วัยเด็กของโซรอส
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 01, 2012 9:51 am
สวัสดีครับ ท่านสมาชิกทุกท่าน ผมอ่านเรื่องบทความเรื่อง วัฒนธรรมเภท ของอาจารย์แล้วเกิดความคิดหลายอย่าง คิดไปคิดมา ลองเขียนบทความสักอันหนึ่งก็แล้วกัน ลองดูครับ
ผมจะเริ่มอย่างนี้ สมมุติเวลาเจอกับพี่น้องสมาชิกท่านอื่น เอ้ย รู้ไหม โซรอสมีวัยเด็กที่ไม่เหมือนบัฟเฟตก็จริงนะ แต่ผมว่าพวกเขาสองคนมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่คล้ายกันมาก อันที่จริงหลายท่านที่ลงทุนเก่งๆ มักจะมีคุณสมบัตินี้ติดตัวและถึงขั้นจะเรียกว่าติดใจพวกเขา คำเฉลยของผมคือ ท่านสองคนชอบที่จะเสียงในช่วงเวลาที่คนอื่นกลัว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ผมคิดเดามั่วว่าสาเหตุล้วนมาจากวัยเด็ก
เอ้านี่พอมีที่มาที่ไปบ้าง
อย่างเรื่องของบัฟเฟตนี่ พ่อบัฟเฟตทำงานเป้นโบรกเกอร์ วันที่ 30 พฤศจิกายน 1929 ตลาดหุ้นตกหนัก พ่อตัดสินใจอยู๋บ้านไม่ไปทำงาน ก็นอนทำการบ้านกับแม่บัฟเฟต วันนั้นกลายเป้นประวัติศาสตร์ด้านการเงินไม่พอแต่เป้นวันประวัติศาสตร์ที่บัฟเฟตปฎิสนธิเป้นวันแรก เห้นไหมครับ ถ้าตลาดหุ้นไม่ตก พ่อบัฟเฟตก็ไม่อยู๋บ้านและบัฟเฟตก็ไม่เกิด บัฟเฟตจึงเกิดความรู้สึกที่ดีเสมอเวลาหุ้นตกหนักๆ
ส่วนโซรอสนั้น ตอนสงคราม ก็เป็นช่วงวิกฤตของครอบครัวชาวยิวในฮังการี แต่พ่อโซรอสแทนที่จะทำเหมือนคนยิวคนอื่นคือไปขึ้นทะเบียนกับนาซี กลับทำตรงข้าม พาโซรอสไปขึ้นทะเบียนปลอมเป้นคนเยอรมัน ทำบัตรประชาชนปลอม แล้วพาโซรอสไปฝากทำงานไว้กับเพื่อนชาวเยอรมันอีกที แทนที่จะหาที่หลบเหมือนชาวยิวคนอื่น พ่อโซรอสกลับให้โซรอสออกไปใช้ชีวิตบนถนนกับทหารนาซี และโซรอสก็ทำได้โดยไม่เผยความจริงออกมาว่าเขาเ้ปฯชาวยิว ที่เขาทำได้ เพราะหน้าตาเขาเหมือนแม่ที่มีตาสีฟ้าและหน้าไม่เหมือนคนยิว เหตุการณ์ครั้งหนั้น พ่อโซรอสยังได้ช่วยชาวยิวคนอื่นๆ รอดชีวิตอีกหลายครอบครัวด้วยการทำประชาชนปลอมในครั้งนั้นอีกด้วย ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้โซรอสฝังใจเป้นอย่างมากว่าพ่อของเขานั้นเขาไปเสี่ยงกับความตายแล้วยังช่วยคนอื่นได้อีกด้วย ประสบการณ์วัยเด็กในครั้งนั้นติดตัวเป้นคุณสมบัติติดตัว เวลาเขาเจอวิกฤต เขาจะเข้าไปเสี่ยงและการเสี่ยงทุกครั้งเขาจะคิดเสมอว่าเขาสามารถช่วยคนอื่นได้อีกด้วย
ส่วยนนิสัยความขัดแย้่งในตัวของโซรอสนั้น คล้ายคุณสมบัติอย่างหนึ่งของลีโอนาโด ดาวินซี
ทั้งสองท่านมองสิ่งต่างๆ ว่าไม่มีความแน่นอน และคิดว่าความไม่แน่นอนต่างหากที่คือสาระของชีวิต
สำหรับผม ผมคิดอย่างนั้นเช่นกัน ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่มีอะไรแน่นอนและอย่าประมาท
ความไม่แน่นอนนี้ ผมคิดว่าได้หลอมความคิดทำให้โซรอสมีคุณสมบัติลักษณะที่พิเศษอย่างหนึ่งคือ
