลาด thai stock market กับ หุ้นเทเลคอม Telekomunikasi Indonesia ในตลาดหุ้นอินโนีเซีย มันเลยเทียบมวยได้ใกล้เคียงกันหมด แต่มันมีข้อเสียครับ
มันมีความโน้มเอียง ใช้วัดหุ้นที่โตเท่านั้นและมองข้ามหุ้นที่เน้นจ่ายปันผล
ผมยกตัวอย่างบริษัทที่ถูกเรียกว่า "หุ้นพันธบัตร 555" หรือหุ้น defensive ที่ว่าเซฟๆ กำไรโตสักประมาณ 5% จ่ายปันผลอัตราอยู๋ที่ประมาณ 5 % เช่นกันครับ อยู๋ในชีวิต business cycle ช่วงชีวิตระยะเวลาของบริษัททีไม่ต้องใชเงินลงทุนมากแล้ว จ่ายปันผลเลย 5% เช่นกันครับ มีค่า PE กดไป 12 เท่า ค่า PEG = 12/5 = 2.50 มองป๊าดตัวนี้แพงมากเพราะมีค่ามากกว่าสองเท่า ลองใส่ปันผลเข้าไปดูครับ 12 / (5 +5) = 1.2 ถ้ามองมุมนี้ หุ้นตัวนี้นี่ยังไม่แพง
ค่าวัดทางการเงินต่างๆ ทั้ง EBITDA ทั้งค่า BETA ผมขอยกคำกล่าวของมังเอกร์ที่ว่าค่าเหล่านี้ควรใส่คำว่า "bullshit" เข้าไปแทนได้เลย ผมแปลว่า "ค่าขี้วัว" ในความเห็นผมครับ สิ่งที่นักลงทุนเน้นคุณค่าควรให้สนใจคือคำพูดเบน แกรม ที่ว่า "เล่นในเกมของตัวเอง ชนะในเกมของตัวเอง อย่าพยายามชนะในเกมที่คนอื่นวางไว้" ค่า PEG ก็เช่นกันครับ ในระยะยาวมันอาจใช่ไม่ได้แล้วเพราะค่า PEG ทุกบริษัทอาจวิ่งเข้าหาค่าตรงกลางที่ 1 ครับ
ริดสีดวงของผมไม่อาจหนีพ้นกฎของขยายตัวของอากาศ และถือว่าร่างกายผมไม่ครบ 32 แต่มีเกินไปเป็นสามสิบสาม ผมคิดว่า PEG มีเกินเช่นกัน มันมีข้อดีอย่างมากครับ แต่ ค่า PEG ก็ไม่อาจหนีพ้นกฎของ fears or greed ของ Mr.Market เช่นกันครับ
อย่าลืมหา Margin of safety เผื่อเวลาใช้มันครับ
นักบินตอนตรวจร่างกาย ถ้าเป็นตรวจภายนอก เขาจะให้เราหันหน้าหากันแล้วจับผิดเพื่อนตรงข้ามว่ามีครบสามสิบสองไหม แต่ถ้าเป็นภายใน เขาจะล้วงเข้าไปหาในรูก้นเราแล้วหาว่าเราเป็นริดสีดวงหรือไม่ เขาจะไม่เอาคนที่เป็นริดสีดวงมาเป็นนักบินเพราะเวลาบินขึ้นข้างบนอากาศจะขยายและริดสีดวงก็หนีไม่พ้นกฏข้อนี้ ผมอยากตรวจดูว่า PEG หนีพ้นกฏข้อนี้หรือไม่
ตัว PEG น่าสนใจมากครับ มันกลบข้อเสียของ PE วิธีคิดก็ดูไม่ยาก มีสามตัวแปร ราคาของหุ้น กำไรต่อหุ้น อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ซับซ้อนกว่า PE โดยเอาอัตรการเติบโตของกำไรต่อหุ้นมาคิดด้วย สมการครับ PEG ratio =(Price/Earnings ratio)/ Annual EPS growth
สองคนสำคัญของโลก นักฟิสิกส์อย่างไอไสตน์และนักชีวิทยาอย่างชาร์ล ดาวินใช้เวลาบั้นปลายจับผิดตนเอง ผมจะลองทำอย่างนั้นบ้างกับ PEG แต่ผมไม่มีความสามารถอย่างนั้น สมองน้อยๆ ของผมที่เป็นโรค Dyslexia ผมเป็นคนเข้าใจอะไรช้า ผมจะขอยืมวิธีจากนักคณิตศาสตร์ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกที่ชื่อ Jacob Jacobbi มาใช้เวลาแก้ปัญหาโจทย์เลขที่ยากมากๆ เขาใช้วิธี invert ครับ ผมจะลองใช้วิธี invert กับ PEG เช่นกัน
สมุติว่า หุ้น Humdrum ขายมันแกว มี PE 20 เท่าและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ลงความเห็นเคาะอัตราการเติบโตของกำไรโดยเฉลี่ยของบริษัทนี้ตลอดระยะห้าปีข้างหน้าที่ 12% จับเศษหารส่วน PEG= 20/12 = 1.66
