Thai VI

สวัสดีค่ะพี่ๆเพื่อนๆนักลงทุน VI ทุกท่านค่ะ รบกวนขอคำแนะนำชี้แนะจากประสบการณ์ทุกท่านว่า
...ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ทุกท่านคิดเริ่มจะลงทุนแบบ vi ใหม่ๆ ถ้าเราเข้ามาในตลาดแบบในช่วงที่ราคาหุ้นดูจะราคาแพงเกินไปซะแล้ว
เราควรจะหยุดรอโอกาสโดยการนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนประเภทอื่น หรือซื้อหุ้นไปเลยที่เราคัดเลือกมาแล้วว่าดีถึงแม้ราคาแพงไปนิดโดยเมื่อราคาปรับตัวลงมาก็ให้ซื้อเพิ่มอย่างวินัยค่ะ

ต้องขอขอบคุณมากนะค่ะ

ตอนผมเริ่มใส่เงินลงทุนแบบจริงจัง
ตอนนั้นประมาณ 600 จุด มันวิ่งมาจากประมาณ 400
ใครๆก็ว่าแพง แพง แพง เดี๋ยวมันต้องกลับไปที่เดิม

ตอน 700 จุด ใครๆก็ว่าแพง แพง แพง เดี๋ยวมันต้องกลับไปที่เดิม
ตอน 800 จุด ใครๆก็ว่าแพง แพง แพง เดี๋ยวมันต้องกลับไปที่เดิม

ปีนี้วิ่งไป 1000+ แล้ว ใครๆก็ยังว่าแพง แพง แพง อยู่เช่นเคยครับ


ระหว่าง 600-11xx จุด หลายๆก็บอกแพงมาตลอด
แต่ระหว่างนั้นผมเจอหุ้นที่คิดว่ามันน่าจะถูก ใน SET ที่หลายๆคนคิดว่าแพงๆๆ
ผมก็ทยอยซื้อลงทุนไปเรื่อยๆ ตามขอบเขตความรู้ที่ผมพอจะมี และมีความมั่นใจ
(เพียงแต่ตอน 600 จุด หาหุ้นถูกๆง่ายกว่าเท่านั้นเอง)



ดังนั้นให้ลงทุนในตัวหุ้นครับ ดัชนีแค่ดูประกอบ
ไม่ได้บอกให้ลงทุนเลยนะครับ เพียงแต่ให้พิจารณาเป็นรายหุ้นไปครับ

สำหรับผม ปัญหานี้เป็นเหมือนงูกินหางมากๆ
หากถือเงินสดเท่ากับเสียโอกาสถ้าหุ้นขึ้น
หากถือหุ้นไว้เท่ากับเสียโอกาสถ้าหุ้นตก
บางคนจึงถือหุ้นด้วย ถือเงินสดด้วย ตามวิธีบริหารพอร์ต
จะอย่างไรก็แล้วแต่ "ไม่มีใครคาดเดาตลาดในระยะสั้นๆได้"
ดังนั้นจึงเริ่มที่ "ลงทุนในธุรกิจที่เข้าใจและมั่นใจ"
ต้องเข้าใจในธุรกิจพอสมควร แล้วมั่นใจน้อยก็ลงน้อย มั่นใจมากก็ลงมาก
ไม่เข้าใจ ไม่มั่นใจ ก็อย่าไปยุ่ง เดี๋ยว เจ็บตัว
(ตอนหลังนี่ ผมรู้สึกว่า มุมมองเปลี่ยนไปเหมือนกัน แต่ก่อนมองอัพไซด์เป็นหลักเลย
ตอนหลังผมมองดาว์นไซด์เป็นหลักมากกว่า พอมองดาว์นไซด์ ก็มั่นใจมากขึ้นครับ)

ส่วนเงินสดที่มีอยู่ บางคนก็บอกให้ไปฝากไว้ที่กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นบ้าง
ทำArbitrageบ้าง ฝากในหุ้นที่ทำ tender offer บ้าง ฝากประจำ 3 เดือนบ้าง
ซึ่งส่วนนี้ผมว่าเป็นแค่รักษาสภาพคล่องกับได้ผลตอบแทนตามสมควรเท่านั้น
ยังไม่ใช่การลงทุนระยะยาวจริงครับ

ขอขอบคุณพี่ตัวบรรจงเต็มบรรทัด และพี่SIPOONYA มากมากนะค่ะ

ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรจะลงทุนอะไรครับ (เพราะว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรารอโอกาส หรือว่า โอกาสผ่านไปแล้ว)
แต่อย่าลืม ที่จะลงทุนในความรู้ และมั่นศึกษาหุ้นตัวที่เราสนใจอยู่ เราจะได้รู้ว่า ตอนนี้หุ้นที่เราสนใจ ราคาของมันน่าซื้อแล้วหรือยัง ซึ่งถ้าเห็นว่าน่าซื้อแล้ว(ตัดสินใจด้วยความรู้ ไม่ใช่ตลาด) ก็ซื้อไปเถอะครับ

