Thai VI

มีคนมาถามผมว่า " อ้าว........พี่แล้วลงทุนแบบ VI ของพี่เนี้ย กำไรก้อไม่ขาย ถือไปเรื่อยๆอย่างนี้ เห็นแต่ตัวเลขในพอร์ทเพิ่มขึ้นอย่างเดียว ไม่เห็นมีประโยชน์เลย มันก้อเป็นแค่ ตัวเลขในพอร์ทเท่านั้น สู้ผมก้อไม่ได้ ผมซื้อหุ้นแปปเดียว กำไรนิดหน่อยผมก้อขายแล้วพี่ เห็นม่ะ ผมอ่ะได้กำไรเห็นๆเลย เนี้ยเค้าเรียกว่าได้กำไรจริงๆพี่ ไม่เหมือนพี่หรอก เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น " น้องเค้าพูดมากับผมแบบนี้ ทำผมไปไม่ถูกเลย ผมจะตอบเค้าว่าอะไรดีครับ

If it were my freind i would just tell him how value investing works.....just let him trade if he enjoys it but whats most important is you sticking to what you enjoy....besides does your freind even know what a dividend is......thats true profit

ในทางจิตวิทยาคนที่คิดอย่างนี้
เป็นคนที่แยกบัญชีในสมองครับ

เช่นแยกกำไรจากเงินปันผลและกำไรจากส่วนต่าง ทั้งที่เป็นกำไรเหมือนกัน
แยกกำไรที่รับรู้แล้วและยังไม่รับรู้ ทั้งที่เป็นกำไรเหมือนกัน
เหมือนกับการแยกเงินสดในมือกับเงินในธนาคาร ทั้งที่เป็นเงินเหมือนกัน


ถ้าใครที่คิดว่ากำไรที่ยังไม่รับรู้ ไม่ใช่กำไรจริงๆ ช่วยขายหุ้นแบบนี้ให้ผมด้วย ผมขอทุ่มทุนซื้อในราคา 50% ของกำไรที่ยังไม่รับรู้นั้น..

ขายได้ realize profit แล้วไงต่อ?

ถ้าเลือกซื้อหุ้นต่อก็มีค่าเท่ากัน

จุดตัดมันคือเวลาของ exposure to the market ครับ

บอกเค้าสิครับ

อีกซัก 2 ปีมาดูกันว่า unrealized profit ของผม กับ realized profit ของคุณ อะไร "กำไร" กว่ากัน

ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับแนวทางการลงทุนของคุณแล้วหละ ว่าจะ beat แนวทางเก็งกำไรเค้าได้ไม๊ 555

gripen เขียน:มีคนมาถามผมว่า " อ้าว........พี่แล้วลงทุนแบบ VI ของพี่เนี้ย กำไรก้อไม่ขาย ถือไปเรื่อยๆอย่างนี้ เห็นแต่ตัวเลขในพอร์ทเพิ่มขึ้นอย่างเดียว ไม่เห็นมีประโยชน์เลย มันก้อเป็นแค่ ตัวเลขในพอร์ทเท่านั้น สู้ผมก้อไม่ได้ ผมซื้อหุ้นแปปเดียว กำไรนิดหน่อยผมก้อขายแล้วพี่ เห็นม่ะ ผมอ่ะได้กำไรเห็นๆเลย เนี้ยเค้าเรียกว่าได้กำไรจริงๆพี่ ไม่เหมือนพี่หรอก เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น " น้องเค้าพูดมากับผมแบบนี้ ทำผมไปไม่ถูกเลย ผมจะตอบเค้าว่าอะไรดีครับ

