Thai VI

วิธีประเมินมูลค่าหุ้นนั้นมีหลากหลายแง่มุม

ไม่ว่าจะเป็นในมุมมองของทรัพย์สินที่มี ความสามารถในการทำกำไร ปันผลที่มารองรับ Replacement cost, takeover value หรือแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของหุ้นหรือ Market cap. ที่เหมาะสม

แต่สงสัยว่าทำไมหุ้นบางตัว แม้จะเอาวิธีประเมินมูลค่าแบบใดๆมาวัด ก็นึกไม่ออกเลยว่าทำไมตลาดจึงให้ราคานั้น แม้จะมองไปในอนาคตก็ตาม

ยกตัวอย่างเช่น

SABINA (PE 100, P/BV 6, Div Yield 1%, growth รึ ก็ไม่ชัดเจนขนาดนั้น)

BJC (PE 27 Div 2% Growth พอสมควร ยอดขาย 36000m ตีว่าถ้าวันนึง NPM 8% ก็ PE 20 , หรือว่า FCF เยอะ? ถ้าเยอะจริงทำไมปันผลน้อย)

Facebook (PE 100 -> อันนี้ยังพอเข้าใจว่าคาดหวังไว้กับอนาคต)

จะมองในมุมมองนักเก็งกำไรก็ไม่อธิบาย จะอยู่ในช่วง cover short รึ ก็ไม่ใช่

istyle เขียน:วิธีประเมินมูลค่าหุ้นนั้นมีหลากหลายแง่มุม

ไม่ว่าจะเป็นในมุมมองของทรัพย์สินที่มี ความสามารถในการทำกำไร ปันผลที่มารองรับ Replacement cost, takeover value หรือแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของหุ้นหรือ Market cap. ที่เหมาะสม

แต่สงสัยว่าทำไมหุ้นบางตัว แม้จะเอาวิธีประเมินมูลค่าแบบใดๆมาวัด ก็นึกไม่ออกเลยว่าทำไมตลาดจึงให้ราคานั้น แม้จะมองไปในอนาคตก็ตาม

ยกตัวอย่างเช่น

SABINA (PE 100, P/BV 6, Div Yield 1%, growth รึ ก็ไม่ชัดเจนขนาดนั้น)

BJC (PE 27 Div 2% Growth พอสมควร ยอดขาย 36000m ตีว่าถ้าวันนึง NPM 8% ก็ PE 20 , หรือว่า FCF เยอะ? ถ้าเยอะจริงทำไมปันผลน้อย)

Facebook (PE 100 -> อันนี้ยังพอเข้าใจว่าคาดหวังไว้กับอนาคต)

จะมองในมุมมองนักเก็งกำไรก็ไม่อธิบาย จะอยู่ในช่วง cover short รึ ก็ไม่ใช่

อย่าพยายามหาเหตุผล ครับ ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพ

ราคาหุ้นตัวที่กล่าวถูกดันด้วยความโลภทั้งนั้น

แต่สุดท้ายราคามันก็จะปรับมาอยู่เส้นเดียวกันกับกำไรนั่นแหละครับ

มองหาตัวอื่นที่ตลาดมองข้ามดีกว่าครับ

มีพี่คนนึงมาถามว่าทำไมเค้าใช้วิธี dcf ยังไงก็คิดมูลค่าหุ้นหลายๆตัวที่ pe 30 - 40 เท่าไม่ได้เท่าราคาที่ซื้อขายซักที

ผมตอบไปว่า น่าจะเป็นเพราะพี่ลืมบวกค่าความนิยมเข้าไป ไม่ใช่ความนิยมต่อสินค้าของบริษัทนะครับ แต่เป็นความนิยมในหุ้นนั้นๆ ถ้าพูดง่ายๆคือเป็นหุ้นร้อนที่นิยมซื้อขายเก็งกำไรและมีสภาพคล่องสูงนั่นเอง ส่วนพื้นฐานไม่ต้องพูดถึง มี story นิดหน่อยแค่ธุรกิจไม่เจ๊งก็ใช้ได้. ส่วนผมไม่รู้ว่าเค้าจะมานิยมหุ้นที่ผมถือเมื่อไหร่ เลยยังลงทุนหุ้น pe ต่ำ growth เรื่อยๆต่อไปครับ.