อย่าคิดว่ากำลังซื้อหุ้นครับ โดนมองว่ามันแพง

ให้มองว่าคุณกำลังจะซื้อกิจการนั้นๆ โดนให้มองที่ราคายุติธรรมครับ

ถ้าคุณไม่ใช้ รายใหญ่จริงๆ การที่คุณจะซื้อหุ้น กิจการดี ราคาถูก เป็นไปได้ยากมาก หรืออาจะต้องรอโอกาศ 1 ปีมีครั้งเดียว

ดังนั้นให้มองไปที่คุณกำลังจะซื้อกิจการนั้นๆ ในราคาที่เหมาะสมดีกว่าครับ มันไม่แปลกนะครับถ้าคุณจะซื้อของที่คนทั้งตลาดบอกว่าแพง แต่คุณมั่นใจว่ากิจการนี้สามารถไปได้อีกใกล (ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว ) ไม่ใช้เล่นข่าวรายวัน หรือ วิเคราะห์แค่วัน2วันแล้วบอกว่า ดีแล้ว แบบนั้นผมถือว่าไม่ใช้การ วิเคราะห์ นะครับ

เมื่อ วิเคราะห์ อย่างดีแล้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกซื้อกิจการตัวใหน ผมคิดว่าคราวนี้ก็มาดูกันที่ราคาหละครับว่าเหมาะสมใหม

เช่น**ยกตัวอย่างนะครับ

กิจการ KFC ขายอยู่ที่หุ้นละ 100 บาท คนทั้งตลาดบอกว่าแพง โอ้ยแพงซื้อไม่ใหวหรอก 100นึง

แต่ตัวคุณเองได้ใช้หลักการของ VI วิเคราะห์อย่างดีแล้วว่า ไก่ KFC นี้ มันยังไปได้อีกใกล กำลังจะออกสูตรใหม่ คนติดกันตรึมแน่ เดี๋ยวกำลังจะขยายสาขาเพิ่มอีก ปันผลก็เยี่ยมสม่ำเสมอ หนี้เสียก็ไม่มี ( ประมาณเอานะ )

คุณบอกเลย 100 นึงไม่แพงหรอก เพราะคุณมั่นใจ และเกิดจากการ วิเคราะห์ อย่างดีที่สุด ไม่ใช้เดาทางเอา

พอถึงจังหวะที่กิจการมีปัญหา ยกตัวอย่าง (ไข้หวัดไก่สายพันธ์ใหม่ ) ข่าวลือออกมาเพียบ หุ้นร่วงกระจาย

เหลือ 60 บาท คุณก็ต้องใช้หลัก VI วิเคราะห์อย่างจริงจังว่า เอ้ย มันเรื่องจริงรึปล่าว มันกระทบจริงรึปล่าว หรือเป็นแค่การตื่นตกใจในข่าว ถ้าคุณวิเคราะห์แล้วว่า พื้นฐานธุรกิจมันดีจริงๆ ยิ่งเป็นโอกาศทองที่น่าซื้อเพิ่มด้วยซ้ำ ทั้งๆที่คนอื่นเขาเทขายกัน
ในที่สุดวันนึงมันก็กลับมาที่ 120-150


เพราะฉะนั้น ที่ถามว่าจะรอโอกาศลงทุนอย่างไรดี ผมตอบได้ยากจริงๆครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการ วิเคราะห์ ของท่านแล้วคิดว่ากิจการที่เราเข้าไปซื้อจะไปได้ใกล้ขนาดใหน ราคาตอนนี้ยุตติธรรมรึปล่าว


ผมอยากเตือนไว้นิดนึงว่า หุ้น ของดีราคาถูก หายากครับ

หุ้นปั่น หุ้นเน่า ราคาแพง มีเยอะครับ อยากให้ระวังไว้หน่อยนะครับ ผมเองก็โดนมาเยอะ ฮาๆๆ


(ผิดถูกยังไงขออภัยนะครับ มาแชร์ให้ฟังเฉยๆ ขอบคุณครับ )

ในกรณีที่กล้าๆกลัวๆ ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า ถ้าจะซื้อเลย มั่นใจกี่% แล้วก็ลองลงทุนไปตามนั้น จดบันทึกเหตุผล มุมมองขณะนั้นเอาไว้

