หนี้สินผลประโยชน์พนักงาน
โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 27, 2012 1:55 pm
หนี้สินผลประโยชน์พนักงาน
ผลประโยชน์พนักงาน หมายถึง ผลประโยชน์ทุกชนิดที่พนักงานได้รับจากนายจ้างเพื่อแลกเปลี่ยนกับการทำงาน เช่น เงินเดือน ค่าประกันชีวิต วันลาหยุดพักร้อน และผลประโยชน์อื่นๆ ซึ่งรวมถึงผลประโยชน์ที่พนักงานจะได้รับหลังการเลิกจ้างหรือเกษียณอายุ ผลประโยชน์พนักงานสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท นั่นคือ ผลประโยชนที่ลูกจ้างจะได้รับทันทีที่ออกจากงาน เช่น เงินบำเหน็จ เงินบำนาญ และผลประโยชน์ที่ลูกจ้างยังคงได้รับจากบริษัทหลังออกจากงาน เช่น ผลประโยชน์เกี่ยวกับการประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ ที่นายจ้างต้องมอบให้ลูกจ้างตามข้อตกลงการจ้างงาน
ก่อนปี พ.ศ. 2554 บริษัทจดทะเบียนบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงานเมื่อมีการเลิกจ้างหรือเกษียณอายุ ตัวอย่างเช่น พนักงานคนหนึ่งของบริษัท A กำลังจะเกษียณอายุ บริษัทมีนโยบายว่าพนักงานที่เกษียณอายุทุกคนจะได้รับเงินรางวัลตอบแทนความดีจำนวน 500,000 บาท ณ วันที่พนักงานเกษียณอายุ บริษัทจะบันทึกค่าใช้จ่ายจำนวน 500,000 บาท และบันทึกเพิ่มหนี้สิน 500,000 บาท (กรณีที่บริษัทไม่ได้จ่ายเงินสดในทันที) หรือลดเงินสด 500,000 บาท (กรณีที่บริษัทจ่ายเงินสดทันที) ในการบันทึกบัญชีตามวิธีนี้ บริษัทไม่เคยบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผลประโยชน์ของพนักงานผู้นี้มาก่อนเลยในระหว่างที่พนักงานยังทำงานอยู่ ทั้งที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงานเกิดขึ้นตลอดเวลาในขณะที่พนักงานทำงานให้กับบริษัท ผลจากการไม่บันทึกบัญชีทำให้ในอดีต บริษัทบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินต่ำไปตลอดระยะเวลาที่พนักงานยังทำงานอยู่ แต่ในงวดที่พนักงานเกษียณอายุ บริษัทกลับบันทึกค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานสูงกว่าความเป็นจริงมาก (แม้ว่าสถานะของหนี้สินและเงินสดจะไม่ต่างไปจากความเป็นจริง) เริ่มต้นจากปี พ.ศ. 2554 บริษัทจะต้องบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงานเมื่อค่าใช้จ่ายนั้นเกิดขึ้น นั่นหมายความว่า บริษัทต้องทำการประมาณว่าพนักงานทุกคนของบริษัทจะทำให้บริษัทเกิดค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเป็นจำนวนเงินเท่าไรในแต่ละงวด (โดยอาศัยการคำนวณของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย) จากนั้นบริษัทต้องบันทึกค่าใช้จ่ายที่ประมาณขึ้นในงบกำไรขาดทุนสำหรับงวด พร้อมกับบันทึกหนี้สินผลประโยชน์พนักงานด้วยจำนวนเดียวกัน หนี้สินผลประโยชน์พนักงานนี้จะสะสมเพิ่มขึ้นในงบดุลของบริษัทตลอดระยะเวลาที่พนักงานยังทำงานอยู่ จนกระทั่งถึงวันที่พนักงานเกษียณอายุ ซึ่งตามตัวอย่างข้างต้น หนี้สินผลประโยชน์พนักงานที่แสดงในงบดุลของบริษัทควรมีจำนวนใกล้เคียงกับเงินรางวัลที่พนักงานจะได้รับเมื่อเกษียณอายุคือ 500,000 บาท และเมื่อถึงวันที่บริษัทจ่ายเงินรางวัลให้แก่พนักงาน บริษัทจะตัดบัญชีหนี้สินผลประโยชน์พนักงานที่เคยบันทึกไว้ ออกจากงบดุล
