หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 9:07 am
โดย Sorgios
สวัสดีทุกพี่ๆท่านครับ
ด้วยว่าเป็นมือใหม่ ใจยังไม่แข็งแรง
กระทู้นี้จึงมาขอความรู้พี่ๆ ช่วยแชร์ความเห็นด้วยครับ

1. VI ดูมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท เทียบกับราคาที่นายตลาดให้
*** หากนักลงทุนที่ตั้งใจใช้หลักการของ VI เมื่อเจอภาวะตลาดเช่นนี้ (หุ้นดี ราคาสูง?)
ควรทำอย่างไรดีครับ ระหว่าง รอโอกาสให้หุ้นดีๆๆราคาลดจากเหตุการณ์บางอย่าง (ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่) หรือ เข้ามาลงทุนเลยครับ
จากประสบการณ์พี่ๆ คิดว่าควรแบ่งเงินสดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ กับ หุ้นในพอร์ทครับ

2. VI มองที่อุตสาหกรรม บริษัทที่จะลงทุนเป็นหลัก ไม่คาดการ์ณเศรษฐกิจภาพใหญ่ (เนื่องจากไม่มีใครที่คาดได้แม่นยำจริงๆ)
แต่บางครั้งข่าวร้ายต่างๆ ก็ประดังเข้ามา นักลงทุนหน้าใหม่ๆ (ผมด้วย) ก็กระเจิงไปเหมือนกัน ด้วยความกลัวว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤต จึงโดดหนีออกมาก่อน ทำให้เสียโอกาส
แต่หากเกิดวิกฤตจริง หุ้นดีๆก็จะมีส่วนลดมากมาย
เทียบกับถือหุ้นตลอด ก็อาจเสียโอกาสได้หุ้นดีๆเพิ่ม (short against port)
*** จากประสบการณ์ต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ หรือปลายปีที่แล้ว พี่ๆท่านใดที่เคยผ่านมา ขอความกรุณาช่วยแบ่งปัน แนวคิด เทคนิค หรือ เครื่องทือช่วยตัดสินใจในภาวะเหล่านี้ครับ(กลับไปอ่านกระทู้คุณค่าเก่าๆ บางอันก็เหมือนมันเสียอ่ะครับ)

3. DCA ควรใช้เมื่อไหร่ ด้วยส่วนตัวคิดว่าเป็นวิธีที่ดีมาก เนื่องจากเราไม่สามารถคาดเดาตลาดได้ แต่ในภาวะ กระทิง-หมี สุดขั้ว DCAควรใช้เมื่อไหร่ intervalควรเป็นเท่าไหร่ครับ
สัปดาห์-เดือน-ไตรมาส??

ขออนุญาติมาโพสท์ในห้องนี้นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 9:55 am
โดย ซุนเซ็ก
ผมมือใหม่ด้วยกัน มาลองช่วยตอบนะครับ
1. เจอหุ้นก็ซื้อครับ ไม่เจอไม่ซื้อ, บางครั้งผมไม่มีหุ้นซักบาทเป็นเดือนๆ
2. Hamburger ผมไม่รอดครับโดนเต็มๆ โชดดีที่ตอนนั้นเพิ่งเล่นหุ้นพอร์ตจิ๊บๆอยู่
ส่วนปลายปีที่แล้วผมไม่เป็นอะไร ด้วยการใช้แนวคิดแบบ Reflexivity
3. ไม่ใช้ครับ หุ้นดีก็ซื้อเลย,หุ้นแย่ก็ขายเลย ไม่เห็นต้องเฉลี่ย

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 10:40 am
โดย nut776
ท่านซุน เซ็กซ์ ไม่มีหุ้นถือ
เลยไปถือ w dw กับสัญญา shot tfex แทนมั้งคับ
555
reflexibility นี่ ภาษาไทยจะอ่านรู้เรื่องไหมคับ
แนะนำเล่มไหน
เคยดูผ่าน ยังกะ เศรษฐศาสตร์ quantum มึนมาก
ขอบคุณคับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 1:05 pm
โดย sipoonya
1 ถือในอัตราส่วนที่เราสบายใจ ว่าจะไม่เสียโอกาส ถ้าเสียเราเองก็ทำใจได้
2 เชื่อในการทำการบ้านของเรา มีวินัย และเผื่อmosไว้เยอะๆ
นอกจากนี้ อะไรที่เรา งงๆไม่ชัด ก็อยู่ เฉยๆ ครับ
3 DCA อาจจะเหมาะกับหุ้นที่มีการแกว่งตัวมากหน่อย หรือ
คนที่มีเงินเติมเรื่อยๆ หรือ คนที่มีความรู้ไม่เพียงพอ
แต่ถ้าเราประเมินมูลค่าเองได้ ก็แล้วแต่อาจแบ่งเป็นหลายไม้ก็ได้ครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 1:11 pm
โดย iruma
3. DCA ควรใช้เมื่อไหร่ ด้วยส่วนตัวคิดว่าเป็นวิธีที่ดีมาก เนื่องจากเราไม่สามารถคาดเดาตลาดได้ แต่ในภาวะ กระทิง-หมี สุดขั้ว DCAควรใช้เมื่อไหร่ intervalควรเป็นเท่าไหร่ครับ สัปดาห์-เดือน-ไตรมาส??
DCA ผมว่าเหมาะกับ Index Fund ครับ

อาจารย์ไพบูลย์ก็พูดถึงเรื่อง DCA ลองดูครับ นาทีที่ 3



Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 2:57 pm
โดย Sorgios
คุณซุนเซ็ก : ไปแอบอ่านเรื่อง Reflexivity มานิดนึง น่าสนใจครับ
เลยอยากถามคุณซุนเซ็กว่าปลายปีที่ผ่านมา
ใช้หลักของ Reflexivity อย่างไรครับ

คุณ sipoonya , คุณ iruma : ขอบคุณครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 3:02 pm
โดย Sorgios
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Reflexivity ทฤษฏีที่ทำให้เรารู้จัก George Soros พ่อมดการเงิน by Mr.Messenger
ขอเซฟเอากระทู้น่าแนะนำใน pantip ของ พี่ Mr.Messenger
มาแปะไว้ใน Blog นะครับ Credit Link :
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 46062.html


