Thai VI

ผมคิดว่าช่วงที่เศรษฐกิจดี เราควรเล่นแนวdefensive stockรึเปล่า เพราะผมคิดว่าหุ้นที่อิงเศรษฐกิจเช่น bank อสังหา รถยนต์ ควรจะซื้อตอนที่เศรษฐกิจไม่ดี เพราะคิดว่าถ้าซื้อตอนทีมันหมดรอบน่าจะให้ผลตอบแทนเยอะกว่าตอนที่มันอยู่ในรอบ ผมควรจะดำเนินการตามหลักการนี้รึเปล่าครับเพราะรู้สึกว่าจะต้องรอนานเหลือเกิน แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเศรษฐกิจจะกลับมาแย่อีก (แบบGDP ติดลบกัน สักสามไตรมาสเป็นต้น)

มันเป็นนความรู้ที่ผมได้มาจากหนังสืออ่ะครับ

หรือว่าผมจะมองแต่downsize มากเกินไปรึเปล่าก็ไม่รู้

ตามความเห็นผม
ถ้าเราเข้าใจในหลักการของVI
ตลาดแบบนี้ก็น่าจะยังมีหุ้นที่ยัง undervalue อยู่
อย่างพี่หลายๆท่านที่ยังสามารถทำกำไรในตลาดที่เป็นไซด์เวย์

แต่สำหรับผมยังคงอีกนาน ต้องทำการบ้านอีกเพียบ

เหมือนผมเลยครับ เล่นหุ้นมาได้สักพักใหญ่ๆมาละ ยังกล้าๆกลัวๆอยู่เลยครับ

ผมก็คิดเหมือนกันครับ
ตอนนี้มองๆไปที่กองทุนอสังหา ที่ปันผลค่อนข้างแน่นอน

วิธีการลงทุนอาจจะใช้ Dollar cost averaging
หรือ Value cost averaging ทางใดทางหนึ่งครับ

ขณะนี้มีกระสุนพร้อมแล้ว
แต่ยังหาตัวที่น่าลงทุนชัดๆไม่ได้เลยครับ

จะยึดแนว VI ได้ไม่ได้ เหมาะไม่เหมาะ

ต้องผ่านการทดสอบหลักการสำคัญข้อหนึ่งคือ "ฝึกนั่งเฉยๆ (ในเวลาที่ควรนั่งเฉยๆ)" ครับ

เวลาตกปลา หย่อนเบ็ดในทำเลที่เล็งไว้แล้ว จะตกปลาได้ต้องรอ คงไม่มีใครแกว่งเบ็ดไปมาแล้วตกปลาได้ครับ

ผมคิดว่าเราต้องเข้าใจใน Value investment และยึดมั่นในความคิดของเรา เพราะโอกาสมักมีเสมอสำหรับคนที่มองเห็น เพราะแต่ละคนมองสิ่งที่เรียกว่าเป็นโอกาสไม่เหมือนกัน ตอนนี้บางคนอาจบอกว่า ตลอด side way บางคนอาจบอกว่ากำลังจะขึ้นไปต่อ ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกถ้ารู้คงรวยกันหมดแล้ว ดังนั้นถ้าเราเชื่อใน VI และทำมันอย่างเคร่งครัด เราจึงจะประสบความสำเร็จ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการเดินทางด้วยความเชื่อของตนเอง

ไม่ว่าช่วงไหน ก็มองหาแต่หุ้น
ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าครับ

ปล.
และที่ไม่ควรละเลย
คือพก margin of safety ไปด้วยทุกครั้ง

อย่าไปสนใจเศรษฐกิจมากเกินครับ(หมายถึงติดตามแต่อย่ายึดติดนะครับ) ดูหุ้นเป็นรายตัวรายบริษัทดีกว่า แล้วดูราคาว่าแพงไปมั้ย มีmosมั้ย ถ้าแพงไปก็อยู่เฉยๆศึกษาหุ้นตัวอื่นๆไปเรื่อยๆครับ โอกาสมาจะได้อาวุธครบมือ ความรู้เต็มเปี่ยม อย่างตอนน้ำท่วมหุ้นอสังหาหลายๆตัวราคาตกลงมาอย่างกับบริษัทจะเจ๊ง ถ้าตอนนั้นใครกล้าเข้าซื้อ วันนี้ได้กำไร30-40%ในเวลาแค่2เดือนเอง แต่เราต้องคิดวิเคราะห์มาอย่างดีก่อนซื้อนะครับ

luangrit เขียน:ผมก็คิดเหมือนกันครับ
ตอนนี้มองๆไปที่กองทุนอสังหา ที่ปันผลค่อนข้างแน่นอน

วิธีการลงทุนอาจจะใช้ Dollar cost averaging
หรือ Value cost averaging ทางใดทางหนึ่งครับ