ในปี พ.ศ. 2554 เมื่อบริษัทถูกกำหนดให้ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินเกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงานเมื่อได้รับบริการจากพนักงาน (คือเมื่อพนักงานทำงานให้กับบริษัท) บริษัทที่ไม่เคยบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานมาเลยในอดีต จำเป็นที่จะต้องหาวิธีบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินทั้งจำนวนให้ปรากฎในงบการเงิน ดังนั้น สภาวิชาชีพบัญชีจึงได้ออกประกาศฉบับที่ 17/2554 เรื่อง การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนแปลงสำหรับผลประโยชน์ระยะยาวอื่นของพนักงาน สรุปได้ใจความว่า
ในช่วงเปลี่ยนผ่านของการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ บริษัทสามารถเลือกบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานได้ 4 วิธี ดังนี้
บริษัทสามารถรับรู้ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานทั้งจำนวน (ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน) ในงบกำไรขาดทุนทันที ในขณะที่บันทึกหนี้สินผลประโยชน์พนักงานในงบดุลทั้งจำนวนไปพร้อมกัน วิธีปฎิบัตินี้ทำให้ค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีผลกระทบทันทีต่องบกำไรขาดทุนและงบดุลของปี พ.ศ. 2554 วิธีนี้ไม่เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อค่าใช้จ่ายที่บันทึกมีจำนวนมากจนทำให้กำไรสุทธิบิดเบือนไปจากที่ควรเป็น
บริษัทสามารถทะยอยรับรู้ค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงาน (ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน) เป็นเวลา 5 ปี ด้วยวิธีเส้นตรง วิธีปฏิบัตินี้ทำให้ค่าใช้จ่ายค่อยๆ ทะยอยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนและหนี้สินค่อยๆ ทะยอยรับรู้ในงบดุลด้วยจำนวน 1/5 ของค่าใช้จ่ายและหนี้สินที่แท้จริง วิธีนี้ช่วยในการเกลี่ยกำไรสุทธิ (Smooth income) สำหรับระยะเวลา 5 ปี แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
บริษัทสามารถนำส่วนเพิ่มไปปรับกับกำไรสะสมต้นงวด เข้าใจว่าวิธีนี้ กล่าวถึงบริษัทที่เคยบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานมาแล้วในอดีต แต่จำนวนที่บันทึกเป็นหนี้สินไม่ถูกต้องตามที่ควรเป็น บริษัทจึงได้รับอนุญาตให้ปรับหนี้สินผลประโยชน์พนักงานให้เท่ากับจำนวนที่ประมาณใหม่ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสามารถนำไปบันทึกลดกำไรสะสมต้นงวด อ่านแล้วไม่ทราบว่าวิธีนี้มีการปฏิบัติที่แท้จริงอย่างไร เนื่องจากไม่มีตัวอย่างให้ศึกษาและไม่เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป การปฏิบัติตามวิธีนี้น่าจะให้ผลเช่นเดียวกับวิธีที่ 1 คือ กำไรสุทธิจะบิดเบือนไปจากที่ควรเป็น
บริษัทสามารถใช้ "วิธีเปลี่ยนทันทีเป็นต้นไป" ในการบันทึกบัญชี โดยนำค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานทั้งสิ้นที่เกิดในอดีตไปปรับกับกำไรสะสมต้นงวด ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดจริง (ตามที่ประมาณไว้ในแต่ละปี) จะรับรู้ในงบกำไรขาดทุนของปีนั้นๆ การบันทึกค่าใช้จ่ายในลักษณะนี้ทำให้หนี้สินผลประโยชน์พนักงานแสดงในงบดุลด้วยจำนวนที่ถูกต้องในแต่ละปีที่นำมาแสดงเปรียบเทียบกันในงบการเงิน