สำหรับชื่อ George Soros (จอร์จ โซรอส) แล้ว
นักลงทุนเกือบร้อยทั้งร้อย รู้จักเขา
ก็เพราะสิ่งที่เขาทำไว้กับประเทศไทยของเราตอนโจมตีค่าเงินบาทเมื่อปี 2540
แต่นั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำให้เขาเป็นที่จนจำในโลกการลงทุน
ฉายาที่ได้มาว่า "the man who broke the Bank of England" ต่างหาก
ที่ทำให้นักลงทุนทั้งโลกจดจำชื่อของเขาได้

ผลงานการลงทุนของ Soros ถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ
ในปี 1973 เขาตั้งกองทุนชื่อว่า Quantum Fund ร่วมกับ
Jim Rogers เจ้าพ่อตลาด Commodity
และสามารถทำผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 40%!! เป็นเวลาร่วม 10 ปี ด้วยกัน
แถมช่วงวิกฤต Subprime ตอนปี 2008
รายงานจากผลตอบแทนจากการลงทุนของเขานั้น
ก็ยังสามารถที่จะเอาชนะตลาด น่าทึ่งใช่มั้ยครับ

ภายใต้ผลงานการลงทุนอันเป็นที่จดจำของเขา บ้างก็ว่าเป็นผู้ร้าย
บางก็ว่าเขาเป็นผู้ฉวยโอกาส
บ้างก็ยกย่องเขาราวกับเป็นศาสดาของ Hedge Fund
คำถามคือ ชายคนนี้ มีหลักคิดในการลงทุนแบบไหนน้อ ?

กลยุทธ์การลงทุนของ Soros เน้นไปที่การทำกำไรระยะสั้น
หาผลตอบแทนในทุกรูปแบบจากตลาด (Absolute Return)
ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ค่าเงิน หรือสินค้าโภคภัณฑ์
แต่คำว่าสั้นของนักลงทุนระดับโลกเขาก็กินเวลาเป็นเดือนๆ
หรือบางถึงปีในบางช่วงนะครับ ไม่ใช่ซื้อเช้าขายบ่ายเหมือนแมงเม่าอย่างพวกเรา

Soros ไม่เชื่อในทฤษฏี Efficient Market Hypothesis (EFM) ที่บอกไว้ว่า
ราคาหุ้นได้สะท้อนข่าวและข้อมูลในอดีต รวมถึงการคาดการณ์ในอนาคตไปหมดแล้ว
จึงไม่มีทางที่นักลงทุนจะเอาชนะตลาดได้อย่างต่อเนื่อง

จริงๆแล้ว กูรู และนักลงทุนระดับโลกส่วนใหญ่ก็เชื่ออย่างที่ Soros เชื่อนะครับ
ไม่งั้นคงไม่รวยล้นฟ้ากันหลายคนหรอก

แต่สิ่งหนึ่งที่แยก George Soros ออกจากเหล่าเซียน กลายเป็นเซียนเหนือเซียนก็คือ
แนวคิดจากทฤษฏี Reflexivity ซึ่งเขาได้รับรากฐานความคิดมาอีกทีจาก
Sir Karl Raimund Popper นักปรัชญา และศาสตร์จารย์แห่ง
London School of Economics ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นปราชญ์
เกี่ยวกับวงการวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในทศวรรษที่ 20 ทีเดียว
... เอ นี่ผมจะบอกทำไมเนี่ย ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาที่คุยเลย เหอๆ

Reflexivity อธิบายไว้ว่า จุด Equilibrium หรือ จุดดุลยภาพ
มีไว้แค่เป็นจุดอ้างอิง แต่จริงๆแล้วทุกสิ่งในสังคมเราไม่เคยอยู่ในจุดนั้น
ตลาดหุ้นก็เช่นกัน สาเหตุก็เกิดจากมีแรงบางอย่างส่งผลให้เกิด
“Negative Feedback” ซึ่งทำให้ราคานั้นวิ่งออกจากจุดดุลยภาพไปอย่างมาก
ตลาดหุ้นจึงมีแนวโน้มที่จะมี boom & burst ไปเรื่อยๆเป็นวงจรอยู่อย่างนั้น
เราลองมาดูกันหน่อยว่า Negative Feedback นั้นเป็นยังไง ส่งผลยังไงต่อตลาด

ลองดูตัวอย่างจากปัญหาหนี้ยุโรป (Euro Debt Crisis) ในตอนนี้ก็ได้ครับ
เมื่อมีข่าวร้ายเกิดขึ้นในตอนแรก ข่าวร้ายต่อๆมาก็จะทยอยออกมาเรื่อยๆ
และส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของตลาดนั้นด้วย

ตอนแรก เริ่มจากกรีซหนี้บวก Debt-to-GDP โตเกิน 100%
>> รัฐบาลประกาศใช้แผนรัดเข็มขัด
>> แต่ประชาชนประท้วงไม่ยอมให้หักสวัสดิการและเงินเดือน
>> ขอความช่วยเหลือการกลุ่ม EU
>> ต้องรัดเข็มขัดเพิ่มอีก
>> ประท้วงอีก
>> S&P และ Moody’s ทนไม่ไหว
ก็ประกาศ Downgrade ตราสารหนี้ของกรีซกลายเป็น Junk Bond
>> Cost of Funding สูงขึ้นทันทีอย่างรวดเร็ว
>> รัดเข็มขัดเพิ่มขึ้นอีก

ถ้าเปรียบกรีซเป็นมนุษย์ ผมว่าตอนนี้ น่าจะเป็นมนุษย์ที่มีเอวเล็กที่สุดในโลกแล้วนะ
รัดจังเลยเข็มขัดเนี่ย 555+

เอาจริงๆแล้ว การ Downgrade ของ Credit Rating Agency (CRA) นั้น
ใช้ข้อมูลในอดีตมาประเมินส่วนใหญ่ และคาดการณ์ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ซึ่งอนาคต เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจาก Negative Feedback ก็คือ
พอนักลงทุนเห็นกรีซกลายเป็นขยะ อารมณ์ก็ยิ่งแย่ ยิ่งขายหนักขึ้นไปอีก
มันช่างสวนทางกับสิ่งที่กรีซต้องการ ณ ขณะนี้เป็นอย่างมาก นั้นก็คือ
อยากให้ต้นทุนการกู้ยืมต่ำลง (Capital Requirement) เพื่อฟื้นฟูจะประเทศในระยะยาว
แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว

อ๋อ... อย่ามอง Reflexivity ในแง่ร้ายเพียงอย่างเดียวนะครับ
Positive Feedback ก็มีให้เห็น

