หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ศึกษามาได้สักพัก งง กับคำว่า "ราคาหุ้น ต่ำกว่าพื้นฐาน"

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 22, 2011 9:38 pm
โดย T@NG555
เริ่มศึกษามาได้สักพักแล้ว งง กับคำว่าซื้อในราคาที่เหมาะสม ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน เอาอะไรมาวัดได้ หรือมีหลักการดูยังไง หนังสือเล่มไหนที่เป็นเคสสตาร์ทดี้บ้าง สรุปที่สงสัยคือ ราคาต่ำกว่าพื้นฐานใช้หลักการใดบ้างมาวัด ผู้รู้ช่วยไขข้อข้องใจหน่อยนะครับ

Re: ศึกษามาได้สักพัก งง กับคำว่า "ราคาหุ้น ต่ำกว่าพื้นฐาน"

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 23, 2011 9:38 am
โดย ส.สลึง
มูลค่า ต่างคนต่างวัด ต่างคนก็ต่างสไตล์ครับ
มันไม่มีผิดไม่มีถูก concept มันก็แค่...
ถ้าเราเดินไปเห็นเสื้อตัวหนึ่ง คิดว่าราคา
ควรจะอยู่ที่ 100 บาท แน่นอน บางคนไม่ได้คิดเหมือนเรา
ก็เช่นแม่ค้าขายเสื้อ ที่ตะโกนบอกเราว่าขาย 40 บาทขาดตัว

ถ้าเราคิดว่าเสื้อตัวนี้ ยังไง 100 บาท ขายได้แน่ๆ
ก็เอาเงิน 40 บาทไปแลกเงิน 100 บาทมา

ปล.
หุ้นตัวเดียวกัน เวลาเดียวกัน บางคนบอกแพง
ต้องอ่านเยอะๆ ครับ แล้วมันจะได้เอง

Re: ศึกษามาได้สักพัก งง กับคำว่า "ราคาหุ้น ต่ำกว่าพื้นฐาน"

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 25, 2011 10:47 pm
โดย Tibular
คือเราต้องหามูลค่าของสินทรัพย์คือบริษัทออกมาน่ะคับ
ก็จะรู้ว่าราคาหุ้นที่เสนอขายมันมีมูลค่าออกมาต่ำกว่าหรือมากกว่า

ที่นี้ ถ้าถามว่าราคาที่เหมาะสมในตลาดมันตรงกับ
มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจหรือเปล่า อันนี้ขึ้นกับมุมมองของตลาด
ขณะนั้นๆคับ

อันที่จริงในทางเศรษฐศาสตร์ ก็จะบอกว่า มูลค่า(รายได้)=ราคา*ปริมาณการผลิต
ในทางเศรษฐศาสตร์จะให้ราคาเป็นค่าคงที่เสมอนะคับ
มูลค่า(รายได้) จึงเท่ากับ ปริมาณการผลิต เพราะราคาเป็นสิ่งไม่
แน่นอนขึ้นกับกลไกตลาดจะกำหนด

ถ้าแปลออกมาก็หมายความว่าบริษัทผลิตอะไรล่ะที่จะทำให้ได้
มูลค่า(รายได้)ดีๆ

บริษัทนำเสนอสินค้า และบริการเพื่อก่อนให้เกิดรายได้ และกำไร
กำไรก็คือมูลค่าหรือรายได้ขั้นสุดท้ายหลังหักต้นทุนการดำเนิน
งานต่างๆแล้ว กำไรคือแรงจูงใจหลักของการค้าขายให้เกิดการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ
ก็คือค่าเหนื่อยล่ะคับพูดง่ายๆ ค่าเหนื่อยต้องก่อให้เกิดแรงจูงใจในการผลิต
และก่อให้เกิดความพอใจสำหรับผู้บริโภคด้วย

นั่นคือ กำไรต้องสมเหตุสมผล ที่นี้ก็มีเรื่องที่บริษัทมีความได้
เปรียบในด้านต่างๆมาเกี่ยวข้องด้วย เช่น มีต้นทุนต่ำกว่าเพราะมีประสิทธิภาพในการ
ผลิตที่ดี มีสินค้าที่เป็นที่นิยมมากๆ ผู้บริโภคยอมรับ มีสิทธิประโยชน์จากรัฐ
หรืออะไรก็ตาม ที่ทำให้เกิดความได้เปรียบ จึงสามารถทำให้กำหนดราคาที่สูงขึ้น
ทำให้ได้กำไร มากกว่าปกติ