ตัวอย่างเช่น จากอดีตถึงต้นปี พ.ศ. 2553 บริษัทมีค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานจำนวน 700 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2553 และ 2554 บริษัทประมาณว่าค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 10 และ 15 ล้านบาท ตามลำดับ ตามวิธีปฏิบัตินี้ บริษัทจะแสดงหนี้สินผลประโยชน์พนักงานในงบดุลปี 2553 ด้วยจำนวน 710 ล้านบาท (สมมุติบริษัทไม่ได้จ่ายชำระหนี้สินออกไปเลย) แสดงกำไรสะสมต้นงวดลดลง 700 ล้านบาท และรับรู้ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานในงบกำไรขาดทุนจำนวน 10 ล้านบาท ส่วนในปี พ.ศ. 2554 บริษัทจะแสดงหนี้สินผลประโยชน์พนักงานจำนวน 725 ล้านบาท แสดงกำไรสะสมต้นงวดลดลง 710 ล้านบาท และรับรู้ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานในงบกำไรขาดทุน 15 ล้านบาท
การปฏิบัติตามวิธีเปลี่ยนทันทีเป็นต้นไปนี้เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปและทำให้งบการเงินที่แสดงไว้ทั้ง 2 ปี สามารถเปรียบเทียบกันได้ (แต่ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับงบการเงินที่ออกในปี พ.ศ. 2553 หรือก่อนหน้านั้นได้) นอกจากนั้น หนี้สินผลประโยชน์พนักงานที่แสดงในงบดุลและกำไรสุทธิที่แสดงในงบกำไรขาดทุนก็ไม่ถูกบิดเบือนไปจากที่ควรเป็น
ผลประโยชน์พนักงาน หมายถึง ผลประโยชน์ทุกชนิดที่พนักงานได้รับจากนายจ้างเพื่อแลกเปลี่ยนกับการทำงาน เช่น เงินเดือน ค่าประกันชีวิต วันลาหยุดพักร้อน และผลประโยชน์อื่นๆ ซึ่งรวมถึงผลประโยชน์ที่พนักงานจะได้รับหลังการเลิกจ้างหรือเกษียณอายุ ผลประโยชน์พนักงานสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท นั่นคือ ผลประโยชนที่ลูกจ้างจะได้รับทันทีที่ออกจากงาน เช่น เงินบำเหน็จ เงินบำนาญ และผลประโยชน์ที่ลูกจ้างยังคงได้รับจากบริษัทหลังออกจากงาน เช่น ผลประโยชน์เกี่ยวกับการประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ ที่นายจ้างต้องมอบให้ลูกจ้างตามข้อตกลงการจ้างงาน
ก่อนปี พ.ศ. 2554 บริษัทจดทะเบียนบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงานเมื่อมีการเลิกจ้างหรือเกษียณอายุ ตัวอย่างเช่น พนักงานคนหนึ่งของบริษัท A กำลังจะเกษียณอายุ บริษัทมีนโยบายว่าพนักงานที่เกษียณอายุทุกคนจะได้รับเงินรางวัลตอบแทนความดีจำนวน 500,000 บาท ณ วันที่พนักงานเกษียณอายุ บริษัทจะบันทึกค่าใช้จ่ายจำนวน 500,000 บาท และบันทึกเพิ่มหนี้สิน 500,000 บาท (กรณีที่บริษัทไม่ได้จ่ายเงินสดในทันที) หรือลดเงินสด 500,000 บาท (กรณีที่บริษัทจ่ายเงินสดทันที) ในการบันทึกบัญชีตามวิธีนี้ บริษัทไม่เคยบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผลประโยชน์ของพนักงานผู้นี้มาก่อนเลยในระหว่างที่พนักงานยังทำงานอยู่ ทั้งที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงานเกิดขึ้นตลอดเวลาในขณะที่พนักงานทำงานให้กับบริษัท ผลจากการไม่บันทึกบัญชีทำให้ในอดีต บริษัทบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินต่ำไปตลอดระยะเวลาที่พนักงานยังทำงานอยู่ แต่ในงวดที่พนักงานเกษียณอายุ บริษัทกลับบันทึกค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานสูงกว่าความเป็นจริงมาก (แม้ว่าสถานะของหนี้สินและเงินสดจะไม่ต่างไปจากความเป็นจริง) เริ่มต้นจากปี พ.ศ. 2554 บริษัทจะต้องบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงานเมื่อค่าใช้จ่ายนั้นเกิดขึ้น นั่นหมายความว่า บริษัทต้องทำการประมาณว่าพนักงานทุกคนของบริษัทจะทำให้บริษัทเกิดค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเป็นจำนวนเงินเท่าไรในแต่ละงวด (โดยอาศัยการคำนวณของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย) จากนั้นบริษัทต้องบันทึกค่าใช้จ่ายที่ประมาณขึ้นในงบกำไรขาดทุนสำหรับงวด พร้อมกับบันทึกหนี้สินผลประโยชน์พนักงานด้วยจำนวนเดียวกัน หนี้สินผลประโยชน์พนักงานนี้จะสะสมเพิ่มขึ้นในงบดุลของบริษัทตลอดระยะเวลาที่พนักงานยังทำงานอยู่ จนกระทั่งถึงวันที่พนักงานเกษียณอายุ ซึ่งตามตัวอย่างข้างต้น หนี้สินผลประโยชน์พนักงานที่แสดงในงบดุลของบริษัทควรมีจำนวนใกล้เคียงกับเงินรางวัลที่พนักงานจะได้รับเมื่อเกษียณอายุคือ 500,000 บาท และเมื่อถึงวันที่บริษัทจ่ายเงินรางวัลให้แก่พนักงาน บริษัทจะตัดบัญชีหนี้สินผลประโยชน์พนักงานที่เคยบันทึกไว้ ออกจากงบดุล
ในปี พ.ศ. 2554 เมื่อบริษัทถูกกำหนดให้ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินเกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงานเมื่อได้รับบริการจากพนักงาน (คือเมื่อพนักงานทำงานให้กับบริษัท) บริษัทที่ไม่เคยบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานมาเลยในอดีต จำเป็นที่จะต้องหาวิธีบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินทั้งจำนวนให้ปรากฎในงบการเงิน ดังนั้น สภาวิชาชีพบัญชีจึงได้ออกประกาศฉบับที่ 17/2554 เรื่อง การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนแปลงสำหรับผลประโยชน์ระยะยาวอื่นของพนักงาน สรุปได้ใจความว่า
ในช่วงเปลี่ยนผ่านของการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ บริษัทสามารถเลือกบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานได้ 4 วิธี ดังนี้
บริษัทสามารถรับรู้ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานทั้งจำนวน (ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน) ในงบกำไรขาดทุนทันที ในขณะที่บันทึกหนี้สินผลประโยชน์พนักงานในงบดุลทั้งจำนวนไปพร้อมกัน วิธีปฎิบัตินี้ทำให้ค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีผลกระทบทันทีต่องบกำไรขาดทุนและงบดุลของปี พ.ศ. 2554 วิธีนี้ไม่เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อค่าใช้จ่ายที่บันทึกมีจำนวนมากจนทำให้กำไรสุทธิบิดเบือนไปจากที่ควรเป็น