ยกตัวอย่างเช่น
ราคาบ้านในอเมริกาปรับตัวสูงขึ้น
>> ประเมิณหลักทรัพย์ ได้วงเงินเพิ่ม ก็ไปกู้มาเพิ่ม
>> ได้เงินกู้มา ก็เอาไปซื้อบ้านเพิ่มอีก
>> ราคาบ้านก็ปรับตัวสูงขึ้นอีก .... แต่สุดท้าย ตลาดก็ตระหนักถึงความจริงที่ว่า
มีแต่ผู้ซื้อมาเก็งกำไร แต่ไม่มีคนอยู่จริงๆ เมื่อนั้น
วิกฤต Subprime ก็มาเยือนเราเมื่อปี 2008

แต่ก่อนหน้านั้นร่วมๆ 10 ปี ก็ด้วยเจ้าราคาบ้านนี้ล่ะครับส่วนหนึ่ง
ที่ทำให้ GDP อเมริกาโตมาได้ขนาดนี้

โดยสรุป เมื่อดูจากตัวอย่างแล้วจะเห็นว่า
ไม่ใช่แค่ปัจจัยพื้นฐานเท่านั้นส่งผลต่อราคาหุ้น
แต่ตัวราคาหุ้นเอง ยังส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของตัวหุ้นมันเองอีกด้วย
ไม่ว่าจะทิศทางไหน ขึ้นหรือลงก็ตาม


ที่ผมสรุปไปว่า ราคาหุ้นต่อปัจจัยพื้นฐานของตัวหุ้น นักลงทุนหลายคนอาจงงๆ
เพราะเรียนมา ไม่เห็นเคยมีใครบอกอย่างนั้น
นั้นผมขอยกตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งครับ เอาใกล้ๆตัวเรานี่ล่ะ

เหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ เดือนร้อนกับถ้วนหน้า
สภาพัฒน์เอย ศูนย์วิจัยกสิกรเอย หรือ World Bank เอย ต่างออกมาบอกว่า
GDP ปีนี้ลดลง และจ่อปรับประมาณการณ์ GDP ปีหน้า
คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในหลาย Sector จะลดลง
แล้วเกิดอยู่ดีๆ ดันมี Invisible Hands สอยหุ้นไทยทะลุ 1,000 จุดขึ้นมา
เพราะเก็งไปเลยว่า กระทบไม่เยอะ ระยะยาวยัง OK อยู่
ทั้งๆที่เอาเข้าจริง ตอนนี้ก็ไม่มีสัญญาณอะไรบอกเรามาเลยว่า
รัฐบาลมีมาตรการอะไรออกมากระตุ้น หรือ
บริษัทจะกำลังดำเนินการผลิตได้ทันจริงๆไหม

แต่ถ้าตลาดหุ้นยังหน้าด้านวิ่งขึ้นต่อไป
ความมั่งคั่งของนักลงทุนในตลาดโดยรวมก็ยังเพิ่มขึ้น
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็จะกลับมา
ใครลงทุนแล้วกำไรในรอบนี้ มีสภาพคล่องมากขึ้น
หันมาเจอไอ้หุ้นที่ถูกมองว่าแย่ๆเพราะเจอน้ำท่วม
ก็ช้อนซื้อไว้ ไปๆมาๆ ราคาหุ้นไม่ลง แถมวิ่งตามชาวบ้านเขาขึ้นไปได้อีก

เห็นไหมครับ Reflexivity ของ George Soros
สามารถอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดในตลาดหุ้นได้ในอีกมุมหนึ่ง
ที่หลายคนอาจไม่เคยนึกถึง

ด้วยทฤษฏีนี้ ด้วยความเชื่อที่ว่า
ราคาหุ้นจะวิ่งออกจากจุดดุลยภาพไปอย่างมาก
ทำให้เขากล้าที่จะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลกับการเก็งกำไร
เพื่อรอคอยจุดกลับตัวของตลาด

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเก็งว่าตลาดจะ Burst
มากกว่าจะเก็งว่า Boom เลยถูกมองว่าเป็น “Satan”
ซึ่งตรงกันข้ามกับ Warren Buffet
ที่ทำกำไรจากการลงทุนเข้าซื้อและถือในระยะยาวเท่านั้น
แถมตลาดตกลงมาซักระยะ ยังพยายามหาโอกาสเข้าไปช้อนซื้อ
ทำให้ภาพของ Buffet เป็นเหมือน “Santa” ในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก

สิ่งที่ Soros และ Buffet เหมือนกันก็คือ
- เขาทั้งคู่เริ่มจากคำว่า รวย เป็น โคตรรวย
ด้วยการทุ่มและเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง
ส่วนการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ในพอร์ตการลงทุน
เกิดขึ้นหลังจากที่พอร์ตการลงทุนของทั้งสองใหญ่จนไม่รู้จะเอาไปซื้ออะไรแล้ว
- ทั้งคู่ไม่เคยตั้งเป้าหมายการลงทุนว่าจะได้กำไรเท่าไหร่
...แปลง่ายๆว่า เงิน ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่สุดในการลงทุนของทั้งสอง
(แล้วมีทำไมเยอะแยะขนาดนั้นฟร่ะ)
- ทั้งคู่ ไม่อ่าน Research ที่มีอยู่เกลื่อนตลาด
แต่ใช้วิธีศึกษาด้วยตัวเอง และทีมงานของตัวเอง

เห็นอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้คิดขึ้นมาว่า
บางครั้ง Satan กับ Santa มันต่างกันนิดเดียวเท่านั้น
ผมเชื่อว่า ในหลายวิกฤต Buffet ก็เอาเห็นช่องในการทำกำไรเหมือนกัน
(รวยขนาดนั้น เก่งขนาดนั้น จะไม่รู้อะไรเลยหรอ ?)
เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ เพราะมันขัดกับหลักการลงทุนและจริยธรรมของเขา
ในขณะที Soros มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ผิด

ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ขอวิจารณ์ Soros นะครับ
แต่ขอนำข้อดี และสิ่งที่เป็นประโยชน์เอาไปต่อยอดตัวเองดีกว่า