อีกบริษัท Humson ขายทรัมเปต มี PE สูงถึง 30 เท่า เติบโตตลอดห้าปี 40% จับเศษหารส่วน PEG = 0.75
ในการตีความหมาย ผมตีความว่า ราคาของบริษัท humdrum มากกว่าอัตราการเติบโตของกำไร ถ้าบริษัทโตไม่ทันราคาที่มันเอง ราคาจะสะท้อนปรับตัวลงตามตลาดที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่บริษัท Humsom มีค่าเป๊ก PEG แค่ 0.75 เท่านั้น แปลเอาว่าราคาของบริษัทนี้ยังต่ำกว่ามูลค่าการเติบโตที่แท้จริงของบริษัท ราคาจะเพื่มขึ้นตามตลาดที่มีประสิทธิภาพ ผมแปลอย่างง่ายๆ บริษัทไหนมีค่าเป๊กเกิน 1 ถือว่าแพง และบริษัทไหนมีค่าเป๊กน้อยกว่า 1 ถือว่าถูก
ข้อเสียของ P/E คือ ถ้าบริษัทไหนมีอัตราเติบโตของกำไรมาก ๆ ค่า PE จะสูงตามไปด้วย อย่างหุ้นซีพีออล ถ้าใช้แค่ค่าพีอีเป็นตัววัดบริษัท "จิ้งโจ้" เหล่านั้น ถือว่าแพงมาก ต้องใช้ค่าเป๊กถือว่าเหมาะสมกว่าตามความสามารถของบริษัทในการหากำไรที่เพิ่มขึ้น แต่ค่า PEG ทีสองเท่าก็ถือว่าแพงเช่นกัน
PEG มีข้อดีอีกอย่างครับ ผมถือว่าสำคัญมากครับ ในความเห็นผมหุ้น humdrum ขายมันแกว แต่หุ้น Humson ขายทรัมเปต มันเหมือนคนละหน่วยเลย ดังนั้นเวลาเทียบค่า PE แต่ละ sector มันเปรียบเทียบกันไม่ได้ด้วยลักษณะของธุรกิจที่ต่างกัน แต่พอเอา growth เป็นตัวหาร ไม่ว่าข้ามไปอุตสาหกรรมไหนหรือตลาดคนละประเทศ เปรียบ humdrum ในตลาด thai stock market กับ หุ้นเทเลคอม Telekomunikasi Indonesia ในตลาดหุ้นอินโนีเซีย มันเลยเทียบมวยได้ใกล้เคียงกันหมด แต่มันมีข้อเสียครับ
มันมีความโน้มเอียง ใช้วัดหุ้นที่โตเท่านั้นและมองข้ามหุ้นที่เน้นจ่ายปันผล
ผมยกตัวอย่างบริษัทที่ถูกเรียกว่า "หุ้นพันธบัตร 555" หรือหุ้น defensive ที่ว่าเซฟๆ กำไรโตสักประมาณ 5% จ่ายปันผลอัตราอยู๋ที่ประมาณ 5 % เช่นกันครับ อยู๋ในชีวิต business cycle ช่วงชีวิตระยะเวลาของบริษัททีไม่ต้องใชเงินลงทุนมากแล้ว จ่ายปันผลเลย 5% เช่นกันครับ มีค่า PE กดไป 12 เท่า ค่า PEG = 12/5 = 2.50 มองป๊าดตัวนี้แพงมากเพราะมีค่ามากกว่าสองเท่า ลองใส่ปันผลเข้าไปดูครับ 12 / (5 +5) = 1.2 ถ้ามองมุมนี้ หุ้นตัวนี้นี่ยังไม่แพง
ค่าวัดทางการเงินต่างๆ ทั้ง EBITDA ทั้งค่า BETA ผมขอยกคำกล่าวของมังเอกร์ที่ว่าค่าเหล่านี้ควรใส่คำว่า "bullshit" เข้าไปแทนได้เลย ผมแปลว่า "ค่าขี้วัว" ในความเห็นผมครับ สิ่งที่นักลงทุนเน้นคุณค่าควรให้สนใจคือคำพูดเบน แกรม ที่ว่า "เล่นในเกมของตัวเอง ชนะในเกมของตัวเอง อย่าพยายามชนะในเกมที่คนอื่นวางไว้" ค่า PEG ก็เช่นกันครับ ในระยะยาวมันอาจใช่ไม่ได้แล้วเพราะค่า PEG ทุกบริษัทอาจวิ่งเข้าหาค่าตรงกลางที่ 1 ครับ
ริดสีดวงของผมไม่อาจหนีพ้นกฎของขยายตัวของอากาศ และถือว่าร่างกายผมไม่ครบ 32 แต่มีเกินไปเป็นสามสิบสาม ผมคิดว่า PEG มีเกินเช่นกัน มันมีข้อดีอย่างมากครับ แต่ ค่า PEG ก็ไม่อาจหนีพ้นกฎของ fears or greed ของ Mr.Market เช่นกันครับ
อย่าลืมหา Margin of safety เผื่อเวลาใช้มันครับ