บทเรียนจากซับไพร์ม
Posted on February 5, 2010 by TVI MOD
วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ปัญหาซับ ไพร์มหรือลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ อเมริกามีผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นตกทั่วโลก สำหรับประเทศไทยคงหนีไม่พ้นกับผลกระทบของซับไพร์ม โดยเฉพาะการขายหุ้นทั่วโลกของนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้ดัชนีหุ้นไทยลดลงจากต้นปีกว่า 10% นักลงทุนรายย่อยต่างขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรดีเมื่อหุ้นตก
ในเวปไซค์ของ Thaivi.com มีสมาชิกท่านหนึ่งใช้ชื่อว่าคุณ Invisible Hand ได้เขียนถึงบทเรียนของปัญหาซับไพร์มได้อย่างสนใจ จึงนำมาให้อ่านกัน
“สิ่งที่เรา ได้เรียนรู้หลังเหตุการณ์หุ้นลงอันเนื่องจากปัญหาซับไพร์ม และเหตุการณ์การลงทุนอื่นๆ จะเห็นว่าไม่ได้เน้นข้อสังเกตเป็นวิชาการอะไรนัก เป็นข้อสังเกตเอาไว้อ่านสนุกๆกันนะครับ
1. เวลาหุ้นลงก็จะมีข่าวร้ายเต็มตลาด แต่ถ้าหุ้นขึ้นกลับมานักลงทุนก็พร้อมจะลืมข่าวร้ายนั้นไป
2. นักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าจะมีปริมาณการซื้อขาย 30-40% ของตลาด แต่ก็สามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ ตัวเลขการซื้อขายต่างชาติครึ่งวันเป็นตัวเลขที่สำคัญกว่าตัวเลข GDP ตัวเลขเศรษฐกิจ ธปท. ทุกสิ้นเดือน หรือการเพิ่มขึ้นการส่งออกของประเทศในแต่ละเดือนไปเสียแล้ว เพราะอย่างหลังมันไม่เคยทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้แต่อย่างไร การซื้อขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติ ก็ทำให้เราซื้อหุ้นบางตัวได้ถูกกว่าที่คิดได้ หรือขายหุ้นบางตัวแพงกว่าที่คิดได้
3. การซื้อหรือขายหุ้นแบบแบ่งไม้หรือหลายๆ order ก็ลดผลกระทบของโชคชะตาได้ เพราะมีบ่อยครั้งที่เราอาจจะพลาดการซื้อหรือขายหุ้นเพราะตั้งซื้อหรือต่ำไป หรือขายสูงไปเพียง 1 step โดยไม่ได้กระจาย order แล้วบอกว่าโชคไม่ดี ผมคิดว่าเราสามารถเอาชนะโชคชะตาในเรื่องนี้ได้ไม่ยากนัก การตั้งซื้อหรือขายที่เลขกลมๆ เช่น 0 5 อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก หลายๆ ครั้งที่เสื้อตัวละ 99 บาทจะขายดีกว่าเสื้อตัวละ 100 บาททั้งๆ ที่ราคาต่างกันเพียง 1 บาท
4. การดู bid offer นานเกินไปบางครั้งอาจจะทำให้เราไม่กล้าซื้อหรือขายได้ หุ้นขาลง bid-offer และการเคาะแต่ละไม้ชวนให้เคาะขายตามอย่างยิ่ง ในทางกลับกัน ในหุ้นขาขึ้นก็เช่นกัน
5. หุ้นบางตัวเมื่อตลาดปรับลงมา เมื่อตลาดขึ้นกลับอาจจะขึ้นได้สูงกว่าเดิม แต่หุ้นบางตัวลงแล้วลงเลยไม่กลับมา การเลือกซื้อหุ้นในตลาดขาลงนอกจากจะพิจารณาหุ้นที่ลงมาเยอะเป็นพิเศษ แต่เราจะต้องเลือกพื้นฐานของหุ้นด้วย ถ้ายังไม่ชำนาญหรือเกรงว่าทำได้ไม่ดี การซื้อ TDEX ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า