สุดท้าย ปัจจุบัน George Soros ซึ่งอายุ 81 ปี
เพิ่งยุติอาชีพการเป็นผู้จัดการกองทุน Hedge Fund
ให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา
และคืนเงินให้กับนักลงทุนเป็นที่เรียกร้อย
สาเหตุก็เพราะสำนักงาน กลต. ของสหรัฐฯ
กำหนดให้ Hedge Fund ที่มี AUM เกิน $150ล้าน
ต้องขึ้นทะเบียนกับ SEC ภายในปี 2012 ที่จะถึงนี้
เพื่อกำกับดูแล และอยู่ในสายตาของทางการมากขึ้น
(ตอนนี้ Soros Fund มี AUM สิริรวม $20,000ล้าน)
การเลิกบริหารกองทุนของ Soros สาเหตุมาจาก
ถ้าต้องขึ้นทะเบียนและรายงานการซื้อขายให้กับ SEC
ก็จะกลายเป็นว่า ต้องเปิดเผยข้อมูลการลงทุนแก่สาธารณะ กลยุทธ์อาจถูกเปิดเผย
และการทุ่มโจมตีอะไรอีกซักอย่าง
ก็จะเป็นข่าวก่อน และเป็นตกเป็นเป้าของสาธารณะชน ...
หลายคนกระโดดดีใจ ร้องเย้ๆๆๆ แต่ขอโทษ Hedge Fund มีอยู่ทั่วโลก
มีแค่ Soros ออกจากตลาดคนเดียว คนอื่นยังอยู่ โฮะๆ

เอาเถอะครับ หลังจากนี้ เราคงไม่เห็นผลงานของ Soros อีกแล้ว
แต่แน่นอนว่า เขาจะเป็นที่จดจำในฐานะนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกคนหนึ่ง
ถึงแม้วิธีการได้มา มันจะโหดร้ายสำหรับหลายๆคน บั๊บบาย โซรอสสสสส


โชคดีในการลงทุนครับ
Mr.Messenger

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่มา: http://value-visions.blogspot.com/2011/ ... enger.html

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 3:28 pm
โดย harikung
ขอแชร์ข้อแรกมั่งครับ

ส่วนตัวผมจะคำนวนราคาที่ควรจะเข้าซื้อเอาไว้(เท่าไหร่แล้วแต่mosของแต่ละท่าน) ซึ่งถ้าราคาอยู่ในระดับที่ผมคำนวนไว้จะซื้อ50%ของจำนวนที่ตั้งใจซื้อครับ ซึ่งปกติผมจะหวังผลตอบแทนประมาณ15%ต่อปี ส่วนเงิน50%ที่เหลือ ถ้าหุ้นตกลงมาอีกผมจะทยอยเก็บทีละนิดๆครับ ซึ่งผมคิดว่าวิธีนี้ไม่ว่าหุ้นขึ้นหรือลงผมก็มีความสุขได้ครับ ไม่เหมือนตอนแรกๆที่ผมจะซื้อแทบจะ100%ของที่ตั้งใจเลย

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 3:31 pm
โดย picatos
1) VI ไม่ซื้อหุ้นที่ไม่ undervalue ดังนั้นคำว่า ราคาสูงของคุณแปลว่าอะไรครับ? แปลว่า overvalue รึเปล่า ถ้า overvalue VI จะไม่ทางซื้อเด็ดขาด หรือถ้า undervalue แต่ MOS มีไม่พอ ไม่มากถึงเกณฑ์ ก็ไม่ซื้อเด็ดขาดอีกเหมือนกัน ดังนั้นเท่าที่อ่านคำถามคุณ แสดงว่าคุณยังเข้าไม่ถึงหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างแท้จริง ผมแนะนำให้กลับไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนให้ปึ้กๆ แล้วก็ไปอ่าน Annual Report, 56-1 อ่านงบการเงิน ฝึก Valuation จนมีความชำนาญ แล้วค่อยกลับมาเริ่มลงทุนจริงๆ จะดีกว่าครับ

2) ผมว่าข้อสองนี่น่าจะเข้าใจผิดนะครับ VI มองภาพเศรษฐกิจใหญ่ครับ เพียงแต่จะมองเป็นปัจจัยเชิงคุณภาพ ไม่ได้มองเป็นปัจจัยเชิงปริมาณ การมองภาพใหญ่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดทั้งการใช้ชีวิตและการลงทุนแล้วครับ ไม่มองภาพใหญ่ไม่ได้เด็ดขาดครับ เพียงแต่เราจะไม่ได้มองภาพใหญ่แล้วจะคาดคั้นออกมาเป็นตัวเลข เพราะ ขึ้นชื่อว่าภาพใหญ่ มันเป็นแค่ทิศทาง เป็นแค่ไกด์ไลน์ ว่ากิจการที่เราลงทุนจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากภาพใหญ่ทางเศรษฐกิจ เราจะเลือกลงทุนในกิจการที่ได้ประโยชน์จากภาพใหญ่ แต่หลีกเลี่ยงกิจการที่อาจจะเสียประโยชน์จากสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ส่วนที่คุณกระเจิงไปตอนหุ้นตก ตอนอ่านข่าวร้าย มันเป็นผลมาจากการที่คุณยังไม่เข้าใจกิจการอย่างแท้จริง และยังไม่สามารถทำการประเมินมูลค่าที่เชื่อมั่นได้ออกมา จึงทำให้เวลาหุ้นตก คุณไม่มั่นใจในกิจการที่คุณลงทุน และเกิดอาการกระเจิงได้

จริงๆ แล้ว ถ้าเกิดวิกฤต แต่ถ้ามูลค่ากิจการที่คุณประเมินออกมาเป็นมูลค่าที่มองเผื่อ worst case เผื่อวิกฤตเศรษฐกิจเอาไว้แล้ว เวลาเกิดวิกฤตจริง ก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร คุณยังสามารถถือหุ้นได้ชิวๆ หากกิจการของคุณยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากกว่าที่คุณได้ประเมินมูลค่าเอาไว้ อย่าลืมนะครับ ว่าหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า เราต้องได้กำไรทันทีที่เราซื้อหุ้น ดังนั้นทุกๆ ครั้งที่เราลงทุน เราจะประเมินมูลค่าอย่าง Conservative แล้วถ้าเกิดมีอะไรผิดคาด MOS จะเป็นเบาะลองรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการประเมินมูลค่าแบบที่ Conservative มากๆ แล้ว

3) DCA เป็นเครื่องมือในการลงทุนของคนที่ไม่มีความสามารถในประเมินมูลค่ากิจการเองเป็น จึงไม่รู้ว่าราคา ณ ขณะนี้ undervalue อยู่รึเปล่า จึงซื้อถัวไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงราคาที่เทียบกับมูลค่า ถ้าหากคุณเป็น VI ที่มุ่งมั่น มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการประเมินมูลค่า โอกาสที่คุณจะใช้ DCA จะมีน้อยมากครับ เพราะ MOS จะเป็นตัวควบคุม Timing ในการลงทุนของคุณโดยอัตโนมัติ คุณจะไม่ซื้อหุ้นที่ไม่มี MOS คุณจะพร้อมที่จะเก็บเงินรอคอยการลงทุนที่คุณมั่นใจว่ากำไรแน่ๆ เท่านั้น

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 3:52 pm
โดย Sorgios
ขอบคุณมากๆๆครับพี่ picatos ที่แนะนำ ตาสว่างขึ้นมากครับ
ยอมรับว่ายังต้องไปอ่านอีกเยอะมากๆๆๆๆ

รบกวนถามพี่ picatos เพิ่มเติมครับ
ในกรณีที่ยังไม่สามารถหาหุ้นที่ undervalue และ มี MOS มากเพียงพอ
พี่ picatos คิดว่าการถือเงินสด และ รอจังหวะ (+ศึกษาไปเรื่อยๆ)
กับการนำเงินสดมาลงทุนในบริษัทที่ให้ปันผลดี และ หุ้นไม่หวือหวาตามตลาดมากนัก
อย่างไรน่าจะดีกว่ากันครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 4:20 pm
โดย picatos
Sorgios เขียน:ขอบคุณมากๆๆครับพี่ picatos ที่แนะนำ ตาสว่างขึ้นมากครับ
ยอมรับว่ายังต้องไปอ่านอีกเยอะมากๆๆๆๆ

รบกวนถามพี่ picatos เพิ่มเติมครับ
ในกรณีที่ยังไม่สามารถหาหุ้นที่ undervalue และ มี MOS มากเพียงพอ
พี่ picatos คิดว่าการถือเงินสด และ รอจังหวะ (+ศึกษาไปเรื่อยๆ)
กับการนำเงินสดมาลงทุนในบริษัทที่ให้ปันผลดี และ หุ้นไม่หวือหวาตามตลาดมากนัก
อย่างไรน่าจะดีกว่ากันครับ
ขึ้นชื่อว่าหุ้น ไม่ว่าจะปันผลดี ไม่หวือหวา หรือปันผลไม่ดี หวือหวา ถ้าเป็น VI จริงๆ ก็ต้องซื้อตอน undervalue และ มี MOS มากเพียงพออยู่แล้ว

หุ้นกิจการแข็งแกร่ง ปันผลดี ราคาที่ผ่านมาไม่หวือหวา แต่ถ้าเราซื้อในราคาที่ overvalue หรือไม่มี MOS ก็เจ๊งหนักได้เหมือนๆ กันครับ

ดังนั้นถ้ายังหาหุ้นที่เราถืออย่างสบายใจไม่ได้ ก็ควรจะถือเป็นเงินสด หรือลงทุนพวกกองทุนพวกตราสารหนี้ระยะสั้นไปก่อนจะดีกว่าครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 4:23 pm
โดย marcus147
Sorgios เขียน:ขอบคุณมากๆๆครับพี่ picatos ที่แนะนำ ตาสว่างขึ้นมากครับ
ยอมรับว่ายังต้องไปอ่านอีกเยอะมากๆๆๆๆ

รบกวนถามพี่ picatos เพิ่มเติมครับ
ในกรณีที่ยังไม่สามารถหาหุ้นที่ undervalue และ มี MOS มากเพียงพอ
พี่ picatos คิดว่าการถือเงินสด และ รอจังหวะ (+ศึกษาไปเรื่อยๆ)
กับการนำเงินสดมาลงทุนในบริษัทที่ให้ปันผลดี และ หุ้นไม่หวือหวาตามตลาดมากนัก
อย่างไรน่าจะดีกว่ากันครับ
ผมเห็นหลายคนพักเงินไว้ใน MMF money market fund
ส่วนผมตอนนี้พักเงินไว้ใน ME by TME ได้ดอก 3% แต่ถอนได้ คล้ายๆ MMF แต่สะดวกกว่า

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 5:06 pm
โดย ซุนเซ็ก
Sorgios เขียน:คุณซุนเซ็ก : ไปแอบอ่านเรื่อง Reflexivity มานิดนึง น่าสนใจครับ
เลยอยากถามคุณซุนเซ็กว่าปลายปีที่ผ่านมา
ใช้หลักของ Reflexivity อย่างไรครับ
คุณ sipoonya , คุณ iruma : ขอบคุณครับ
Reflexivity...จะอธิบายให้ง่าย ค่อนข้างยากอยู่เหมือนกัน
คราวๆน่าจะพูดได้ว่าคือการเอา MOS วางลง และ อย่ายึดติดกับมัน
เพราะ MOS มาจาก Fair Value มาจากการ Valuation หุ้น
ประเด็นก็คือ Valuation ไม่ใช่ Objective แต่มันเป็น Subjective
Reflex จะให้น้ำหนักกับ พื้นฐาน <-> ความเข้าใจพื้นฐาน <-> ราคาหุ้น เท่าๆกัน
ต่างจาก VI ที่เน้นไปที่พื้นฐานอย่างเดียว(ซึ่งจริงๆแล้วคือ ความเข้าใจพื้นฐาน)
ช่วงก่อนวิกฤตปลายปีที่แล้ว หุ้นทุกตัวในพอร์ตผมเข้าเงื่อนไขให้ขายทั้งหมดครับ
ฟลุ๊คหรือป่าว? ผมยังไม่กล้าตอบว่าไม่ แต่ส่วนตัวผมพอใจกับผลลัทธ์ที่ได้ครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 5:33 pm
โดย ดำ
ซุนเซ็ก เขียน:ช่วงก่อนวิกฤตปลายปีที่แล้ว หุ้นทุกตัวในพอร์ตผมเข้าเงื่อนไขให้ขายทั้งหมดครับ
ฟลุ๊คหรือป่าว? ผมยังไม่กล้าตอบว่าไม่ แต่ส่วนตัวผมพอใจกับผลลัทธ์ที่ได้ครับ
แล้วตอนนี้ซื้อกลับมาหมดยังครับ ซื้อตอนไหนครับ?