โห เพิ่งเจอมากับตัวเลย...
บอกเค้าว่า ใช่ครับ มันแค่ตัวเลข แล้วก็เดินหนีไปกินข้าว
ผมบอกแม่ผมไปยังงั้นนะ ก๊ากๆ

gripen เขียน:มีคนมาถามผมว่า " อ้าว........พี่แล้วลงทุนแบบ VI ของพี่เนี้ย กำไรก้อไม่ขาย ถือไปเรื่อยๆอย่างนี้ เห็นแต่ตัวเลขในพอร์ทเพิ่มขึ้นอย่างเดียว ไม่เห็นมีประโยชน์เลย มันก้อเป็นแค่ ตัวเลขในพอร์ทเท่านั้น สู้ผมก้อไม่ได้ ผมซื้อหุ้นแปปเดียว กำไรนิดหน่อยผมก้อขายแล้วพี่ เห็นม่ะ ผมอ่ะได้กำไรเห็นๆเลย เนี้ยเค้าเรียกว่าได้กำไรจริงๆพี่ ไม่เหมือนพี่หรอก เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น " น้องเค้าพูดมากับผมแบบนี้ ทำผมไปไม่ถูกเลย ผมจะตอบเค้าว่าอะไรดีครับ

อืม... มันเป็นทัศนคติของคนที่จะลงทุนแล้วจะไม่มีทางกำไรเยอะๆ ถ้าอธิบายคร่าวๆ แล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องไปคุยอะไรกับเค้ามากก็ได้ครับ

การลงทุนคือการแลกเปลี่ยนระหว่างมูลค่ากับราคาที่ซื้อ ดังนั้นในภาพของการแลกเปลี่ยน unrealize profit ไปเป็น realize profit ยังสามารถหาความสัมพันธ์และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นการประเมินมูลค่า การหาความสัมพันธ์ของมูลค่ากิจการกับราคาตลาดนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ถ้า มี Unrealized Profit ซัก 99% ของพอร์ต ได้ซักที ก็คงเยี่ยมไปเลยนะครับ ผมขอแค่กำไรทางบัญชีเท่านั้นแหละ

ถ้ายังถือหุ้นอยู่ กำไรของบริษัทคือกำไรของเรา
และถ้ายิ่งบริษัทดีขึ้น เราก็ได้กำไรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนถ้าขายหุ้นออกมา กำไรที่ขายหุ้นเป็นแค่เงินสดครับ

ลองโชว์พอร์ทให้เค้าดูว่ากำไรทางบัญชีอ่ะ มากกว่า 100% สิครับ 55555

เพราะพวกเทรดดิ้งบางทีกำไรช่องเดียวขาย ไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำไป เค้าต้องทำ 100 ครั้งถึงจะได้เท่าเรา แถมโดนค่าคอมเพียบ

แต่ถ้าพวกนี้เยอะดีนะ โบรกจะได้ไม่เจ๊ง 5555

กำไรทางบัญชี คือ ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ หมายถึง อาจมากขึ้นไปอีก หรืออาจลดลงก็ได้

ถ้าขายออกมาเป็นเงินสด ก็คืิอหยุดความไม่แน่นอน แล้วไงต่อ? ส่วนใหญ่ก็มองหาหุ้นซื้อตัวใหม่ต่อไปอยู่ดี แล้วก็เริ่มความไม่แน่นอนใหม่

คนที่ลงทุน (หรือเก็งกำไรก็ตามแต่) ก็คือ คนที่เข้ามาแสวงหาประโยชน์จากความไม่แน่นอนนี้เอง ส่วนจะรูปแบบ วิธีการไหนก็สุดแล้วแต่ความถนัด

กำไรทางบัญชีก็คือกำไร, ขาดทุนทางบัญชีก็คือขาดทุน ไม่ต่างกัน
ถ้าเป็นผมจะตอบเค้าว่า น้องคิดว่าพี่ขายตอนนี้จะมีกำไรมั้ย?
ผมว่าคนที่คิดแบบนั้นก็เหมือนคนที่คิดว่าตัวเองมีต้นทุนหุ้นเป็น 0 แล้ว
เป็นจิตวิทยา...เอาไว้หลอกตัวเอง

นานาจิตตังคับ

ที่เค้าว่าอย่างนั้น เพราะความกลัวขาดทุนคับ จึงต้องรีบขายเอาเงินสด มันเป็นการจำกัดความเสี่ยงอย่างนึง
การขาดทุนจะทำให้เค้าเจ็บปวด ยิ่งมาเจอกับความผันผวนของราคาที่เค้าไม่สามารถคาดการณ์ได้ เค้ายิ่งต้องรีบขาย