ความคลุมเครือ หรือ ความขัดแย้งในตัวเอง
ผมอ่านบทความของอาจารย์ ในความคิดผมที่ผมตีความนั้น ผมอาจผิดนะครับต้องขอกรอบอภัยอาจารย์ถ้าผมแปลความหมายของอาจารย์ผิด อาจารย์อาจมองว่านั้นคือจดอ่อนของโซรอส แต่ผมว่ามันน่าจะเป็นจุดแข็งของเขาที่มองว่าความไม่แน่นอนนั้นสำคัญกว่าความแน่นอน
สำหรับผมแล้ว มันไม่ง่ายเลยครับ ที่คุณจะเป้นคนคลุมเครืออย่างนั้นได้ ไม่เชื่อผมลองไปทำดูครับ ลองคิดไตร่ตรองถึงด้านตรงข้ามกับความคิดของตัวเองก่อนอื่น ตั้งคำถามอย่างไม่จบสิ้นว่าสิ่งที่เรา เราทำมันผิดตรงไหนบ้าง คิดเยอะๆ อย่าหยุดคิด มันอยู่ที่ว่าคุณรู้ตัวหรือปล่าวว่ากำลังคิดเรื่องอะไร การจับอารมณ์ตัวเองนั้นมีหลายวิธีครับ คนอินเดียคิดมาก่อน คนยิวก็ทราบ คนชาติอื่น จีน ญึ่ปุ่นก็ทราบ พระพุทธจ้าท่านก็รับมาดัดแปลงแล้วมาโฟกัสที่ลมหายใจ ได้ผลอย่างไรนั้น พระป่าหลายท่านฝึกกันมานานแล้ว
การรับมือกับความขัดแย้งนั้น ทำให้โซรอสได้พัฒนาเทคติคที่เรีัยกว่า INVEST FIRST INVESTIGATE Later
การใช้ประสาทสัมผัสของเขาในการสำรวจสมมุติฐานต่างๆ นำเขาไปสู่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและค้นพบโอกาสในการทำเงินที่ยิ่งใหญ่มากมาย ผมคิดว่าอย่างหนึ่งที่เขาไม่เคยบอกต่อสาธารณะชน แต่เราพอมองกันออกคือ เขามีสามารถที่พิเศษมากกว่าคนปกติในการจัดการกับความเครียดอันเกิดจากความขัดแย้ง เขาไม่เพียงการยอมรับความไม่แน่นอนและความกำกวมต่างๆ เขาเล่นกับความกำกวมต่างหาก
โซรอสและนักลงทุนเก่งๆ ทุกท่านมีความอดทนต่อความไม่แน่นอนสูง โลกการเงินทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก สภาวะความคลุมเครือทบต้นทวีขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยอมรับว่าเขาไม่สามารถมองทะลุภาพลวงตาของความไม่แน่นอนไว้ได้ตลอดเวลา ถ้าไปอ่านประวัติการลงทุนของโซรอส เราจะเห็นว่าเขาปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เข้ากับสภาวะความคลุมเครือที่เกิดขึ้นในตลาดตลอดเวลา เขาปรับสมมุติฐานสิ่งต่างๆ ให้เข้ากันได้กับความคิดที่ขัดแย้งทั้งจากของตัวเขาเอง และ ของนักลงทุนส่วนใหญ่ การมี paradox อย่างนั้น ผมคิดว่ามันสำคัญทั้งต่อประสิทธิผลของกองทุนและต่อความปกติในจิตใจของเขาภายใต้สภาวการณ์ของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย
คุณสมบัติอย่างอื่นที่เห็นได้ชัดในตัวโซรอสนั้น คือ Self Actualization
ความสามารถของเขาในการหยั่งรู้ภายในตัวตน ซึ่ง STEVEN COHEN พูดถึง แล้วก็ PUAL TUDOR JONES
ครับ สำหรับพวกเขา ผมคิดว่าเขาถือเป็นพันธกรณีตลอดชีวิตที่ต้องคิดไตร่ตรองความรูสึกนึกคิดของตนเอง คุณก็ทำได้เหมือนพวกเขา
