Thai VI

มือใหม่มากครับ เพิ่งเปิดพอร์ตได้เดือนกว่าๆเอง รบกวนถามครับ
อ่านเจอประโยคนี้

"หลายๆครั้งผมมักจะเห็นว่า VI ขายโลว์ ...
ทำไมหรอครับ เพราะ VI ความอดทนสูงกว่าคนอื่นไงครับ ทนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายทนไม่ได้"

อ้างอิง: http://tinyurl.com/7nklomr

จริงๆผมก็มีคำถามมาสักพักแล้วล่ะครับ ว่าคนที่ลงทุนแนว vi เนี่ย เขามีจุด cut loss กันหรือไม่ มันต้องทนถึงแค่ไหน มีหลักเกณฑ์อย่างไร

ขอบคุณครับ

vi จะโฟกัสไปที่ตัวธุรกิจครับ cut loss ในความหมายคุณสำหรับvi หมายความถึงว่าขายหุ้นเพราะตัวธุรกิจประสบปัญหา ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ....

ราคาหุ้นจะไปตามผลประกอบการของธุรกิจครับ ไม่ว่าจะผันผวนแค่ไหน

ยกตัวอย่าง คุณร่วมหุ้นทำธุรกิจกับคน 10คน มีหุ้นส่วน7-8คน บอกขายหุ้นในราคาต่ำกว่าที่ควรเป็น คุณจะคิดแบบไหน
1.เห้ยมีปัญหาแน่เลย ขายด้วยดิ
2.วิเคราะห์ดูธุรกิจว่าเป็นอย่างไร ถ้าดูอย่างดีแล้วยังเป็นธุรกิจที่ดี เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นเพิ่มด้วยซ้ำ
จะเห็นได้ว่าถ้าตั้งcutloss คุณจะต้องขายหุ้นแบบไม่มีเหตุผลเลย (เพราะคนส่วนใหญ่ขายในราคาถูก)

ผมชอบที่คุณนริสเปรียบเทียบ ว่าvi เป็นการวิเคราะห์ไปที่ต้นเหตุครับ หลายวิธีวิเคราะห์ที่ปลายหตุ

แนะนำว่าคุณลองคิดเสมือนว่าเราทำธุรกิจนั้นจริงๆสิครับ จะได้เห็นภาพมากขึ้น

สำหรับแนว VI ผมเห็นว่าเนื่องจากหลักการคิดเสมือนการลงทุนกิจการ

การ cut loss จึงเปรียบได้กับการลงทุนที่ตัดสินใจผิด แล้วก็เลิกกิจการ

ถ้าไม่มีการ cut loss ก็แปลว่า ไม่ว่าลงทุนผิดยังไงก็จะไม่เลิกลงทุนเด็ดขาด หรือไม่ก็แปลว่าลงทุนแล้วมั่นใจว่าไม่มีโอกาสพลาดได้เลย

VI มันจะมี cut loss หรือไม่มี cut loss ก็ช่าง head potato เถอะ
แต่สำหรับคุณที่เป็นมือใหม่ ผมคิดว่าจำเป็นต้องมี
เพื่อเป็น MOS ของคุณเอง

ธรรมชาติของมือใหม่ มักจะประเมินหุ้นผิดมากว่าถูก
การมี cut loss จึงทำให้เกิดการ "ลดความสูญเสีย" มากกว่าจะไปทำให้ "เสียโอกาสทำกำไร"

เมื่อใดคุณมั่นใจ ว่าเก่งแล้ว ไม่มีโอกาสพลาดแล้ว ค่อยคิดว่า จะไม่มี Cut loss ก็ตามสบาย
แต่ก็ต้องมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ
เพราะ ชนะมา 99 ครั้ง แพ้ครั้งที่ 100 ครั้งเดียว ก็หมดตัวได้

Cut Loss เมื่อพื้นฐานระยะยาว ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

ผมไม่มีคำตอบนะ
มีแต่ความเห็น

เหมือนคุนเห็น...

รถสิบคันเลี้ยวซ้้ายที่สี่แยกไฟแดง
แล้วคุณก็เหมาเอาว่า...

รถทั้งสิบคัน
กำลังมุ่งหน้าไปที่จุดหมายเดียวกัน

ถ้าคุณคิดว่าเรื่องนี่เป็นเรื่องจริง
VI มี cut loss ครับ

ว่าแต่...

มันสมเหตุสมผลหรือเปล่า ?

ส่วนตัวคิดว่า...
ถ้า cut loss มีหลายความหมาย
cut loss มันก็จะไม่เป็น cut loss แล้วล่ะครับ

ส่วนการขายหุ้น
เหตุผลมันก็ร้อยแปด

สำหรับบางคน
ขายหุ้นเพราะกลัวว่าราคาหุ้นจะลงต่อ

เอ๊ะ...
ถ้าอารมณ์มันช่วยในการลงทุนได้ขเพราะนาดนั้น
มันก็ไม่ต่างอะไรกับการซื้อหุ้น
เพราะคิดว่าราคามันจะขึ้นหรอกครับ

vi คือใคร

คนที่ขายหุ้นเพราะราคาหุ้นมันลงใช่หรือเปล่า

???