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 6:02 pm
โดย ซุนเซ็ก
ดำ เขียน:
ซุนเซ็ก เขียน:ช่วงก่อนวิกฤตปลายปีที่แล้ว หุ้นทุกตัวในพอร์ตผมเข้าเงื่อนไขให้ขายทั้งหมดครับ
ฟลุ๊คหรือป่าว? ผมยังไม่กล้าตอบว่าไม่ แต่ส่วนตัวผมพอใจกับผลลัทธ์ที่ได้ครับ
แล้วตอนนี้ซื้อกลับมาหมดยังครับ ซื้อตอนไหนครับ?
ผมขายไปปลายเดือนสิงหา กลับมาซื้อเดือนพฤศจิกายนครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 21, 2012 12:50 am
โดย MissViolet
ตามไปอ่านในบลอคคุณซุนเซ็กมาค่ะ น่าสนใจมาก
แต่ยังไม่เก็ตค่ะว่าใช้วิธีไหนบ้างถึงทราบว่าเข้าเกณฑ์ขายหมดทุกตัว เพราะเห็นว่าสิ่งสำคัญกว่างบคือการมอง key success ไม่ต้องคำนวณตัวเลขอะไรมาก และตลาดสามารถสะท้อนวิกฤติได้ ในที่นี้คิดว่านอกจากดูสภาพตลาดแล้ว คุณซุนเซ็กน่าจะมีวิธีอื่นอีกด้วยที่ใช้ประกอบกันหรือเปล่าคะ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 21, 2012 1:20 am
โดย rerkit
picatos เขียน:1) VI ไม่ซื้อหุ้นที่ไม่ undervalue ดังนั้นคำว่า ราคาสูงของคุณแปลว่าอะไรครับ? แปลว่า overvalue รึเปล่า ถ้า overvalue VI จะไม่ทางซื้อเด็ดขาด หรือถ้า undervalue แต่ MOS มีไม่พอ ไม่มากถึงเกณฑ์ ก็ไม่ซื้อเด็ดขาดอีกเหมือนกัน
รบกวนพี่ picatos บอกความแตกต่างระหว่าง undervalue vs MOS ได้มั๊ยครับ คือผมแยกไม่ออกครับ
ขออภัยถ้ารบกวนพี่มากไปนะครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 21, 2012 9:04 am
โดย ซุนเซ็ก
MissViolet เขียน:ตามไปอ่านในบลอคคุณซุนเซ็กมาค่ะ น่าสนใจมาก
แต่ยังไม่เก็ตค่ะว่าใช้วิธีไหนบ้างถึงทราบว่าเข้าเกณฑ์ขายหมดทุกตัว เพราะเห็นว่าสิ่งสำคัญกว่างบคือการมอง key success ไม่ต้องคำนวณตัวเลขอะไรมาก และตลาดสามารถสะท้อนวิกฤติได้ ในที่นี้คิดว่านอกจากดูสภาพตลาดแล้ว คุณซุนเซ็กน่าจะมีวิธีอื่นอีกด้วยที่ใช้ประกอบกันหรือเปล่าคะ
วีไอมือใหม่ทุกคนจะยังจับจุดไม่ถูก จึงวิเคราะห์ตัวเลขมันซะทุกอย่างเลย
DE ROE ROA EPS DCF DCA PE FCF...KFC :-P
แต่กลับไม่รู้ว่าอะไรที่สำคัญกันแน่ อะไรเป็น key success ในตัวธุรกิจนั้น
เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาตกผลึกด้วยตัวเอง หนังสือไหนก็สอนไม่ได้แล้วครับ.
เศรษฐกิจมหภาคผมดูครับ เพราะมีผลต่อการปรับ valuation ของทั้งตลาดอย่างกว้างๆ
ส่วนตอนขายหุ้นผมขายตาม Reflexivity’s Stage ครับ สนใจลองหาหนังสือมาอ่าน
มันเป็นทฤษฏีมากกว่ากลยุทธ์การลงทุน ภาษาอาจจะมึนนิดๆ(แต่ผมว่ายังดีกว่าฟิชเชอร์นะ 55)

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 12:11 am
โดย Sorgios
ตามไปอ่าน blog คุณซุนเซ็กมา
ทำให้รู้ว่า
ต้องขยันมากๆๆถึงจะอยู่รอดได้ในสนามนี้
ขอบคุณครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 9:44 am
โดย picatos
rerkit เขียน:
picatos เขียน:1) VI ไม่ซื้อหุ้นที่ไม่ undervalue ดังนั้นคำว่า ราคาสูงของคุณแปลว่าอะไรครับ? แปลว่า overvalue รึเปล่า ถ้า overvalue VI จะไม่ทางซื้อเด็ดขาด หรือถ้า undervalue แต่ MOS มีไม่พอ ไม่มากถึงเกณฑ์ ก็ไม่ซื้อเด็ดขาดอีกเหมือนกัน
รบกวนพี่ picatos บอกความแตกต่างระหว่าง undervalue vs MOS ได้มั๊ยครับ คือผมแยกไม่ออกครับ
ขออภัยถ้ารบกวนพี่มากไปนะครับ
ตามความเข้าใจของผม

มุมหนึ่ง MOS คือ คิดในกรณี worst case หรือกรณีที่ conservative มากๆ แล้วเราปลอดภัยขนาดไหน แต่ undervalue มันจะเป็นกรณีปกติ สถานการณ์ปกติโดยทั่วไป ไม่ได้ concern worst case ครับ

อีกมุมหนึ่ง คือ ราคา ณ ตอนนี้อาจจะ undervalue แต่ undervalue ไม่มากพอที่จะป้องกันการขาดทุนให้เราได้มากนักหากเกิดอะไรเลวร้ายขึ้นกับกิจการ

ดังนั้น พูดถึง MOS เราจะคิดหลักๆ ว่า ถ้าอะไรๆ ไม่เป็นอย่างที่คิด สิ่งต่างๆ มันเลวร้ายกว่าที่คิด หรือว่าที่เราคำนวนมูลค่ามาเราเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างผิดไป เรามีส่วนเผื่อมากขนาดไหนที่จะไม่ขาดทุน

สรุป มันเป็นการคิดที่เน้นเรื่องความปลอดภัย การป้องกันการขาดทุน ไม่ใช่แนวคิดเรื่องการทำกำไร

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 9:54 am
โดย picatos
คนเข้ามาเล่นหุ้นอยากจะได้กำไร แต่เพราะความที่อยากได้กำไร จึงเป็นเหตุให้ขาดทุน ล้มหายตายจากไปจากตลาด

ถ้าไปศึกษาแนวคิดนักลงทุนเก่งๆ แนวคิดหลักๆ จะเน้นเรื่องการรักษาเงินต้นมากกว่า ทำอย่างไรให้ไม่ขาดทุน หรือว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันเราจะจัดการยังไงกับการลงทุน

