ทำไมคนยิวถึงเก่งนัก
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 08, 2012 11:08 pm
ตอนแรกอ่านคำถามแล้วก็มองนะครับ เพราะว่าเคยถามตัวเองอย่างนี้มาก่อน ผมนึกไม่ออกว่าเขียนอะไรไปบ้างเกี่ยวกับคนยิว ผมจำไมได้จริง ๆ เอาใจเขามาใส่ใจเราหรือปล่าว เอาเท้าตัวเองไปใส่ในรองเท้าของคนยิวดู น่าจะประมาณนี้นะครับ ที่ผมทำครับ อ่านหนังสือของท่านคึกฤทธิ์เกี่ยวกับยิว ทุกวันนี้ก็ยังอ่านนะครับ แต่จำได้ว่าไปคุยกับแรบไบที่ถนนข้าวสาร ไปกินอารหารยิว ไปโบสยิวด้วย เรียนภาษาฮิบรู เขียนจากขวาไปซ้าย เขียนแล้วเริ่มไม่เขียนสระ ลองมาหมดเลย เขียนทุกวันเลย ตอนเขียนจากซ้ายไปขวา ไปเข้าใจว่าทำไมคนยิวถึงไม่เหมือนคนอื่นตอนนั้น ไปอ่านบันทึกที่ตัวเองเขียนนะครับ
........ประเทศไหนเขียนจากซ้ายไปขวา ต้องระวังมากเป้นพิเศษ เพราะ invert กับระบบการเขียนของภาษาไทย พื้นฐานของภาษาแต่ละประเทศมีผลต่อรากฐานความคิดของคนคนนั้น.
วันนี้ลองกลับไปเขียนไทยจากขวาไปซ้าย เวลาเขียนมันบังคับให้ต้องคิดไปล่วงหน้าก่อนเสมอว่าจะเขียนอะไร ตอนนั้นก็เข้าใจทันทีเลยว่าคนยิวคิดอย่างไร คำตอบที่ได้คือ
They invert always invert.
เรื่อง invert การเขียนภาษาไทยนี้ ทำทุกวันก็กลายเป้นนิสัยไปไม่รู็ตัวให้คิดอะไรล่วงหน้าก่อนเสมอ ทำอย่างนี้ทุกวันก็ยกระดับนิสัยของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น คือ การมองอนาคตแล้วมองย้อนกลับไปกลับมาที่ปัจจุบัน เรื่องนี้เหมือนการมีเป้าหมายที่ชัดเจน แล้วก็วางแผนว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า แต่ทำไปนานๆ ก็ถึงบางอ้อว่ามันต้อง invert นี่ว่า การมีเป้าหมายไม่ได้เป็นเป้าหมายจริงๆ ของการมีเป้าหมายเลย แต่การมีเป้าหมายนั้นเพื่อทำให้ตัวเรารู็จักศักยภาพตัวเองว่าเราขาดคุณสมบัติอะไรบ้างถึงไปไม่ถึงเป้าหมายต่างหาก การมีเป้าหมายจึงเป็นการจับผิดตัวเองและยิมรับว่าตัวเองห่วยขนาดไหน
การมีเป้าหมายนั้น ไม่สบายทั้งกายและใจอย่าบอกใครเชียว พอรู้สึก uncomfortable แล้วก้ถึงบางอ้ออีกครั้ง ถึงบางอ้อเป็นสองครั้งแล้ว แล้วก็คิดถึงตอนเป็นนักบิน ในหมู่นักบินเรียกภาวะนี้ว่า pushing the envelop คือภาวะที่ตัวเองต้องรับมือกับความกดดันมากๆ แล้ว limitation ตัวเองจะรับมือได้ไหวขนาดไหน
สภาวะอย่างนี้จะเรียกความสามารถที่แท้จริงของแต่ละคนออกมาให้เห็นอย่างแท้จริง ใครยิ่งเรียกออกมาจนเป้นผู้เชียวชาญคงได้เปรียบกว่าคนอื่นอย่างมาก คนยิวคงทราบข้อนี้กันดีมานานมากแล้วถึงได้กำหนดให้คนยิวทุก คนถือศีลถึงหกร้อยกว่าข้อ ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
เหมือนที่สตีฟ จ๊อป พูดว่า stay hungry stay foolish ก็เข้าใจตอนนั้น ยิ่งรู็สึกไม่สะดวกสบายในชีวิตมากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้ดีเท่านั้น หรือจะบอกว่ายิ่งฉลาดเหมือนคนยิวเท่านั้น
ข้ามไปอีกวันที่เขียนครับ
จุดอ่อนระบบทุนนิยมทำให้คนเสียนิสัย คือ ทำให้คนติดความสบาย แต่คนยิวกลับทำตัวไม่ยอมสบาย จะกินก้ยังมีข้อกำหนดมากมายบังคับตัวเอง นี่ทำให้เห้นว่า เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