"หลายๆครั้งผมมักจะเห็นว่า VI ขายโลว์ ...
ทำไมหรอครับ เพราะ VI ความอดทนสูงกว่าคนอื่นไงครับ
ทนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายทนไม่ได้"

ถ้าเป็น vi จริง ผมว่าเขาทำตรงข้ามนะ

ปล.
ข้อความของเขาเป็นแค่คำบอกเล่า
จะ Fact หรือเปล่า ผมไม่ทราบ

แต่ที่แน่ๆ ข้อความของผม
เป็นแค่ความเห็นครับ

ขอบคุณทุกท่านนะครับ ผมคงต้องศึกษาอีกเยอะๆเลย

การลงทุนเน้นที่พฐของกิจการมากๆ และ บางแบบที่ไม่ต้องเน้นพฐของกิจการมากเกินไป แนวคิดในการซื้อ และ การขายจะไม่เหมือนกันครับ

"หลายๆครั้งผมมักจะเห็นว่า VI ขายโลว์ ...
ทำไมหรอครับ เพราะ VI ความอดทนสูงกว่าคนอื่นไงครับ
ทนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายทนไม่ได้"

ถ้าไม่อยากเป็นแบบที่เขียนด้านบน ลองอย่างนี้ไหมครับ..

1.ถ้าพื้นฐานไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ตอนซื้อ ให้ขายทิ้ง อย่าดันทุรัง หรือคิดข้างๆคูๆว่ามันจะกลับมาดี ผมขายทิ้งอย่างนี้บ่อยๆ ขาดทุนก็ต้องยอม ดีกว่าขาดทุนหนัก หรือ เงินทุนจมกับหุ้นที่ไม่ไปไหน ปัญหาของการ cut แบบนี้คือต้องให้เวลาบ้าง เพราะไตรมาสนี้ไม่เป็นไปตามคาด ไตรมาสหน้าอาจจะเป็น

2.ถ้าเรารู้มูลค่าที่ควรจะเป็น และซื้อที่ราคาที่มี MOS เพียงพอ เราคงไม่ขายที่ราคาโลว์ เพราะเรามี"หลักยึด" ไง เรารู้ว่าสิ่งของในมือเรามูลค่า 10 บาท (ต้นทุนเรา 5 บาท MOS เพียบ ) มีคนมาขอซื้อที่ราคา 3 บ เราจะขายไหม ถ้าคนขอซื้อบอกว่าก็คนอื่นๆเค้าขายกันที่ 3 บ. ให้ตอบไปว่า>>>> ช่วยบอกหน่อยว่าใครขาย 3 บาท จะขอซื้อเพิ่มด้วยคน

ลูกอิสาน เขียน:
1.ถ้าพื้นฐานไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ตอนซื้อ ให้ขายทิ้ง อย่าดันทุรัง หรือคิดข้างๆคูๆว่ามันจะกลับมาดี ผมขายทิ้งอย่างนี้บ่อยๆ ขาดทุนก็ต้องยอม ดีกว่าขาดทุนหนัก หรือ เงินทุนจมกับหุ้นที่ไม่ไปไหน ปัญหาของการ cut แบบนี้คือต้องให้เวลาบ้าง เพราะไตรมาสนี้ไม่เป็นไปตามคาด ไตรมาสหน้าอาจจะเป็น

ขอถามคุณลูกอิสานต่อนะครับว่า ปกติคุณลูกอิสานให้โอกาสเขานานมั๊ยโดยเฉลี่ย ไตรมาสเดียว หรือ 2 ไตรมาส หรือ 1 ปี? และปกติโดยส่วนใหญ่คุณลูกอิสานคิดมูลค่าหุ้นมองไปไกลแค่ไหนครับ?

"หลายๆครั้งผมมักจะเห็นว่า VI ขายโลว์ ...
ทำไมหรอครับ เพราะ VI ความอดทนสูงกว่าคนอื่นไงครับ ทนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายทนไม่ได้"

ทำไมไม่มองในมุมกลับบ้างละครับ ในช่วงที่หุ้นเริ่มสะท้อนมูลค่าที่ควรจะเป็น
ถ้าเป็นนักเทคนิคก็คงขาย ตามสัญญาณ เช่น overbuy
เท่าที่ผมเห็น ก็มี VI เนี่ยหละครับที่ได้กำไร 5 เด้ง บ้าง 10 เด้งบ้าง เพราะเค้าอดทนไงครับ