กำไร หรือกำไรเงินสดที่บริษัททำได้ในแต่ละวันๆ แต่ละเดือนๆ แต่ละปีๆ
นั่นแหละคับเป็นตัวกำหนดมูลค่าของบริษัท ซึ่งอิงกับระยะเวลา
การประกอบธุรกิจด้วย นั่นคือ กำไร หรือกำไรเงินสดที่บริษัทหาได้สะสมกัน
ตลอดจนบริษัทปิดดำเนินการ นั่นคือมูลค่าของบริษัทนั่นเอง แต่เป็นมูลค่าของ
บริษัทในอนาคตคับถ้าเราต้องการรู้ว่า ณ. วันนี้ ก็คงต้องคิดทอนกลับมาคับ เพราะใน
เศรษฐกิจแบบทุนนิยมเงินในอนาคตจะด้อยค่าลงเพราะสิ่งที่เรียกว่าเงินเฟ้อคับ
อันนี้ถ้าอยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงเกิดเงินเฟ้อ และมันคืออะไร มีผลอย่างไร
หาอ่านได้ในตำราเศรษฐศาสตร์นะคับ

ซึ่งการหามูลค่าบริษัทจากวิธีการแบบนี้จะมีในหนังสือการเงินคับ
ไม่ว่า PE หรือ DCF ลองไปหาอ่านดูคับ เรื่องวิธีการหามูลค่าสินทรัพย์

สำหรับราคาในตลาดหุ้น(ตลาดรอง) เป็นเหมือนตัวสะท้อนตรงนี้คับ
ด้วยสมมุติฐานว่าผู้ลงทุนมีความรอบรู้ และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ
เพื่อการลงทุนได้อย่างมีเหตุผล และสามารถกำหนดราคาหุ้นได้ใกล้เคียงกับมูลค่าของบริษัท
จึงทำให้เกิดตลาดหุ้น(ตลาดรอง)ซื้อขาย แลกเปลี่ยนโดยสมัครใจ
เพื่อเพิ่มทางออกให้สำหรับผู้ลงทุน(ในตลาดแรก)ที่คิดจะถอนตัว และเป็นแรงจูงใจให้มีการ
ระดมทุนมากขึ้น เพราะจะได้ไม่ต้องกลัวว่าทุนที่ลงไปจะจมไปยาวนานกับบริษัท หรืออยาก
กระจายความเสี่ยง ซึ่งเป็นการใช้ทุนไปลงทุนใหม่กับบริษัทอื่นๆ ให้เกิดการผลิต
ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว เกิดการผลิตสินค้า และบริการมากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลให้มีการกินดีอยู่ดีของประชาชนต่อไป นอกจากนั้นยัง
เป็นผลดีให้กับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดสามารถมีแหล่งระดมทุนที่มากขึ้น
กว่าการขอสินเชื่อจากธนาคารด้วย และเพื่อการนั้นบริษัทจดทะเบียนจึงต้องเปิด
เผยข้อมูลต่างๆให้ผู้ลงทุนทราบ เพื่อเป็นมาตรฐานและโปร่งใส ทำให้นักลงทุนมั่นใจ

ราคาในตลาดหุ้น(ตลาดรอง) จึงขึ้นกับมุมมองของนักลงทุนที่ซื้อขายกัน
ประกอบกับคุณภาพของกิจการ และโอกาสในการเก็งกำไรจากราคาขึ้นลงด้วย
เพราะเกิดสภาพคล่องมากขึ้น ถ้ามีบริษัทจะทะเบียนมากขึ้น และภาคการผลิต
ของประเทศดีขึ้น นั่นคือเศรษฐกิจขยายตัวขึ้น ทำให้เกิดมาตรฐานค่าครองชีพที่ดีขึ้น
ประชาชนอยู่ดีกินดี มีสวัสดิการที่ดี มีงานทำ มีความสุข

ระบบทุนนิยมแม้ว่าจะทำให้เกิดความกินดี อยู่ดีของคนส่วนใหญ่
แต่ก็ยังมีคนส่วนน้อยที่ไม่ได้รับโอกาสนั้น ซึ่งเป็นข้อจำกัด
แต่ในยุคนี้ระบบนี้ก็เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดแล้วในข้อจำกัดต่างๆ
ซึ่งก็คงต้องมีการพัฒนาระบบที่ดีกว่านี้ต่อไป ซึ่งเป็นเป้าหมายของ
เศรษฐศาสตร์ ที่จะต้องทำให้ทุกๆคนมีความกินดี อยู่ดี และมี
ความสุขด้วย โดยทั่วกัน