ความเห็น : จากตรงนี้ ผมเลย apply ด้วยการการกินมังสวิรัติครับ ดีไม่ดีไม่รู็ แต่โรคหืดหอบหาย และจะกินอะไรก็ต้องวางแผนไว้ ถ้าไม่มีกิน ก็อดกิน ฝึกความอดทน ตอนหลัง ก้มาอดหลังเที่ยง บางวันก็ไม่กิน กินแต่น้ำ ก้ก็มาเข้าใจคนยิวอีกตอนนั้น ว่าเวลาหิวมันต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างมาก ทำได้ครั้งหนึ่ง มันก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่างเลย ความเชื่อมั่นในตัวเอง ความมุ่งมั่นมาทุกอย่างเลย ที่สำคัญการอ่านอารมณ์ตัวเองนี่ถึงแห่งความเข้าใจเลยเพราะแยกอารมณ์ตัวเองได้สำเร็จก็เพราะตอนอดข้าวนี่ละครับ ที่นี้ทำอะไรก็ไม่กลัวแล้ว ถ้าผมตั้งใจที่จะทำให้ได้ มันก็ต้องสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้ ไม่ใช่เพราะตัวเองเก่ง แต่มันทำได้เพราะเชื่อว่าตัวเองทำได้ ความเชื่อมั่นในตัวเองยังไม่สำคัญเท่าการนับถือตัวเอง นับถือว่าตัวเองนั้นรักษาวินัยในตัวเองและมีใจที่เด็ดเดี่ยวอย่างมาก เอาชนะตัวเองได้ ตัวเองนี่ละยังชนะได้ ขนาดว่าผมมองกระจกแล้วยกมือไหว้ตัวเองได้เลย ใครทำได้ ผมว่าใช้ได้เลย
บันทึกอีกวันครับ
......การละสระในการเขียนเหมือนภาษาคนยิว มาปรับใช้กับภาษาไทย อ่านยากมาก ยิ่งภาษาไทยนี่อ่านยากจริงๆ แต่ฝึกบ่อยๆ อดทน อดทน อดทน ฝึก ฝึก ฝึก มันก็ชินที่จะมองทั้่งประโยคก่อนที่จะแปลแต่ละคำ มันมีความสัมพันธ์กันหมดเลย คำนี้ใช่หรือปล่าว เอาคำนี้ไปใส่ทั้งประโยค ความหมายมันใช่ไหม มองบ่อยๆ ก็ถึงบางอ้ออีกแล้ว นี่การละสระฝึกให้มองเรื่อง ความไม่แน่นอนนี่ว่า ฝึกกับความไม่แน่นอนทุกวันเลย ฝึกจนคุ้นเคยกับความไม่แน่นอน ไม่ได้รู็สึกลำบากใจหรือรำคาญที่อ่านไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร มันมองผ่านๆ ก็พอเดาออก มันไม่ต้องตรงไปทุกคำทุกประโยคมันก็เริ่มอ่านออก คนยิวคงเข้าใจเรื่องนี้ดี ความไม่แน่นอนต่างหากที่เป็นสาระของชีวิต การรับมือกับความไม่แน่นอนจึงสำคัญกว่าการรับมือกับความแน่นอน
ความเห้น : ผมเขียนนานมากแล้วครับ นานจนจำไมได้แล้ว หลายท่านคงรู้แล้วว่าทำไมผมถึงเขียนผิดเขียนถูกแล้วก็ยังไม่สนใจอีก เวลาเขียนบันทึกยิ่งกว่านี้อีก การมองภาพต่างๆ ในการลงทุนนั้นเหมือนมีม่านหมอกมาบังตลอด ภาพต่างก็มองไม่ชัด การหากินกับความไม่ชัดเจนนี้เองจึงเป้นความสามารถที่คนยิวเก่งกว่าชาติอื่น
ผมไม่ทราบว่าอะไร แต่ผมมองที่ภาษาของเขา ผมเอามาปรับใช้ ก็เขียนบทความว่า ผมมองแต่ทุกข์ วันนี้เป้นวันดีที่จะขาดทุน ก็เกี่ยวกับ Risk Mnagement ทั้งนั้น เวลาเจอความผันผวน ความๆม่แน่นอนต่างๆ ความคาดหวังทีแปลกไปจากที่คาดคิดต่างๆ มันก็สร้างความเครียดให้กับตัวเองทั้งนั้น การรับมื่อกับความเครียดได้อย่างเชียวชาญนั้นคิอคุณสมบัติที่แท้จริงของคนยิว และรับมืออย่างไรนั้น ไม่ยากเลยครับ
ตลกเข้าไว้
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกครับ ผมพูดจริงๆ อารมณ์ขันทำให้มีสติ มันเป็นตัวกรองคัดแยกอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม
หรือ อย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ครับ Invert always invert
ถามผมว่าคนยิวเก่งกว่าคนอื่นๆ เรื่องใด
เชาบริหารจัดการกับความเครียดได้ดีกว่าคนอื่นๆ
เก่งเรื่องมอง ตัวกรู นั่นเองครับ
อ้าวว ตัวกรู ตัวมรึง ตัวข้า
คนไทยทราบมานานแล้วนี่
ไปมองแต่คนยิว ของดีอยู๋ที่ตัวเรานี่เอง 555555555
........ประเทศไหนเขียนจากซ้ายไปขวา ต้องระวังมากเป้นพิเศษ เพราะ invert กับระบบการเขียนของภาษาไทย พื้นฐานของภาษาแต่ละประเทศมีผลต่อรากฐานความคิดของคนคนนั้น.