บริษัทสามารถทะยอยรับรู้ค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงาน (ที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน) เป็นเวลา 5 ปี ด้วยวิธีเส้นตรง วิธีปฏิบัตินี้ทำให้ค่าใช้จ่ายค่อยๆ ทะยอยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนและหนี้สินค่อยๆ ทะยอยรับรู้ในงบดุลด้วยจำนวน 1/5 ของค่าใช้จ่ายและหนี้สินที่แท้จริง วิธีนี้ช่วยในการเกลี่ยกำไรสุทธิ (Smooth income) สำหรับระยะเวลา 5 ปี แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
บริษัทสามารถนำส่วนเพิ่มไปปรับกับกำไรสะสมต้นงวด เข้าใจว่าวิธีนี้ กล่าวถึงบริษัทที่เคยบันทึกค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานมาแล้วในอดีต แต่จำนวนที่บันทึกเป็นหนี้สินไม่ถูกต้องตามที่ควรเป็น บริษัทจึงได้รับอนุญาตให้ปรับหนี้สินผลประโยชน์พนักงานให้เท่ากับจำนวนที่ประมาณใหม่ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสามารถนำไปบันทึกลดกำไรสะสมต้นงวด อ่านแล้วไม่ทราบว่าวิธีนี้มีการปฏิบัติที่แท้จริงอย่างไร เนื่องจากไม่มีตัวอย่างให้ศึกษาและไม่เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป การปฏิบัติตามวิธีนี้น่าจะให้ผลเช่นเดียวกับวิธีที่ 1 คือ กำไรสุทธิจะบิดเบือนไปจากที่ควรเป็น
บริษัทสามารถใช้ "วิธีเปลี่ยนทันทีเป็นต้นไป" ในการบันทึกบัญชี โดยนำค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานทั้งสิ้นที่เกิดในอดีตไปปรับกับกำไรสะสมต้นงวด ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดจริง (ตามที่ประมาณไว้ในแต่ละปี) จะรับรู้ในงบกำไรขาดทุนของปีนั้นๆ การบันทึกค่าใช้จ่ายในลักษณะนี้ทำให้หนี้สินผลประโยชน์พนักงานแสดงในงบดุลด้วยจำนวนที่ถูกต้องในแต่ละปีที่นำมาแสดงเปรียบเทียบกันในงบการเงิน
ตัวอย่างเช่น จากอดีตถึงต้นปี พ.ศ. 2553 บริษัทมีค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานจำนวน 700 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2553 และ 2554 บริษัทประมาณว่าค่าใช้จ่ายและหนี้สินผลประโยชน์พนักงานจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 10 และ 15 ล้านบาท ตามลำดับ ตามวิธีปฏิบัตินี้ บริษัทจะแสดงหนี้สินผลประโยชน์พนักงานในงบดุลปี 2553 ด้วยจำนวน 710 ล้านบาท (สมมุติบริษัทไม่ได้จ่ายชำระหนี้สินออกไปเลย) แสดงกำไรสะสมต้นงวดลดลง 700 ล้านบาท และรับรู้ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานในงบกำไรขาดทุนจำนวน 10 ล้านบาท ส่วนในปี พ.ศ. 2554 บริษัทจะแสดงหนี้สินผลประโยชน์พนักงานจำนวน 725 ล้านบาท แสดงกำไรสะสมต้นงวดลดลง 710 ล้านบาท และรับรู้ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานในงบกำไรขาดทุน 15 ล้านบาท
การปฏิบัติตามวิธีเปลี่ยนทันทีเป็นต้นไปนี้เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปและทำให้งบการเงินที่แสดงไว้ทั้ง 2 ปี สามารถเปรียบเทียบกันได้ (แต่ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับงบการเงินที่ออกในปี พ.ศ. 2553 หรือก่อนหน้านั้นได้) นอกจากนั้น หนี้สินผลประโยชน์พนักงานที่แสดงในงบดุลและกำไรสุทธิที่แสดงในงบกำไรขาดทุนก็ไม่ถูกบิดเบือนไปจากที่ควรเป็น