ผมว่าทุกผลมีเหตุเสมอ เพียงแต่ว่าเราจะหามันเจอหรือไม่ หรือบางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเหตุ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ สนุกดีครับ หากว่าจะลองคิด อย่าเพิ่งท้อใจ แต่ขณะเดียวกันก็อย่ามั่นใจเกินไปว่าสิ่งที่เราวิเคราะห์มันถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์

ยกตัวอย่าง SABINA ที่ยกตัวอย่างมา
ทำไมราคาไปยืนสูงขนาดนั้น

ลองดูที่ Free Float สิครับ ผมเช็คใน set.or.th ตอนนี้มีแค่ 394 คน ถืออยู่ 25% เท่านั้น
หุ้นทั้งหมดมีแค่ 69.5 ล้านหุ้น แสดงว่ามีอยู่ในรายย่อย 18 ล้านหุ้น กับ คน 394 คน
มีความเป็นไปได้สูงที่ มีแต่คนที่ถือยาวเข้ามาถือตัวนี้ เพราะราคาไปสูงมาก
สภาพคล่องน้อยสุด ๆ เทรดกันอยู่ราว 3000 หุ้นต่อวันเท่านั้น
อีกทั้ง ผถห เบอร์หนึ่งคนเดียว ถือหุ้นอยู่ 74% เขาอาจจะถือผ่าน นอมินีอื่น ๆ อีก ไม่รู้เท่าไร คอยคุมไม่ยอมให้หุ้นราคาถูกลง เพราะมันกระทบ wealth เขาตรงๆ

อย่างไรก็ตาม นี่คือการวิเคราะห์คร่าว ๆ จากข้อมูลที่มองแวบแรกบนเวป
อาจไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงก็ได้
ผมยังไม่ได้เจาะข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด
เช่น ยอดขายระดับ ใกล้ ๆ 2 พันล้านบาทต่อปี ค่อนข้างแน่นอน มูลค่าแบรนด์ของสินค้ามีเท่าไร พวกนี้ไม่ได้รวมอยู่ในงบ แต่คนที่เขาถือหุ้นอยู่ เขาอาจจะเห็นว่ามันซ่อนอยู่มหาศาลก็เป็นได้

ขอโทษทีครับ คุณ outofmymind จริงๆกด like ไปครับ
มันกลายเป็นติดลบเฉยเลยครับ (ข้อเสียของการใช้ tablet ครับ)

เรื่องคนดูแลราคาหุ้นนี่เป็นเรื่องจริงครับ
มีทั้งของผู้ถือหุ้นรายใหญ่เอง หรือเจ้าชั่วคราวที่เข้าไปเก็งในรอบนั้นๆครับ
พอดีเพื่อนผมทำหน้าที่นี้อยู่ในบริษัทจดทะเบียนแห่งหนึ่งจริงๆครับ

อย่าไปหาเหตุผลครับ ตลาดหุ้นไม่ได้มีประสิทธิภาพตลอดเวลาครับ

หุ้นบางตัวที่ Free Float ต่ำๆ มันประเมินค่าไม่ได้จริงๆ เพราะถึงอยากขายเยอะๆ ก็ขายไม่ออก ไม่มีคนอื่นซื้อต่อ

คล้ายๆ กับพวกของสะสมโบราณมั้งครับ บางชิ้นตั้งราคาขายไว้เว่อๆ เพราะรู้ว่าไม่มีซื้อขายจริงอยู่แล้ว


ถ้าสนใจซื้อต้องระวังแจ๊กพ็อต (กรณีที่หุ้นนั้นมันแพงอยู่แล้วจริงๆ) เกิดวันดีคืนดีเจ้าของร้อนเงินต้องเทกระจาดขาย ทีนี้จะยุ่ง!!

กดบวกให้พี่ chukiat30 ครับ แค่มาแสดงความเห็นเฉยๆ ไม่น่าจะต้องโดนลบ จนถึงขนาดคห โดนซ่อนนะครับคิดว่า

ดำ เขียน:หุ้นบางตัวที่ Free Float ต่ำๆ มันประเมินค่าไม่ได้จริงๆ เพราะถึงอยากขายเยอะๆ ก็ขายไม่ออก ไม่มีคนอื่นซื้อต่อ

คล้ายๆ กับพวกของสะสมโบราณมั้งครับ บางชิ้นตั้งราคาขายไว้เว่อๆ เพราะรู้ว่าไม่มีซื้อขายจริงอยู่แล้ว


ถ้าสนใจซื้อต้องระวังแจ๊กพ็อต (กรณีที่หุ้นนั้นมันแพงอยู่แล้วจริงๆ) เกิดวันดีคืนดีเจ้าของร้อนเงินต้องเทกระจาดขาย ทีนี้จะยุ่ง!!