วันนี้ลองกลับไปเขียนไทยจากขวาไปซ้าย เวลาเขียนมันบังคับให้ต้องคิดไปล่วงหน้าก่อนเสมอว่าจะเขียนอะไร ตอนนั้นก็เข้าใจทันทีเลยว่าคนยิวคิดอย่างไร คำตอบที่ได้คือ
They invert always invert.
เรื่อง invert การเขียนภาษาไทยนี้ ทำทุกวันก็กลายเป้นนิสัยไปไม่รู็ตัวให้คิดอะไรล่วงหน้าก่อนเสมอ ทำอย่างนี้ทุกวันก็ยกระดับนิสัยของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น คือ การมองอนาคตแล้วมองย้อนกลับไปกลับมาที่ปัจจุบัน เรื่องนี้เหมือนการมีเป้าหมายที่ชัดเจน แล้วก็วางแผนว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า แต่ทำไปนานๆ ก็ถึงบางอ้อว่ามันต้อง invert นี่ว่า การมีเป้าหมายไม่ได้เป็นเป้าหมายจริงๆ ของการมีเป้าหมายเลย แต่การมีเป้าหมายนั้นเพื่อทำให้ตัวเรารู็จักศักยภาพตัวเองว่าเราขาดคุณสมบัติอะไรบ้างถึงไปไม่ถึงเป้าหมายต่างหาก การมีเป้าหมายจึงเป็นการจับผิดตัวเองและยิมรับว่าตัวเองห่วยขนาดไหน
การมีเป้าหมายนั้น ไม่สบายทั้งกายและใจอย่าบอกใครเชียว พอรู้สึก uncomfortable แล้วก้ถึงบางอ้ออีกครั้ง ถึงบางอ้อเป็นสองครั้งแล้ว แล้วก็คิดถึงตอนเป็นนักบิน ในหมู่นักบินเรียกภาวะนี้ว่า pushing the envelop คือภาวะที่ตัวเองต้องรับมือกับความกดดันมากๆ แล้ว limitation ตัวเองจะรับมือได้ไหวขนาดไหน
สภาวะอย่างนี้จะเรียกความสามารถที่แท้จริงของแต่ละคนออกมาให้เห็นอย่างแท้จริง ใครยิ่งเรียกออกมาจนเป้นผู้เชียวชาญคงได้เปรียบกว่าคนอื่นอย่างมาก คนยิวคงทราบข้อนี้กันดีมานานมากแล้วถึงได้กำหนดให้คนยิวทุก คนถือศีลถึงหกร้อยกว่าข้อ ยิ่งน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมากเท่านั้น
เหมือนที่สตีฟ จ๊อป พูดว่า stay hungry stay foolish ก็เข้าใจตอนนั้น ยิ่งรู็สึกไม่สะดวกสบายในชีวิตมากเท่าใด ก็ยิ่งเข้าใจสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้ดีเท่านั้น หรือจะบอกว่ายิ่งฉลาดเหมือนคนยิวเท่านั้น
ข้ามไปอีกวันที่เขียนครับ
จุดอ่อนระบบทุนนิยมทำให้คนเสียนิสัย คือ ทำให้คนติดความสบาย แต่คนยิวกลับทำตัวไม่ยอมสบาย จะกินก้ยังมีข้อกำหนดมากมายบังคับตัวเอง นี่ทำให้เห้นว่า เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
ความเห็น : จากตรงนี้ ผมเลย apply ด้วยการการกินมังสวิรัติครับ ดีไม่ดีไม่รู็ แต่โรคหืดหอบหาย และจะกินอะไรก็ต้องวางแผนไว้ ถ้าไม่มีกิน ก็อดกิน ฝึกความอดทน ตอนหลัง ก้มาอดหลังเที่ยง บางวันก็ไม่กิน กินแต่น้ำ ก้ก็มาเข้าใจคนยิวอีกตอนนั้น ว่าเวลาหิวมันต้องต่อสู้กับตัวเองอย่างมาก ทำได้ครั้งหนึ่ง มันก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่างเลย ความเชื่อมั่นในตัวเอง ความมุ่งมั่นมาทุกอย่างเลย ที่สำคัญการอ่านอารมณ์ตัวเองนี่ถึงแห่งความเข้าใจเลยเพราะแยกอารมณ์ตัวเองได้สำเร็จก็เพราะตอนอดข้าวนี่ละครับ ที่นี้ทำอะไรก็ไม่กลัวแล้ว ถ้าผมตั้งใจที่จะทำให้ได้ มันก็ต้องสำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้ ไม่ใช่เพราะตัวเองเก่ง แต่มันทำได้เพราะเชื่อว่าตัวเองทำได้ ความเชื่อมั่นในตัวเองยังไม่สำคัญเท่าการนับถือตัวเอง นับถือว่าตัวเองนั้นรักษาวินัยในตัวเองและมีใจที่เด็ดเดี่ยวอย่างมาก เอาชนะตัวเองได้ ตัวเองนี่ละยังชนะได้ ขนาดว่าผมมองกระจกแล้วยกมือไหว้ตัวเองได้เลย ใครทำได้ ผมว่าใช้ได้เลย
บันทึกอีกวันครับ
......การละสระในการเขียนเหมือนภาษาคนยิว มาปรับใช้กับภาษาไทย อ่านยากมาก ยิ่งภาษาไทยนี่อ่านยากจริงๆ แต่ฝึกบ่อยๆ อดทน อดทน อดทน ฝึก ฝึก ฝึก มันก็ชินที่จะมองทั้่งประโยคก่อนที่จะแปลแต่ละคำ มันมีความสัมพันธ์กันหมดเลย คำนี้ใช่หรือปล่าว เอาคำนี้ไปใส่ทั้งประโยค ความหมายมันใช่ไหม มองบ่อยๆ ก็ถึงบางอ้ออีกแล้ว นี่การละสระฝึกให้มองเรื่อง ความไม่แน่นอนนี่ว่า ฝึกกับความไม่แน่นอนทุกวันเลย ฝึกจนคุ้นเคยกับความไม่แน่นอน ไม่ได้รู็สึกลำบากใจหรือรำคาญที่อ่านไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร มันมองผ่านๆ ก็พอเดาออก มันไม่ต้องตรงไปทุกคำทุกประโยคมันก็เริ่มอ่านออก คนยิวคงเข้าใจเรื่องนี้ดี ความไม่แน่นอนต่างหากที่เป็นสาระของชีวิต การรับมือกับความไม่แน่นอนจึงสำคัญกว่าการรับมือกับความแน่นอน
ความเห้น : ผมเขียนนานมากแล้วครับ นานจนจำไมได้แล้ว หลายท่านคงรู้แล้วว่าทำไมผมถึงเขียนผิดเขียนถูกแล้วก็ยังไม่สนใจอีก เวลาเขียนบันทึกยิ่งกว่านี้อีก การมองภาพต่างๆ ในการลงทุนนั้นเหมือนมีม่านหมอกมาบังตลอด ภาพต่างก็มองไม่ชัด การหากินกับความไม่ชัดเจนนี้เองจึงเป้นความสามารถที่คนยิวเก่งกว่าชาติอื่น
ผมไม่ทราบว่าอะไร แต่ผมมองที่ภาษาของเขา ผมเอามาปรับใช้ ก็เขียนบทความว่า ผมมองแต่ทุกข์ วันนี้เป้นวันดีที่จะขาดทุน ก็เกี่ยวกับ Risk Mnagement ทั้งนั้น เวลาเจอความผันผวน ความๆม่แน่นอนต่างๆ ความคาดหวังทีแปลกไปจากที่คาดคิดต่างๆ มันก็สร้างความเครียดให้กับตัวเองทั้งนั้น การรับมื่อกับความเครียดได้อย่างเชียวชาญนั้นคิอคุณสมบัติที่แท้จริงของคนยิว และรับมืออย่างไรนั้น ไม่ยากเลยครับ
ตลกเข้าไว้
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกครับ ผมพูดจริงๆ อารมณ์ขันทำให้มีสติ มันเป็นตัวกรองคัดแยกอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม
หรือ อย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ครับ Invert always invert
ถามผมว่าคนยิวเก่งกว่าคนอื่นๆ เรื่องใด
เชาบริหารจัดการกับความเครียดได้ดีกว่าคนอื่นๆ
เก่งเรื่องมอง ตัวกรู นั่นเองครับ
อ้าวว ตัวกรู ตัวมรึง ตัวข้า
คนไทยทราบมานานแล้วนี่
ไปมองแต่คนยิว ของดีอยู๋ที่ตัวเรานี่เอง 555555555