นั่นเพราะว่าเค้าไม่สามารถรับรู้ถึงมูลค่าของหุ้นในระยะยาวได้จึงคิดแบบนั้น เค้าใช้ตลาดเป็นแหล่งเก็งกำไร พนัน
เหมือนกับผู้เล่นในตลาดหลายๆคน

แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว เราย่อมรู้ว่าหุ้นเราจะมีค่าเพิ่มขึ้นเพราะอะไร
เราจะยอมถือมันไว้ตราบเท่าที่มันยังเป็นกิจการที่คุ้มค่ากับต้นทุนเงินทุนของเรา
ตลาดหุ้นเป็นแหล่งที่เราสามารถซื้อกิจการที่ดี เป็นช่องทางในการทำมาหากินของเรา
ที่เป็นนักลงทุนวงนอกมืออาชีพที่ไม่ใช่เจ้าของกิจการ และเป็นแหล่งสำหรับออมเงินแก่ประชาชนทั่วไป
เพื่อประชาชนทั่วไปจะได้มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของการค้าการผลิต เพื่อเป็นแหล่งกระจายรายได้
และความมั่งคั่ง ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนี้

น่าเสียดายที่ประชาชนในประเทศเรายังขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้ตลาดหุ้นให้เป็นประโยชน์

กำไรแท้จริงไม่จริงไม่รู้ แต่จะบอกว่าไม่ว่าเงินสดดอลล่าร์ 1 ปึกใหญ่หรือใบหุ้น CPALL สัก 10% ก็เป็นแค่กระดาษเท่านั้น มูลค่าไม่ต่างกับตัวเลขทางบัญชีหรือไม่บัญชีก็แล้วแต่ คือ 0 ถ้าไปอยู่ในกลางป่าอเมซอนหรือเอาไปให้นิเชาหรือเผ่ามาไซ
หิวมาเศษใบไม้เขียวๆ ยังมีมูลค่าสูงกว่า เพราะกินแก้ขัดกันตายได้

ไม่ว่าเหรียญกษาปณ์ หุ้น พันธบัตร ธนบัตร เช็ค ตั๋วเงิน เปลือกหอย มันก็กระดาษหรือวัตถุสมมติแทนค่าทางเศรษฐศาสตร์ในระบบสากลประเทศเจริญครือๆ กันทั้งนั้น (เพิ่งมาต่างแค่หุ้นยุคใหม่ไม่มีตัวตนได้ไปแล้วเมื่อไม่ถึง 10 ปีมานี้ เมื่อระบบพิสูจน์และระบุตัวตนเป็นอิเลคทรอนิคส์เชื่อมโยงและตรวจสอบง่ายขึ้น)

แต่การสมมติมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์แบบเงินสด จริงๆ ระบบเงินตรา มันทำให้มูลค่ากร่อนลงเรื่อยๆ
เงินสดที่ VI หลายท่านบอกว่ามันคือหุ้นที่ชื่อ CASH แค่นั้นเอง อย่าลืมว่า CASH เปิดโอกาสให้มี CARG ติดลบได้อย่างเดียว เพราะเจอเงินเฟ้อปีละหลายเปอร์เซ็ง แถมมีโอกาสลดลงเหลือศูนย์ ถ้าไปฝากไว้กับธนาคารไหคือฝังดิน แล้วเจอปลวกแทะ จะไปแจ้งความให้จับปลวก ตำรวจก็ไม่มีคุกขังปลวกซะด้วย