ตอนนี้ SSC มี Free Float ต่ำมากๆ แค่ 2.66%, P/E Ratio สูงปี๊ด 99.80 เท่า
สุดท้ายจะออกจากตลาดเลยมั้ยเนี่ย

เค้าว่าบางเรื่องต้องใช้ reflexivity อธิบายป่าวคับ

centel ยังpe สูงกว่า mint ได้ตั้งเยอะเลย

ปล ผมแฟนพี่ชู เด๋วบวกกลับให้

ผมเอา Fleefloat และ MaktCap มารวมกันแล้ว - MktCap ต่ำกว่า 300 สังเกตุดูว่า จะมี บมจ.กลุ่มนี้อยู่พอแยกเป็น 3 กลุ่มคือ
กลุ่มแรก ความเคลื่อนใหว โวลลุ่ม ตามกลไกตลาดในฝัน สามารถอธิบายได้ทุกการเปลียนแปลง
กลุ่มสอง มีเจ้าของ ก็ืคือผถห.ใหญ่ บริหารราคาหุ้นได้ตามที่อยากให้เป็นได้ หน้าใหม่ หรือ คนนอกเข้ามาลำบาก เข้าทำนองว่า หุ้นฉัน ฉันเล่นเอง คนอื่นไม่เกี่ยว
กลุ่มสาม คนนอก หรือ ผถห. ส่วนน้อยเข้าไปหวังทำกำไรช่วงสั่น อธิบายการเปลี่ยนไม่ได้ด้วยสูตรใดๆทั้งสิ้น บางทีก็อาจมีส่วนร่วมจากภายในด้วย ส่วนที่ผันผวนบ้างเป็นยอดขาย กำไร แต่ที่เปราะบางและอ่อนไหวจริงๆคือ ราคาหุ้น ทำให้หาข้อมูลสนับสนุนยาก
ก็เลยทำให้ิเกิดข้อคิดว่า ยิง fleefloat ต่ำและ MrkCap ต่ำอีกทำให้เข้าง่ายออกยากยิ่งขึ้น

ผมแยกง่ายๆตามนี้
เลยไม่ต้องหงุดหงิดกับราคาหุ้น
เวลามันไม่เป็นไปตามที่เราเชื่อ


หุ้นดีๆ หุ้นเน่าๆ เกิดจากการกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน

ราคาหุ้นดีๆ ราคาหุ้นเน่าๆ เกิดจากการกระทำของคนในตลาดหุ้น

ถ้าคนในบริษัทจดทะเบียน กับคนในตลาดหุ้น
เป็นบุคคลหรือคณะบุคคลเดียวกัน
ราคาหุ้นจะฝืนปัจจัยพื้นฐานมากแค่ไหน ฝืนนานเท่าไรก็ได้
เพราะเขามีเหตุผลส่วนตัวที่ตั้องทำอย่างนั้นครับ

เหมือนกับยกทรงที่พูดถึงกันข้างบน

คลายเครียด เขียน:ผมแยกง่ายๆตามนี้
เลยไม่ต้องหงุดหงิดกับราคาหุ้น
เวลามันไม่เป็นไปตามที่เราเชื่อ


หุ้นดีๆ หุ้นเน่าๆ เกิดจากการกระทำของคนในบริษัทจดทะเบียน

ราคาหุ้นดีๆ ราคาหุ้นเน่าๆ เกิดจากการกระทำของคนในตลาดหุ้น

ถ้าคนในบริษัทจดทะเบียน กับคนในตลาดหุ้น
เป็นบุคคลหรือคณะบุคคลเดียวกัน
ราคาหุ้นจะฝืนปัจจัยพื้นฐานมากแค่ไหน ฝืนนานเท่าไรก็ได้
เพราะเขามีเหตุผลส่วนตัวที่ตั้องทำอย่างนั้นครับ

เหมือนกับยกทรงที่พูดถึงกันข้างบน

บทสรุป จากประสบการณ์ที่ตกผลึก ที่มีค่าอย่างยิ่ง

ขอบคุณ มากๆ ครับ