ถามคนรอบข้างในสิ่งที่เราคิด เราพูด เราทำ ลองถามจุดด้อยและจุดแข็งของเรา สิ่งที่เราต้องปรับปรุง ฟังอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะสิ่งที่เราไม่อยากฟัง หรือ ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน อย่าชี้แจง อย่าตัดสินโต้แย้ง อย่าออกความเห็น shut up ฟังอย่างเดียวครับ อย่าลืมพกสมุดติดตัว คุณต้องใช้มันเพื่อจดบันทึกความคิดของคนอื่นที่มีต่อเรา มองอย่างรอบครอบว่าเขาโจมตีความคิดเราด้วยเหตุผลหรืออารมณ์
อันที่จริงก่อนไปถามคนอื่น คนลองนั่งจัดอันดับความอดทนต่อสภาวะความคลุมเครือของตัวเองว่าอยู่ระดับไหน
ผมจัดระดับล่างสุด คือ ความต้องการความแน่นอนอยู่ตลอดเวลา ลองสังเกตดูครับ ลองดูว่าตัวเราวันหนึ่งๆ พูดคำที่แสดงความเด็ดขาดทั้งหมดกี่ครั้ง ตัวอย่างเช่น มั่นใจ แน่ใจ อย่างแน่นอน ต้องทำอย่างนั้น ไม่เคยผิดพลาด ถูกเสมอ โดยเด็ดขาด ต้องใช่แน่ๆ ผมว่าไม่ผิดหรอก แสดงว่า เพราะว่าอย่างนั้น สังเกตว่าเวลาคุณจบการสนทนากับคนอื่นๆ คุณมักจบการพูดคุยด้วยคำบอกเล่า ประโยคคำสั่ง หรือ การตั้งคำถาม
ถ้าคุณชอบด่วนสรุปในประเด้นต่างๆ ผมคิดว่าคุณอาจมีปัญหากับความคิดเรื่องความสัมพันธ์เชิงภาพสะท้อนซึ่งอยู่บนรากฐานว่าโลกนี้เป้นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้และความไม่แน่นอนคือสิ่งที่ต้องให้ความสนใจกับมันมากที่สุด คุณจำที่สิ่งที่โซรอสพูดไดไหมครับ วิธีหาเงินคือมองสิ่งความไร้เสถียรภาพจากสิ่งที่ไม่คาดหวัง
ระดับสอง
เราเห็นความสำคัญของความขัดแย้งมากแค่ไหน คุณเห็นมันสำคัญต่อชีวิตคุณไหมครับ?
ผมยอมรับว่าความไม่แน่นอนก็คือสิ่งที่แน่นอนที่สุด แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสกับประโยคนี้อย่างจริงจังมากนัก มันสำคัญมากใช่ไหมครับ? สำหรับนักลงทุนที่ติดตามสิ่งที่โซรอสสอน มันสำคัญมากครับ คุณจะไม่ทางเข้าใจทฤษฎีการสะท้อนได้อย่างลึกซึ่ง มันหยุดอยู่ตรงนั้น
ระดับสามละครับ ?
คุณอ่อนไหวกับสิ่งที่ขัดแย้งต่างๆ และ สถานการณ์ตรงกันข้ามกับการคาดหวังของตัวเอง แต่นั่นยังไม่เปลี่ยนบุคคลิกภาพบางอย่างในตัวคุณ คุณต้องไประดับสี่ ถึงระดับนี้ คุณไม่น่ามีปัญหากับความคิดที่ขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดรอบตัว คุณจะชอบความขัดแย้ง มันทำให้คุณเรียนรู้จากเคสที่เป้นประสบการณ์จริงจากตัวคุณเอง คุณจะกลายเป็นคนสงบนิ่งแม้อยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์
คุณต้องฝึกจับความขัดแย้งที่เกิดในความคิดคุณเองจนเกิดความเชี่ยวชาญ ถึงระดับนี้แล้วคุณต้องฝึกอย่างหนักด้วยความวิริยะอุตสาหะที่จะจับผิดตัวเองอย่างยาวนานพอ แล้ววันหนึ่งจะมาถึงเมื่อคุณทราบวาคุณได้พัฒนาไปอีกขั้นที่สูงกว่าขึ้นไป
เราจะจมลงไปกับความรู้สึกของตัวเองเมือเกิดความกังวลใจในสภาวการณ์ที่ขัดแย้ง เมื่อถึงระดับนี้คุณน่าจะอธิบายความรู้สึกของความกำกวมของตัวเองได้
อธิบายความรู้สึกกำกวมอย่างไร?
ถ้าความกำกวมมี รูปร่าง สี เสียง รส กลิ่น สัมผัส มันจะเป้นอย่างไร? ใช้ประสามสัมผัสของตัวเอง ถ้าคุณนึกมันเป้นตัวตนได้ คุณน่าจะตอบสนองต่อความรู้สึกถึงมันอย่างไรได้เวลาที่มันเข้ามาใกล้คุณ ที่สำคัญ มันทำให้คุณกังวลใจอย่างไรได้บ้าง
กำกวม กับ กังวลใจ เหมือนกันหรือปล่าวครับ?
นักลงทุนส่วนมากมักไม่รู้เมื่อเกิดความกังวลใจ นอกเสียจากว่าจะได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดจากการฝึกสมาธิ หรือ ไม่ก็ได้รับการบำบัดจากจิตแพทย์ด้านการลงทุน คนส่วนใหญ่มีปฎิกริยาต่อความกังวลโดยอัติโนมัติ ถ้าหุ้นที่ซื้อไม่แป้นอย่างที่คิด เกิดปรับตัวลง ลองสังเกตว่าเราทำอะไรก่อนอย่างแรก เสยผมหรือปล่าว หรือว่า หยิบบุหรี่ ไม่ก็หมุนปากกา เริ่มพูดมาก กินเหล้า ดูหนังโป๊ หรือไม่ก็เริ่มโพสลงใน webboard
อย่างน้อยรู้ตัวก่อนอื่นเมื่อใดที่เรามีความกังวลใจเกิดขึ้น?
เมื่อความไม่แน่นอนเกิด ถ้าเราตะหนักรู้ถึงความกังวลใจแล้ว คุณต้องอย่าหนีมัน อ้าแขนยอมรับมัน สัมผัสมัน ออกไปกอดมันเหมือนโฆษณาที่ชวนให้ไปกอดเมื่องไทย และปลดปล่อยตัวเองให้เป้นอิสระจากแรงกดดันภายใต้ขอบข่ายความคิดและการกะทำที่เป้นตัวกหนดพฤติกรรมของคุณมานาน เราจะไม่มีวันได้พบกับความไม่แน่นอนอย่างแท้จริง การพบและเป็นหนึ่งเดียวกับความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณเริ่มยอมรับมันอย่างเต็มใจและเผชิญหน้ากับมันด้วยขีดจำกัดของตัวเอง
สิ่งที่เปลี่ยนไปในบุคคลิกภาพ ระดับนี้เห้นอะไรที่ชัดเจนบ้าง ?
คุณปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดี สนุกกับการทายปัญหา เกมปริศนา และการเล่นคำ ผมสังเกตเห้นบางอย่าง ว่า เราปรับตัวเข้ากับจังหวะการรับรู้ต่างๆ โดยใช้สัญชาติญานของตัวเองมากขึ้น แต่ผมยังไม่เคยรู้สึกว่าสามารถร้องเพลงพี่เบิรดให้ความไม่แน่นอนฟังได้
เพลงพี่เบริด?
สบายๆ หากเราจะคบกันไป….
ผมไม่เคยรู้สึกสบายๆ กับ สภาวะความคลุมเครือเลยสักครั้ง
ระดับสูงสุดที่กำลังก้าวไปถึงคืออะไร?
ผมอยากหัวเราะกับมันได้ อยากรู้สึกถึงความตลกขบขันในแต่ละวันเมื่อเจอกับความไม่แน่นอนในชีวิตได้
ไปละครับทุกท่าน ขอบคุณและสวัสดีครับ