เมื่อเวลาผ่านไป ตลาดจะค่อยๆเฉลยผลลัพธ์ออกมา เราก็คอยอัพเดตบันทึกของเราว่า มุมมองของเราเปลี่ยนไปตามแต่ละช่วงเวลาอย่างไร

ทำไปเรื่อยๆครับ ให้ตัวเองเป็นครูของตัวเอง คนส่วนใหญ่อยากรู้แนวทางคนอื่น แต่กลับละเลยแนวทางของตนเอง

ไม่มีใครรู้ระดับความเสี่ยง ความกล้าได้กล้าเสียของเรา มากไปกว่าตัวเราเองหรอกครับ


** ทิ้งท้ายไว้หน่อย หากไม่มั่นใจจริงๆว่าควรลงทุนหรือไม่ ประมาณ 50/50 ให้เลือกถือเงินสดไว้ ยึดกฏข้อแรกของบัฟเฟตต์-โซรอส (รักษาเงินต้นเอาไว้) ไม่เสียหลายครับ วันพระไม่ได้มีหนเดียว **

รอโอกาสที่เหมาะสม ถึงเวลาผลตอบแทนคุ้มค่า ระหว่างรอ ลงทุนในความรู้ดีที่สุด ใช้เงินไม่มากผลตอบแทนสุดยอด หนังสือเล่มละ100-300 บาท อ่าน 10 เล่มยังแค่ 3000 บาทอย่างมาก 100 เล่ม ไม่เกิน 3 หมื่นบาท ที่เหลือฝากแบงค์หาผลตอบแทนมากที่สุด แล้วจะรู้ว่าเงินไม่กี่พันที่อ่านหนังสือ ออกดอกเป็นเงินหลายล้านบาท
ต้นไม้จะออกผลเมื่อถึงหน้าของมัน ไม่ถึงเวลาของมันบีบต้นไม้มันก็ไม่ออกดอกออกผลอยู่ดี โชคดีครับ

อยากถามพี่ๆในนี้ต่อเลยครับว่า
1.พี่ๆที่อ่านหนังสือมาเยอะแล้วในแนวการลงทุน VI หรือหนังสือแนวหุ้นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตีแตก one up on wall street, beating the street....etc, หลังจากได้แนวคิดเรื่องการลงทุนในระดับหนึ่งแล้ว อยากถามว่า หนังสือหรือแหล่งข้อมูลอย่างอื่นที่จะช่วยให้เรามองธุรกิจได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบไหนบ้างที่พี่ๆชอบอ่านกัน หรือเป็นแหล่งที่ค้นคว้าประจำ เพราะผมเชื่อว่าการที่จะลงทุนให้ได้ดีนั้น ปัจจัยเรื่องมุมมองในกิจการ การรู้ขอบข่ายความรู้เราและการเพิ่มขอบข่ายความรู้ น่าจะเป็นขั้นตอนถัดไป
2. พี่ๆคิดว่าการที่จะทำให้เรารู้จักผู้บริหาร CEO ของกิจการ ได้มากขึ้น นอกจากการตามดู ตามอ่านข่าวที่ผู้บริหารให้ทางสื่อต่างๆ แล้วเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหลังจากนั้น มีวิธีการอื่นอีกหรือไม่?? เข้าฟัง opp day? เข้าประชุมผู้ถือหุ้น? เดินไปขอพบผู้บริหารเลย (อันนี้อาจจะยากกกมากสำหรับรายย่อย)??
3. จุดซื้อ จุดขาย อันนี้น่าเกี่ยวข้องกับการ valuation พี่ๆมีวิธี speed up ความแม่นยำในการ valuation อย่างไร ผมหมายถึงแนวทาง และ valuation ล่วงหน้ากี่ไตรมาส กี่ปี กันเป็นส่วนใหญ่? ใช้วิธีเดียวหรือหลายวิธี (PE, PBV, DCF, DDM) ? หรือว่าอันนี้ต้องใช้ประสบการณ์และจิตใต้สำนึกเข้าช่วยด้วย??
ขอบคุณล่วงหน้าครับ

ลงทุนในความรู้

เงินก้อนก็ฝากประจำ 3 เดือนไว้ รอวันที่เจอวิกฤติใหญ่ๆ เวปบอร์ดไม่มีคนเข้าค่อยมาซื้อ

เงินเดือนแบ่งมาซื้อหุ้นทุกเดือน เอาหุ้นดีมีปันผล เจอได้ในชีวิตประจำวัน

รวยๆ ค้าบพ้ม

viim เขียน:อยากถามพี่ๆในนี้ต่อเลยครับว่า
1.พี่ๆที่อ่านหนังสือมาเยอะแล้วในแนวการลงทุน VI หรือหนังสือแนวหุ้นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตีแตก one up on wall street, beating the street....etc, หลังจากได้แนวคิดเรื่องการลงทุนในระดับหนึ่งแล้ว อยากถามว่า หนังสือหรือแหล่งข้อมูลอย่างอื่นที่จะช่วยให้เรามองธุรกิจได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบไหนบ้างที่พี่ๆชอบอ่านกัน หรือเป็นแหล่งที่ค้นคว้าประจำ เพราะผมเชื่อว่าการที่จะลงทุนให้ได้ดีนั้น ปัจจัยเรื่องมุมมองในกิจการ การรู้ขอบข่ายความรู้เราและการเพิ่มขอบข่ายความรู้ น่าจะเป็นขั้นตอนถัดไป

- อ่านประสบการณ์ชีวิตของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มาอย่างยาวนาน มีประสบการณ์ในตลาด สิบปีขึ้น เราจะได้รู้ไทม์มิ่งการลงทุน อีกอันคือ ประสบการณ์การทำธุรกิจของ เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยได้มากในการมองธุรกิจของบริษัทต่างๆ

2. พี่ๆคิดว่าการที่จะทำให้เรารู้จักผู้บริหาร CEO ของกิจการ ได้มากขึ้น นอกจากการตามดู ตามอ่านข่าวที่ผู้บริหารให้ทางสื่อต่างๆ แล้วเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหลังจากนั้น มีวิธีการอื่นอีกหรือไม่?? เข้าฟัง opp day? เข้าประชุมผู้ถือหุ้น? เดินไปขอพบผู้บริหารเลย (อันนี้อาจจะยากกกมากสำหรับรายย่อย)??

- ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้ สืบข่าว ค้นข่าวเกี่ยวกับผู้บริหารในเน็ต ประวัติสะอาดหรือไม่ มีพฤติกรรมให้ข่าวเท็จกับ ผถห ไปดูโหงวเฮ้งในวันประชุมก็ช่วยได้มากครับ

3. จุดซื้อ จุดขาย อันนี้น่าเกี่ยวข้องกับการ valuation พี่ๆมีวิธี speed up ความแม่นยำในการ valuation อย่างไร ผมหมายถึงแนวทาง และ valuation ล่วงหน้ากี่ไตรมาส กี่ปี กันเป็นส่วนใหญ่? ใช้วิธีเดียวหรือหลายวิธี (PE, PBV, DCF, DDM) ? หรือว่าอันนี้ต้องใช้ประสบการณ์และจิตใต้สำนึกเข้าช่วยด้วย??
ขอบคุณล่วงหน้าครับ

- แล้วแต่เป้าหมายของเรา บางคนมองสั้น บางคนมองยาว แต่ที่ขาดทุนกันคือ มองยาว แต่ทำใจไม่ได้ในระยะสั้นที่ราคาแกว่ง นี่เป็นเหตุผลให้เราต้องลงทุนในธุรกิจที่รู้จัก และต้องรู้จักลดความเครียดให้ตัวเองโดยการทำกำไรเพื่อลดต้นทุนบ้าง คาดการณ์กำไรผมก็ดูรายไตรมาสนะแหละครับแต่เราต้องมองภาพรวมก่อนว่าในอนาคตธุรกิจจะโตแน่ ถ้ากำไรลดโดยเกิดจากปัญหาที่กระทบตัวธุรกิจโดยตรง เช่น สูญเสียลูกค้ารายหลัก เหมือนกรณีของ CEI และ TEAM ก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงเพิ่ม แต่ถ้าเป็นปัญหาระยะสั้น เช่น น้ำท่วม ซึ่งมันก็จะผ่านไป อันนี้ก็ไม่ต้องกังวล วิธี ผมใช้ PE กับดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงานให้เป็นบวก ครับ ความแม่นยำไม่ต้องมากก็ได้เอาแค่รู้ว่า กำไรโต ก็โอเค

ขอบคุณพี่ Suysak มากครับสำหรับคำแนะนำที่ดี เป็นประโยชน์มากครับ

ขอบคุณที่ช่วยกันเข้ามาแชร์นะครับ พลอยได้ความรู้ไปด้วย

โอโห ขอบคุณความรู้และประสบการณ์จากพี่ๆเพื่อนๆมากครับ ^__^

โอกาสไม่ต้องรอครับ
หาเอง สร้างเองได้ครับ

เข้ามาอ่านคำแนะนำดีๆ ได้ประโยชน์มากครับ
ระหว่างรอโอกาศก็ลงทุนในความรู้ไปพลางๆ เมื่อมีโอกาศแล้วจะได้ไม่ต้องลังเล หวดให้สุดแรงเลย^_^