ส่วนถ้าจะมองในเรื่อง downside risk ก็อยู่ที่ MOS ของแต่ละคนอย่างที่พี่ลูกอิสานว่าล่ะครับบบบ

ผมว่าอีกจุดหนึ่งที่เป็นจุดที่อาจจะยากสำหรับมือใหม่อย่างผม และอาจจะเป็นแค่ปัญหาขี้ปะติ๋วสำหรับนักลงทุนชั้นเซียน หรือผู้ที่ขับรถเป็นมานานมาก จนเชี่ยวชาญ คือ การแยกให้ออกระหว่างพื้นฐานเปลี่ยนถาวรและพื้นฐานเปลี่ยนชั่วคราวด้วยปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถป้องกันได้ ผมว่าเส้นแบ่งที่ชัดเจนของการเปลี่ยนในพื้นฐานในสองลักษณะนี้อาจจะแบ่งยาก แต่คนที่อยู่ในวงการมานานอาจจะดูออกและวิเคราะห์ไม่ยาก เช่น สถานการณ์น้ำท่วม บางคนก็บอกว่ากิจการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ นิคม เปลี่ยนแบบถาวรหรือแย่ลง แต่ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจนว่าการกลับมาจะเร็วหรือช้า เพราะว่ามีปัจจัยอื่นประกอบ แต่สำหรับบางคนก็อาจจะมองว่าเป็นปัญหาชั่วคราว และถ้าเขาคนนั้นมั่นใจในกิจการและความสามารถของผู้บริหารประกอบกับเขาเป็นนักลงทุนระยะยาว เขาอาจจะมองข้ามปัจจัยระยะสั้นๆนี้ไปก็ได้ ดังนั้นการที่เราคิดว่าพื้นฐานในอีก 2 ไตรมาสหน้าควรจะเป็นแบบนี้ แต่ดันมาเจอสภาวะการณ์จากภายนอกที่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยน เราก็ต้องมาวิเคราะห์ปัจจัยที่มากระทบนั้นว่า ชั่วคราว หรือ ถาวร สั้น ยาว แค่ไหน จะเสียโอกาสในการไปลงทุนตัวอื่นหรือไม่ อะไรทำนองนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวสำหรับมือใหม่อย่างผมครับ และอยากฟังความคิดเห็นของคุณลูกอิสานเหมือนกันในประเด็นนี้ แม้ว่ามันจะไม่มีสูตรสำเร็จน่ะครับ

มีแน่นอนครับ
ตยเข่นผมซื้อerthเพราะผลประกอบการดีแต่เขาโดนเรื่องน้องน้ำทำให้ราคาตกลงมามาก
จนถึงจุดที่น่าสนใจ ต่อมาราคาเขาตกมาก ผมจะรีบcut lossทันทีเพราะ
ผมอ่านความเสียหายที่เกิดจากน้องน้ำไม่ขาด
แต่ผมจะเฝ้าดูเขาอย่างใกล้ชิดพร้อมศึกษาข้อมูล
ถ้าผมเห็นว่าเป็นเรื่องชั่วคราวและเขารับมือไหว
ผม...555

เคยแต่ได้ยินว่า VI (Value investment) ซื้อเพราะมุลค่าสูงกว่าราคา ขายเพราะราคาเกินมูลค่าไปเยอะ

การ cut loss อาจหมายถึงมองมูลค่าผิดไปก็เป็นได้ ซึ่งเราคงต้องติดตามบริษัทอย่างต่อเนื่องแต่คงไม่ต้องทุกวัน
เพราะมูลค่าของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนั้น

นี่เป็นเหตุให้ต้องลงทุนในธุรกิจที่มองเห็นได้ สัมผัสได้ ไปดูได้

ก่อนนี้นานมากแล้วผมเคยทนเน่ากับ hmpro มาตั้งนาน หุ้นลงที ก็ไปเดินโฮมโปรที

เห็นลูกค้ามาจับจ่ายก็ชื่นใจ เปิดสาขาใหม่ก็ไปเดิน เห็นคนซื้อของก็ชื่นใจ

เดินไปเดินมา วันนึงราคาหุ้นมันก็ขึ้นเองละครับ

vi ก็นักเก็งกำไร(สุทธิ)นั่นแหละครับ เพราะเวลาประเมินมูลค่าหุ้นก็ต้องมีสมติฐานที่จะเอามาใส่แบบจำลองออกมาเป็นมูลค่ากิจการ แล้วก็คิด mos ตามสูตร ถ้าบริษัทมีผลประกอบการตามที่คาดราคาก็วิ่งไปตามคาด ปันผลตามที่คาด แล้วก็รวยตามคาด

แต่ถ้าบริษัทมีผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คาดราคาก็ไม่วิ่งไปตามคาด ปันผลก็ไม่มีตามที่คาด แล้วก็จนแบบไม่คาดคิด สุดท้ายก็ cut loss แล้วเก็บเป็นบทเรียนครับ