ขณะนี้มีกระสุนพร้อมแล้ว
แต่ยังหาตัวที่น่าลงทุนชัดๆไม่ได้เลยครับ

ผมก็เคยคิดว่าจะใช้ dollar costing average กับหุ้นบ้างตัวเหมือนกัน แต่ผมคิดไปคิดมาเหมือนกับมันมีปัญหาตรงที่ dollar costing average ก็คือการซื้อหุ้น ที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของเดือน ของไตรมาส หรือปี ผมว่าปัญหาของการใช้สูตรนี้คือ ว่า บ้างทีเราก็ซื้อหุ้นได้ที่ ถูกเกินไป หรืออาจจะสูงเกินไป ผมว่าของเสียของสูตรนี้คือประเมินผลตอบแทนได้ยาก ไม่รู้ว่า reward ที่เราจะได้มันจะมีมากแค่ไหน จะคุ้มกับความเสี่ยงที่เราแบกรับลงไปรึเปล่า

ขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆ ทุกคนที่มาตอบคำถามครับ

cyber-shot เขียน:

luangrit เขียน:ผมก็คิดเหมือนกันครับ
ตอนนี้มองๆไปที่กองทุนอสังหา ที่ปันผลค่อนข้างแน่นอน

วิธีการลงทุนอาจจะใช้ Dollar cost averaging
หรือ Value cost averaging ทางใดทางหนึ่งครับ

ขณะนี้มีกระสุนพร้อมแล้ว
แต่ยังหาตัวที่น่าลงทุนชัดๆไม่ได้เลยครับ

ผมก็เคยคิดว่าจะใช้ dollar costing average กับหุ้นบ้างตัวเหมือนกัน แต่ผมคิดไปคิดมาเหมือนกับมันมีปัญหาตรงที่ dollar costing average ก็คือการซื้อหุ้น ที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของเดือน ของไตรมาส หรือปี ผมว่าปัญหาของการใช้สูตรนี้คือ ว่า บ้างทีเราก็ซื้อหุ้นได้ที่ ถูกเกินไป หรืออาจจะสูงเกินไป ผมว่าของเสียของสูตรนี้คือประเมินผลตอบแทนได้ยาก ไม่รู้ว่า reward ที่เราจะได้มันจะมีมากแค่ไหน จะคุ้มกับความเสี่ยงที่เราแบกรับลงไปรึเปล่า

เห็นด้วยครับ
ส่วนนึงผมจึงให้น้ำหนักการลงทุนไปที่กองทุนอสังหาที่มีปันผล
เพราะผลดำเนินงานค่อนข้างแน่นอน
แต่ต้องวิเคราะห์ให้ดีเกี่ยวกับคุณภาพของรายได้ และกำไร
อันนี้สำคัญมากนะครับ

ตัวอย่างเช่น cpnrf
เท่าที่ดูมา กองทุนนี้ช่วงตลาดCrash ปี2008
ราคาอยู่ที่ 4.5 - 5 บาท
ซึ่งก็ตกไปเยอะเหมือนๆกับหุ้นในตลาดครับ
แต่ก็ยังปันผลได้ในระดับคงที่ ประมาณ 0.9 บาทต่อหุ้น
Div yield = 0.9/4.75 x 100 = 19%

สำหรับ DCA แล้ว ก็จะได้ประโยชน์ตรงที่ ได้หุ้นจำนวนมากหุ้น
และราคาเฉลี่ยต่ำลง

คือเราอาจจะถามในใจก็ได้นะครับว่า
"เอ๊ะแล้วทำไมเราไม่เก็บเงินไว้เยอะๆ แล้วรอช่วง Crash ไม่ดีกว่าเหรอ"

ใช่ครับ ถ้าเป็นนักลงทุนแนว VI ก็จะทำอย่างนี้ป็นปกติอยู่แล้ว เพราะกำไรจะงามกว่ามากๆ


ดังนั้นผมถึงมองว่า DCA นั้นน่าจะเหมาะกับ
1. กองทุนที่มีความเสี่ยงน้อย และรายได้ค่อนข้างมั่นคง (โดยเฉพาะปันผล)
2. นักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาหุ้นมากนัก และต้องการออมอย่างมีวินัย
3. สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของตลาด
คือ ไม่ซื้อหุ้นจำนวนเยอะเกินไปในช่วงที่ตลาดเป็นบวก
และจะได้จำนวนหุ้นมากขึ้นในเวลาที่ตลาดเป็นลบ
พร้อมๆกับมีปันผลระหว่างทาง

ฝรั่งซื้อหุ้น-บอนด์แสนล. ตลท.ชี้ยังมาอีก เงินล้นตลาดโลกลุ้นถึง 1,122 จุด [ โพสต์ทูเดย์, 9 ก.พ. 55 ]

เงินนอกทะลักเข้าไทยเดือนเดียวซื้อทั้งหุ้น-พันธบัตรกว่า 1 แสนล้าน ตลท.เชื่อยังไหลเข้าอีก แต่จะ
น้อยกว่าเพื่อนบ้าน
ดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะกระทิงตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยฝ่า
แนวต้านสำคัญที่ 1,100 จุดไปได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ดัชนีปิดที่ 1,116.08 จุด เพิ่มขึ้น
14.96 จุด หรือ 1.36% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 47,369.93 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 เดือนนับตั้งแต่
วันที่ 26 ก.ย. 2554 ที่ 47,630.36 ล้านบาท ต่างชาติซื้อหนัก 5,449 ล้านบาท รวม 6 วันทำการใน
เดือน ก.พ. ต่างชาติซื้อสุทธิแล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือมาร์เก็ตแคป
วันที่ 8 ก.พ. อยู่ที่ 9.15 ล้านล้านบาท เทียบวันที่ 7 ก.พ. อยู่ที่ 9.03 ล้านล้านบาท

cpnrf นี้เขา ไปซื้อที่ดินแล้วให้ห้างเซลทรัลเช่า ทำเพื่อที่จะทำห้างใช่มั้ยครับ แล้วถ้าซื้อแล้วเขาจะมีการประชุมประจำปีมั้ยครับ คือก็อยากจะเรียนรู้กิจการเกี่ยวกับเช่าอสังหาเหมือนกัน เพราะเห็นจะมีของ โลตัสมาอีก ขอบคุณครับ

luangrit เขียน:

cyber-shot เขียน:

luangrit เขียน:ผมก็คิดเหมือนกันครับ
ตอนนี้มองๆไปที่กองทุนอสังหา ที่ปันผลค่อนข้างแน่นอน

วิธีการลงทุนอาจจะใช้ Dollar cost averaging
หรือ Value cost averaging ทางใดทางหนึ่งครับ

ขณะนี้มีกระสุนพร้อมแล้ว
แต่ยังหาตัวที่น่าลงทุนชัดๆไม่ได้เลยครับ

ผมก็เคยคิดว่าจะใช้ dollar costing average กับหุ้นบ้างตัวเหมือนกัน แต่ผมคิดไปคิดมาเหมือนกับมันมีปัญหาตรงที่ dollar costing average ก็คือการซื้อหุ้น ที่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของเดือน ของไตรมาส หรือปี ผมว่าปัญหาของการใช้สูตรนี้คือ ว่า บ้างทีเราก็ซื้อหุ้นได้ที่ ถูกเกินไป หรืออาจจะสูงเกินไป ผมว่าของเสียของสูตรนี้คือประเมินผลตอบแทนได้ยาก ไม่รู้ว่า reward ที่เราจะได้มันจะมีมากแค่ไหน จะคุ้มกับความเสี่ยงที่เราแบกรับลงไปรึเปล่า

เห็นด้วยครับ
ส่วนนึงผมจึงให้น้ำหนักการลงทุนไปที่กองทุนอสังหาที่มีปันผล
เพราะผลดำเนินงานค่อนข้างแน่นอน
แต่ต้องวิเคราะห์ให้ดีเกี่ยวกับคุณภาพของรายได้ และกำไร
อันนี้สำคัญมากนะครับ

ตัวอย่างเช่น cpnrf
เท่าที่ดูมา กองทุนนี้ช่วงตลาดCrash ปี2008
ราคาอยู่ที่ 4.5 - 5 บาท
ซึ่งก็ตกไปเยอะเหมือนๆกับหุ้นในตลาดครับ
แต่ก็ยังปันผลได้ในระดับคงที่ ประมาณ 0.9 บาทต่อหุ้น
Div yield = 0.9/4.75 x 100 = 19%

สำหรับ DCA แล้ว ก็จะได้ประโยชน์ตรงที่ ได้หุ้นจำนวนมากหุ้น
และราคาเฉลี่ยต่ำลง

คือเราอาจจะถามในใจก็ได้นะครับว่า
"เอ๊ะแล้วทำไมเราไม่เก็บเงินไว้เยอะๆ แล้วรอช่วง Crash ไม่ดีกว่าเหรอ"

ใช่ครับ ถ้าเป็นนักลงทุนแนว VI ก็จะทำอย่างนี้ป็นปกติอยู่แล้ว เพราะกำไรจะงามกว่ามากๆ


ดังนั้นผมถึงมองว่า DCA นั้นน่าจะเหมาะกับ
1. กองทุนที่มีความเสี่ยงน้อย และรายได้ค่อนข้างมั่นคง (โดยเฉพาะปันผล)
2. นักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาหุ้นมากนัก และต้องการออมอย่างมีวินัย
3. สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของตลาด
คือ ไม่ซื้อหุ้นจำนวนเยอะเกินไปในช่วงที่ตลาดเป็นบวก
และจะได้จำนวนหุ้นมากขึ้นในเวลาที่ตลาดเป็นลบ
พร้อมๆกับมีปันผลระหว่างทาง

คุณ cyber-shot ลองเข้าไปถามห้อง cpnrf ดีกว่าครับ

น่าจะได้ข้อมูลครบถ้วน

ขอบคุณครับ