6. บางครั้งความคิดที่รอต่างชาติหยุดขายแล้วค่อยซื้อหุ้นนั้นอาจจะไม่ได้ผลทุก ครั้งไป หลายๆ ครั้งหุ้นจะใกล้ๆ จุดต่ำสุดเมื่อต่างชาติเพลาการขายลง
7. นักลงทุนในประเทศหลายๆ คนที่ขายหุ้นเพราะกลัว subprime จริงๆ แล้วไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกว่าปัญหา subprime มันเป็นยังไง แต่การบอกคนอื่นๆ ว่าขายหุ้นเพราะ subprime นั้นย่อมดูดีกว่าการขายหุ้นเพราะตกใจกลัวแน่นอน
8. การที่เราฟังนักวิเคราะห์ที่บอกว่า ถ้าหลุด 10 บาทจะมีสิทธิลงไป 9.5 บาท ถ้ายืนเหนือ 10 บาทได้แปลว่าจะไม่ลงแล้ว หรือถ้าทะลุ 5 บาทมีสิทธิไปทดสอบ 5.5 บาทนั้น เป็นคำอธิบายที่ถูกต้องตามหลักความน่าจะเป็นและดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมหรือ fact มากกว่าการคาดการณ์
9. นักวิเคราะห์บางคนเริ่มบทวิเคราะห์หุ้นตัวหนึ่งครั้งแรกโดยแนะนำว่า sell เมื่อพื้นฐานดีขึ้นจึงปรับเป็น hold แต่ลืมคิดไปว่าเมื่อนักลงทุนขายหุ้นหมดไปแล้วตามคำแนะนำจะเอาหุ้นที่ไหนมา ถือ ดังนั้นการปรับจาก sell เป็น hold แปลว่าให้หาหุ้นมาถือ ก็คือให้ซื้อนั่นเอง แต่การปรับจาก sell เป็น buy นั้นจะทำให้โดนเจ้านายและลูกค้าด่า ในทางกลับกัน การปรับจาก strong buy เป็น hold ก็มีนัยคล้ายๆ กัน
10. การซื้อขายทาง internet เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวกและเข้าถึง internet ได้เกือบตลอดเวลา แต่ถ้าจุดประสงค์เพื่อประหยัดค่าคอมฯ บางครั้งการเติม 0 เกินไป 1 ตัวหรือ ซื้อเป็นขาย ขายเป็นซื้อ มันอาจจะมากกว่าค่าคอมฯ ที่ประหยัดได้ทั้งปี คล้ายๆ กับการซื้อบริการอะไรล่วงหน้าได้ส่วนลดเยอะแต่ท้ายสุดแล้วไม่ค่อยได้ไป
11. นักวิเคราะห์ที่วิเคราะห์ถูก 100% ทุกครั้งนั้นไม่มีแน่นอน ที่เห็นส่วนมากนั้นถูกครึ่งผิดครึ่งซึ่งไม่ช่วยอะไรได้มากนักเหมือนเล่นปั่น แปะ แต่คนที่มี value add ที่สุดคือคนที่ผิดเกือบทุกครั้งเพราะเราเพียงแค่ทำตรงข้ามก็ถูกแล้ว จึงเป็นเหตุให้บางคนจึงมีชื่อเสียงเพราะตลาดรู้ว่าคนนี้ออกมาฟันธงว่าเป็นขา ขึ้นเมื่อไหร่ต้องให้ขายหุ้นทุกทีไป
12. หุ้นลงมากๆ หรือขึ้นมากๆ ไม่ใช่ว่า VI จะต้องไม่กลัวหรือเสียดายไม่เป็นเพราะเรายังมีชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่ซื้อกลัวลงต่อมั้ยผมคิดว่าคงต้องมีความรู้สึกนี้กันบ้าง หรือหุ้นขึ้นแรงๆ ขายแล้วกลัวขึ้นต่อมั้ย ก็กลัวเพราะมันก็เกิดประจำ การซื้อแล้วลงหรือขายแล้วขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดแน่ๆ หากเรายังเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ต้องทำใจยอมรับ ดังนั้นการซื้อหรือขายแต่ละครั้งต้องคิดให้ถี่ถ้วนและวินัยการลงทุนเป็น เรื่องสำคัญเช่นกัน”
http://www.thaivi.com/2010/02/430/