ดังนั้นผมคิดว่าการจะลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้น ได้มากได้น้อยไม่สำคัญเท่ากับ การรักษาตัวเองให้มีชีวิตรอดอยู่ในตลาด การรักษาสภาวะจิตใจให้เหมาะสมกับการลงทุน พอเรารอดแล้ว เรามีทัศนคติในการลงทุนที่ถูกต้องแล้ว เรามีความขยันหมั่นเพียรในการทำงานต่างๆ ถึงวันหนึ่ง เราก็เก่งเอง เราก็จะลงทุนโดยประสบความสำเร็จเอง

ผมใช้เวลาศึกษาการลงทุน ทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ อยู่ 4-5 ปี ถึงจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองลงทุนเป็น และพอลงทุนเป็น การลงทุนจึงเริ่มออกดอกออกผลได้บ้าง ซึ่งพอเริ่มเห็น พอเริ่มเข้าใจ ก็รู้ว่าโอกาสทางการลงทุนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าตลาดตอนนี้อยู่ที่กี่จุด แต่ขึ้นอยู่กับมุมมอง ความคิดของเรามากกว่า ที่จะมองเห็นโอกาสที่ผ่านเข้ามาทุกๆ วัน และเลือกการลงทุนที่ดี ที่เหมาะกับเรา

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 10:05 pm
โดย Green
1. ถ้าหาไม่เจอ แนะนำว่า รอก่อนครับ หาไม่เรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ เวลาดูว่ามันถูกหรือแพง อยากคิดค่ากำไรปัจจุบันอย่างเดียวนะครับ ดูอนาคตด้วย กำหนดสั้นๆ 3 -5 ปีแล้วคำนวนย้อนกลับ ว่า มันถูกหรือแพงอยู่ หากถือไป 3-5 ปีแล้วมันมีส่วนต่างให้เราเยอะมั้ย มีเยอะๆ หน่อยก็ดี เผื่อเราคำนวนแบบมีอคติ ที่สำคัญคือ อย่าไปกลัวตกรถครับ เพราะตลาดหุ้นมันจะมีโอกาสให้คุณเสมอ แค่ตอนโอกาสมาคุณมีเงินมั้ยแค่นั้น

2. สำหรับข้อนี้ ผมว่า ถ้ามีหุ้นอยู่แล้ว และวิกฤติ นั้นมันไม่กระทบผลกำไรเราโดยตรง ก็ไม่ต้องไปสนใจมัน หรือ กระทบผลกำไร แค่ไตรมาสสองไตรมาส แต่ระยะยาวแล้วไม่เป็นไร ก็ไม่ต้องไปกลัวมัน หุ้นที่เจอวิกฤติ แล้วราคาร่วงกว่า 40 -50 เปอร์เซนต์ พอวิกฤติจบราคาขึ้นจาก จุดสูงสุดเดิม ไปหลายๆเท่า ก็มีเยอะแยะไปหมด สำคัญว่ากำไรบริษัทดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ปีหรือป่าว อีกอย่างเราต้องซื้อถูกด้วย หากเราทำตามข้อหนึ่งได้แล้ว พอวิกฤติมาคุณก็มีเงินสดมาซื้อของดีราคาถูกแล้ว

3. ไม่เคยใช้ครับ ดูว่า ช่วงไหน ถูกก็ซื้อมากหน่อย ช่วงไหนแพงก็เก็บเงินเอาไว้ครับ

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 24, 2012 5:46 pm
โดย rerkit
picatos เขียน:
rerkit เขียน:
picatos เขียน:1) VI ไม่ซื้อหุ้นที่ไม่ undervalue ดังนั้นคำว่า ราคาสูงของคุณแปลว่าอะไรครับ? แปลว่า overvalue รึเปล่า ถ้า overvalue VI จะไม่ทางซื้อเด็ดขาด หรือถ้า undervalue แต่ MOS มีไม่พอ ไม่มากถึงเกณฑ์ ก็ไม่ซื้อเด็ดขาดอีกเหมือนกัน
รบกวนพี่ picatos บอกความแตกต่างระหว่าง undervalue vs MOS ได้มั๊ยครับ คือผมแยกไม่ออกครับ
ขออภัยถ้ารบกวนพี่มากไปนะครับ
ตามความเข้าใจของผม

มุมหนึ่ง MOS คือ คิดในกรณี worst case หรือกรณีที่ conservative มากๆ แล้วเราปลอดภัยขนาดไหน แต่ undervalue มันจะเป็นกรณีปกติ สถานการณ์ปกติโดยทั่วไป ไม่ได้ concern worst case ครับ

อีกมุมหนึ่ง คือ ราคา ณ ตอนนี้อาจจะ undervalue แต่ undervalue ไม่มากพอที่จะป้องกันการขาดทุนให้เราได้มากนักหากเกิดอะไรเลวร้ายขึ้นกับกิจการ

ดังนั้น พูดถึง MOS เราจะคิดหลักๆ ว่า ถ้าอะไรๆ ไม่เป็นอย่างที่คิด สิ่งต่างๆ มันเลวร้ายกว่าที่คิด หรือว่าที่เราคำนวนมูลค่ามาเราเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างผิดไป เรามีส่วนเผื่อมากขนาดไหนที่จะไม่ขาดทุน

สรุป มันเป็นการคิดที่เน้นเรื่องความปลอดภัย การป้องกันการขาดทุน ไม่ใช่แนวคิดเรื่องการทำกำไร
ขอบคุณครับพี่ อธิบายได้ชัดเจนเลยครับ :)

Re: เข้า - ออก อย่างไร ในสภาวะตลาดอย่างนี้

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 25, 2012 12:10 pm
โดย noooon010
ขออนุญาตินำข้อเขียนของพี่มนมาฝากนะครับ รับประกันความwork ครับ :D
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 17&gblog=4

อย่าจับจังหวะตลาด : พี่มนตรี นิพิฐวิทยา
แนว คิดง่ายๆที่นักลงทุนหลายๆท่านต่างก็เข้าใจ และพยายามทำให้ได้ในทุกครั้งที่ซื้อขายหุ้นคือ “ซื้อหุ้นตอนที่ยังถูกและขายตอนแพง” แต่พอเอาเข้าจริงทำกันไม่ค่อยได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดว่า “ติดดอย และขายหมู” แน่นอน

ดังนั้น ผมขอบอกไว้ก่อนว่า ยุทธศาสตร์ข้อนี้ “เป็นแนวคิดง่ายๆ แต่ยากในการปฏิบัติ” !!