หุ้นยังมีโอกาสทั้งบวกและลบให้เลือกตามใจคนถือ ไม่ว่าเป็นรายยักษ์รายยุ่ย

ลืมบอกไปเงิสดที่ว่า คือ realized profit แล้วนะครับ

ผมอยากถาม จขกท ว่า
จขกท คิดว่าเขาคิดผิด หรือ เขาคิดไม่เหมือนเรา

blueplanet เขียน:ผมอยากถาม จขกท ว่า
จขกท คิดว่าเขาคิดผิด หรือ เขาคิดไม่เหมือนเรา

ผมก็ไม่รูจะตอบน้องเค้ายังไง ผมแต่เพียงบอกเค้าไปว่า " ผมไปที่แบงค์แล้วผมจะขอกู้เงินเพื่อมาซื้อบ้าน ผมโชว์พอร์ทที่มีเงินต้นทุนอยู่ 2 ล้านบาท แต่มูลค่าพอร์ทปัจุบันมันกลายเป็น 3.5 ล้านบาท ทางแบงค์เค้าก้อบอกผมว่า ปัจจุบัน ผมมีทรัพย์สินมูลค่าจำนวน 3.5 ล้านบาทครับ (ไม่ใช่แค่ 2 ล้านบาท) "

อ้าว.....แล้วอย่างนี้เงินที่มันงอกในบัญชีตัวเลขในพอร์ท มันจะไม่นับเป็นเงินที่แท้จริงยังไง!!!!!!

คิดแบบนี้ก็ต้องเอาเงินสดกอดไว้ที่บ้านเท่านั้น มีรายได้เท่าไหร่เก็บเป็นเงินสดให้หมดห้ามฝากธนาคาร

กลับกัน...เวลาติดหุ้น มีส่วนขาดทุนที่ยังไม่รับรู้... แต่ทำเป็นไม่รับรู้เหมือนกัน(แบบว่าไม่ได้คิดอะไรมากค่อนข้างมั่นใจ)
ไม่ได้ขายรับรู้ผลขาดทุนออกมาก่อน มันก็กลายเป็นกำไรได้นะเออ ^^

ฝากถามเด็กน้อยหน่อยครับว่า เวลาที่จัดอันดับความร่ำรวยของนิตยสาร forbes หรือที่ไหนก็ตามแต่ เค้าเอาเฉพาะเงินสดมานับ หรือว่าเค้าใช้สินทรัพย์ทั้งหมดมานับ

บอกให้เค้า ไปดู หุ้นที่ ดร. นิเวศน์ ถือนะครับ มี Unrealize Gain เยอะไปหมด ถือมาไม่น้อยกว่า 5 ปี

cpall bgh hmpro jmart bigc etc...

การที่ถือหุ้นแล้ว Let Profit Run ไม่ใช่วิธีที่ทําให้ ดร. นิเวศน์ เป็น มหาเศรษฐี เหรอครับ

blueplanet เขียน:ผมอยากถาม จขกท ว่า
จขกท คิดว่าเขาคิดผิด หรือ เขาคิดไม่เหมือนเรา

ผมขอตอบเองแล้วกัน (จขกท ไม่ยอมตอบตรงทั้งๆที่ จขกท ก็รู้)
เด็กน้อยคนนั้นนอกจากคิดไม่เหมือน จขกท แล้ว ยังคิดผิดอีก
เด็กน้อยคนนั้นเป็นมิจฉาทิฐฐิในการลงทุน
จขกท ต้องเมตตาเด็กน้อยคนนั้น สอนและแนะนำเขาให้เข้าใจให้ถูก
แต่ผมเดาได้เลยว่า สอนยากมาก และเด็กน้อยคนนั้นจะหยิ่งยโสและเข้าใจแบบนั้นไปอีกนาน

คำถามนี้ผมโดนแม่บ้านถามอยู่หลายครั้งเหมือนกัน

ไม่นานมานี้เพิ่งจะตอบไปโดยอธิบายตามหลักพื้นฐานให้เขาฟัง แล้วเปิดพอร์ตให้ดูมูลค่าปัจจุบันอยู่ที่เท่าไร

ผมคิดว่าแม่บ้านคงจะเคลียร์ปัญหาหัวใจได้บ้างแล้วล่ะ

สินทรัพย์(หุ้น)=หนี้สิน(=0)+(กำไร-ค่าใช้จ่าย=ส่วนเกินทุน)+ทุน(เงินลงทุนเบื้องต้น=เงินสด)

สรุปหุ้นกับเงินสดจะต่างกันตรงไหนล่ะ (ยกเว้นราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวตามราคาตลาดหลักทรัพย์)