เอ... เมื่อวานกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่หว่า...ทำไมเขียนไปว่า <1? สงสัยตอนกำลังหิวข้าว รู้สึกว่ากำลังจะเขียนอีกเรื่องด้วย เลยดันจับมาผิดตัว คิดออกแล้วจะมาบอก
ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์กับการใช้ EV มากนัก เพราะที่ผ่านมาก็ใช้ DCF + PE, Forward PE ง่ายๆ ธรรมดาก็ใช้ได้ดี และทำเงินได้ดีอยู่แล้ว อย่างน้อยปีที่ผ่านมาก็ได้กำไร 2 digits ปลายๆ
แต่กำลังรวบรวมหลักวิธี valuation หลายๆ อย่าง เพื่อลองกรองหลายวิธี จะได้รอบคอบขึ้น และอาจเห็นให้มากแง่มุมขึ้นกว่าเดิม เผื่อมันจะทำเงินได้ดีขึ้น (เริ่มโลภมาก

) และดูกิจการเก่งขึ้น ยังตระหนักว่าตัวเองห่างไกลกับคำว่าผู้เชี่ยวชาญมากนัก
อีกอย่าง การที่ลองกรองหลายวิธี หุ้นหรือกิจการแต่ละประเภท การดู value อาจเหมาะสมไม่เหมือนกัน
เช่น ถ้าเราเอาวิธีการ Intrinsic Value แบบ Graham PE ต่ำก่อนคนอื่นพบ ไปดู HMPRO ไม่ผ่านตั้งแต่ต้นแล้ว โดยไม่ต้องไปคำนวณ
ที่กำลังทำ คือจะลองใส่แบบสำเร็จรูป เอาไว้ใช้ได้กับหุ้นทุกตัว ไม่ต้องมานั่งเรียงใหม่ทุกครั้งที่หาหุ้น โดยการกรอกข้อมูลตัวเลขมาจาก Financial Statements แล้วให้วิ่งคำนวณพวก ratio และ multiple ออกมาทุกวิธี และ การสำรวจ Value drivers ทั้งหลายในกิจการ
และถ้ามีหลักการ valuation และคัดกรองของปรมาจารย์ทั้งหลาย ก็จะเอาไปรวม อย่้า่ง Z-score ของ Stern, การแตกแปลงงบ P/L แยกตามกิจกรรมสอดคล้องในงบกระแสเงินสด โดยวิธี Penman แห่ง Columbia U เพื่อดูว่าบริษัทนี้รวยจาก operations หรือจากการเล่นเงิน เป็นต้น
ได้ผลแล้วลองเปรียบเทียบดู ว่ากิจการนั้นๆ หุ้นนั้นๆ ผ่านเกณฑ์ไหน ไม่ผ่านเกณฑ์ไหน
แต่ว่า....ทำมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ยังไม่เสร็จ เอาเป็นว่าได้แล้วจะเอามาแชร์ เพราะผมถือคติว่าแบ่งกันรวย ดีกว่าแข่งกันจน เอามาแชร์อาจพบข้อตำหนิ แล้วช่วยกันแก้ไข
ส่วนการใช้ multiple ที่เห็น EV
(หมายเหตุว่า ฝรั่งเขาใช้ คำที่หมายถึงอัตราแบบมูลค่าหรือราคา ต่อ การทำเงินเป็น "Multiple" คือสื่อว่ากี่เท่าๆ
ส่วนอัตราส่วนการเงินที่คำนวณใน statement ใช้คำว่า Ratio)
มีคนวัดทั้ง EV/EBITDA และ EV/EBIT และมี EV/SA (ต่อยอดขาย)
EBITDA คร่าวๆ ที่ทำให้ต่างจาก EBIT ก็คือ นอกจาก I&T ทั้งหลายมันอยู่ภายนอกเหนือการปฏิบัติการ เป็็นภาคบังคับทางบัญชี แล้ว D&A ก็ยิ่งไปกันใหญ่
พอไม่ถูกเอามาเกี่ยว ก็สะท้อนวัดฝีมือการทำงาน-การทำเงินล้วนๆ
ถ้าเอามาใช้เปรียบเทียบระหว่างกิจการ ดูง่ายขึ้น ไม่ถูกหลอกตาด้วยการตั้งค่าบัญชีไม่ตรงกัน เราเห็นอยู่บ่อยๆ ว่าการเปรียบเทียบกิจการด้วย EBIT หรือ NOPAT เป็นการทำให้เอา apple ไปเปรียบเทียบกับส้ม
เอาง่ายๆ กิจการ A กับ B ผลิตสินค้าเหมือนกันให้เครื่องจักรรุ่นเดียวกัน สั่งจากโรงงานเดียวกันวันเดียวกัน A ตั้งค่าเสื่อม 5 ปี กับ B 7 ปี แค่นี้ก็บิดเบือนไปมาก แต่ผลประกอบการมันโชว์ออกมา มี CPA เซ็นต์ท้าย ออกมา web set/settrade เสร็จ bloomberg เอาไปออกเผยแพร่ทั่วโลก
ถ้าดูเฉพาะตัว ก็ดูได้ แต่พอเอามาเทียบเคียงภาพมันมัวๆ
แล้วคงเคยได้ยิน ว่าปรับค่านี้ แล้วรายได้สวยขึ้น
ผมไม่เคยอยู่วงการธนาคารและการกู้ยืมเงิน แต่ได้ยินมาว่า เขาชอบดู EBITDA มากกว่า EBIT
ไม่กล้ายืนยัน แต่ว่ามีเพื่อนนักลงทุนท่านไหนในห้องนี้อยู่ในแวดวงธนาคารต้องลองถาม มาช่วยแสดงความเห็นหน่อย
ส่วนที่ว่าตัวอย่างสารพัดวิธีวัด multiple นั้น
ที่พูดไว้ในเอกสาร Equity Valuation Using Multiples, Andreas Schreiner, Dissertation der Universitat St.Gallen (HSG), Germany, 2006
ถึงเวลาจริงๆ คงไม่ได้มีประโยชน์ทั้งหมดนี่
แต่ถ้าลองวัดออกมาเปรียบเทียบ น่าจะทำให้เรารู้อะไรๆ ดีขึ้น ไม่เห็นมีใครเคยทำวัดทั้งหมดแบบนี้ แต่ก็จะลองดู เพราะไม่ได้มานั่งจิ้มเครื่องคิดเลขแบบสมัยอาจารย์ Graham หรือ Buffet
จะลองทำ Spreadsheet ออกมา ทำครั้งเดียวใช้ได้ตลอด
Multiples for Valuation
Equity Value Multiples
Accrual flow multiples
P/SA
P/GI
P/EBITDA
P/EBIT
P/EBT
P/E
Book value multiples
P/TA
P/IC
P/B
Cash flow multiples
P/OCF
P/D
P/LFCF
P/CE
Alternative (Knowledge-related) multiples
P/(EBIT+R&D)
P/(EBIT+AIA)
P/(EBIT+KC)
P/(E+R&D)
P/(E+AIA)
P/(E+KC)
PEG
Forward-looking multiples
P/SA 1
P/SA 2
P/EBITDA 1
P/EBITDA 2
P/EBIT 1
P/EBIT 2
P/EBT 1
P/EBT 2
P/E 1
P/E 2
Entity (Enterprise) Value Multiples
Accrual flow multiples
EV/SA
EV/GI
EV/EBITDA
EV/EBIT
Book value multiples
EV/TA
EV/IC
Cash flow multiples
EV/OCF
EV/FCF
Alternative (Knowledge-related) multiples
EV/(EBIT+R&D)
EV/(EBIT+AIA)
EV/(EBIT+KC)
Forward-looking multiples
EV/SA 1
EV/SA 2
EV/EBITDA 1
EV/EBITDA 2
EV/EBIT 1
EV/EBIT 2
EV/EBT 1
EV/EBT 2
OTHERS
EV/NOPLAT
EV/Invested Capital
EV/Capity Unit
รายการไหนมี เลข 2 คือการดูค่าอนาคต และการเติบโต