คง มีไม่กี่ครั้งที่เราสามารถซื้อขายได้ถูกเวลา เราอาจซื้อได้ถูกในบางครั้งแต่นั้นไม่ใช่เพราะเราประเมินราคาได้อย่างถูก ต้อง แต่เป็นเพราะเราโชคดี และตอนขายนี่ยากกว่าตอนซื้อมากนัก และมักจะขายแล้วราคายังขึ้นต่อ นำความเจ็บช้ำน้ำใจมาสู่เราได้ตลอดเวลา

จาก การศึกษาแล้ว การจับจังหวะเข้าซื้อหรือขายนั้นหากทำได้จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล และมากกว่าเทคนิคการลงทุนใดๆทั้งปวง แต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ฉะนั้น ที่หลายต่อหลายท่านมักถามผมว่า “ตอนนี้ตอนนั้น ตลาดจะเป็นอย่างไร? ซื้อได้ไหม?” ผมตอบเหมือนเดิมเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้วครับ คือ “รู้ก็ดีซิ ไม่มาบอกฟรีๆหรอก ทำเป็นข้อมูลขายดีกว่า”

ไม่ได้กวนจริงๆ ที่ตอบอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ผมคงรวยโดยไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ขายคำทำนายก็รวยแล้ว สรุปก็คือ การจับจังหวะตลาดนั้นทำได้ยากมาก และโอกาสถูกต้องนั้นก็น้อยมากๆเช่นกัน

แล้วถ้าเป็นอย่างนี้จะทำ อย่างไร? กำปั้นทุบดินครับ ก็ไม่ได้ไปใส่ใจกับตลาด เพราะเราไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งตลาด เราซื้อหุ้นรายบริษัทที่เราวิเคราะห์แล้วว่าดี และใช้วิธีรอราคาถูกๆ หรือเฉลี่ยซื้อไปเรื่อยๆ ขายก็เช่นกัน เกินราคาที่ประเมินไว้แล้วก็ทยอยขาย

ที่ ทำอย่างนี้เพราะธรรมชาติของตลาดสินทรัพย์ทางการเงินทุกชนิดมีลักษณะตามแห่ ครับ สังเกตให้ดี เมื่อราคาหุ้นขึ้นจะมีคนมาแย่งกันซื้อ แต่ถ้าราคาลงก็แย่งกันขาย และถ้าความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดปรับสูงขึ้นพร้อมๆกันเมื่อไร สังเกตให้ดีครับ ไม่นานตลาดจะปรับลง และต่อให้หุ้นมีพื้นฐานดีอย่างไร ราคาหุ้นนั้นก็ลงตามตลาดด้วย เป็นอย่างนี้มาตลอด กฎข้อนี้ถือว่าตายตัว เพราะเป็นนิสัยถาวรของมนุษย์ทุกคน คือ “โลภ และ กลัว”

และขอให้ สังเกตอีกครั้งว่า เมื่อตลาดหุ้นอยู่ในสภาพที่ไม่ดี เราจะเห็นว่ามีการซื้อขายน้อยมาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม นักลงทุนต่างก็นั่งทับเงินเอาไว้ก่อน

แน่นอนทุกคนมักจะพูดว่า “ฉันใช้วิธีซื้อถูกๆและขายตอนแพง” ด้วยกันทั้งนั้น แต่พอหุ้นลงต่างก็นั่งนิ่งๆรอให้ตลาดดูดีก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้น ซึ่งนั้นก็คือตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้นตัวที่น่าสนใจก็ปรับขึ้นแล้วเช่นกัน และนักลงทุนหลายๆคนก็มักจะสนใจหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้นกันทั้งนั้น ผลตอบแทนที่เรามักจะได้คือ ผลตอบแทนค่าเฉลี่ยเหมือนกันกับทุกๆคนที่ซื้อหุ้นตอนตลาดดีๆ

หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “เราจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด หากเราคอยจับจังหวะตลาด” และถ้าหากเราคอยซื้อเมื่อตลาดดีแล้ว นั่นหมายถึงมีคนซื้อมาก่อนหน้าเรามากแล้ว ราคาหุ้นนั้นอาจจะกำลังแพงเกินไปแล้วก็ได้ กรณีนี้มีความเสี่ยงสูงที่หุ้นนั้นกำลังถูกขายทำกำไรในอีกไม่นานนี้

เบน จามิน เกรแฮม บิดาแห่งการวิเคราะห์หลักทรัพย์ ผู้แต่งตำราคลาสสิคเรื่อง นักลงทุนผู้ชาญฉลาด หรือ Intelligent Investor และ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือ Security Analysis ได้กล่าวไว้ว่า

“ให้ซื้อหุ้นเมื่อหลายๆ คน…รวมถึงผู้เชี่ยวชาญต่างๆ…มีความคิดในแง่ร้ายต่อตลาด และขายเมื่อพวกเขาเหล่านั้นมีความคิดต่อตลาดในเชิงบวกมากๆ”

เบอร์นาร์ด บารัค อดีตที่ปรึกษาประธานาธิปดีสหรัฐฯที่ประสบความสำเร็จท่านหนึ่งในประวัติ ศาสตร์ กล่าวไว้ว่า “อย่าทำอะไรตามฝูงชนเป็นอันขาด”

พฤติกรรมทำอะไร ตามๆกันนั้นเป็นธรรมชาติของสัตว์หลายๆชนิด รวมถึงมนุษย์ด้วย อาจเป็นการยากสำหรับพวกเราที่จะทำอะไรสวนกระแส หลายครั้งหลายหนอาจจะถูกมองว่า “เพี้ยน” ทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน เช่น การซื้อหุ้นตอนที่ชาวบ้านเขาขายหรือช่วงที่ตลาดตกต่ำย่ำแย่ และขายตอนที่ตลาดยังดูดี หรือตอนที่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ้นยังคงแนะนำให้ซื้อหุ้น และยังคงเชื่อว่าหุ้นจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆก็ตาม

สังเกตให้ดีครับ เมื่อทุกคน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างออกมาบอกว่า ตลาดจะขึ้นไปที่นั่นที่นี่ จากนั้นไม่นาน ตลาดจะปรับฐาน หรือไม่ก็ลงอย่างรุนแรง แต่ถ้าพวกเขายังมีความเห็นที่ระมัดระวังอยู่ หุ้นจะยังไม่ไปไหน

เห็นไหมครับ ว่าเป็นแนวคิดง่ายๆ “ซื้อตอนถูก ขายตอนแพง” แต่ปฏิบัติได้ยากจริงๆ !!!