แล้วสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น(ตลาดรอง) จะสามารถมั่งคั่งขึ้นได้อย่างไร
ก็คงขึ้นกับมุมมองของแต่ละคน บางท่านอาจจะอยากถือหุ้นไว้นานๆ
เพื่อรับส่วนแบ่งกำไร(เงินปันผล) ที่มากขึ้นทุกปีจากกิจการที่ดี
รวมถึงราคาที่จะสะท้อนมูลค่าของกิจการที่ดีในระยะยาวด้วย
หรือบางท่านอาจจะหาโอกาสจากความผันผวนของการเก็งกำไร
โดยอิงกับพื้นฐานกิจการ หรืออารมณ์ตลาดก็ได้ทั้งนั้น
ขึ้นอยู่กับกรอบระยะเวลา และความเข้าใจของแต่ละท่าน

สำหรับการลงทุนแบบ VI จะเน้นที่การประเมินมูลค่าของกิจการนั้นๆ
ซึ่งมีมุมมองในหลายด้าน เพื่อที่จะสะท้อนมูลค่าของกิจการนั้นๆ
ได้อย่างเที่ยงตรงที่สุด ณ. อดีต ปัจจุบัน อนาคต
เพราะฉะนั้นการซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินได้
จะทำให้เรารู้สึกปลอดภัยขึ้น และด้วยความเชื่อมั่นในกลไกตลาด
ที่จะทำให้ราคาในตลาดหุ้น(ตลาดรอง) สะท้อนถึงมูลค่ากิจการ
ซึ่งอาจจะเกิดจากแรงเก็งกำไร หรือมีคนเห็นถึงคุณค่าของกิจการ
หรืออะไรก็ตาม ระยะเวลาจึงกำหนดได้ยากสำหรับแนว VI นี้
เพราะไม่มีใครสามารถบอกได้ถึงเวลาที่แน่นอนว่า ราคาจะเหมาะสม
กับมูลค่ากิจการเมื่อไหร่

ซึ่งตรงนี้จะเรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับฝีมือของนักลงทุนแต่ละท่านล่ะคับ
ว่าจะสามารถมองได้ขาดขนาดไหน ด้วยความรู้ และประสบการณ์
ของแต่ละท่าน

สำหรับการหามูลค่าสินทรัพย์ก็มีในเรื่องบัญชี แล้วก็การเงิน
ต้องไปหาอ่านคับ

คร่าวๆ ก็คือ หุ้นนั้นคือส่วนนึงของบริษัท เราก็ต้องมองว่าบริษัทเป็นเจ้าของอะไรบ้าง
ถ้าทางบัญชีก็บอกว่า สินทรัพย์ของบริษัท มาจาก ทุนของเจ้าของ
ทีนี้เจ้าของอาจจะออกเงินทุนเอง หรือกู้มาด้วยส่วนนึงก็จะได้

สมการของบัญชีว่า
สินทรัพย์ = ทุน + หนี้สิน แต่สมการจะไม่สะท้อนความจริงว่า
เจ้าหนี้ควรจะมีสิทธิ์ก่อน เพราะเป็นการจำกัดความเสี่ยงของเจ้าหนี้
สมการเลยต้องให้ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน คือเจ้าหนี้มีสิทธิ์ได้คืนก่อน
เจ้าของทุน ไม่งั้นก็ไม่มีใครให้กู้ใช้ไหมคับ

สินทรัพย์ที่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ ของบริษัท ทางบัญชีต้องสามารถ
บันทึกไว้ได้อย่างมีมาตรฐาน ที่นี้ก็มีปัญหาแล้วคนทำงานล่ะ ผู้บริหาร พนักงาน เรียกว่าเป็นทุนมนุษย์
ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะเป็นผู้ดำเนินงานต่างๆ รวมถึงยี่ห้อสินค้า
เทคโนโลยี ลิขสิทธิ์ สัมปทานจากรัฐ สิ่งต่างๆเหล่านี้ สร้างยากลำบาก
ในการตีมูลค่า แม้แต่สินทรัพย์ต่างๆ เช่น ที่ดิน เครื่องจักรต่างๆ ก็ยังมีเกณฑ์
ทางบัญชีบอกไว้ว่าจะวัดมูลค่าจากอะไร แต่ก็ยังไม่สามารถตีมูลค่าได้อย่างแท้จริง

สำหรับด้านการเงิน ก็จะตีมูลค่าออกมาอีกแบบว่า มูลค่าของสินทรัพย์ต้องมาจาก
กระแสเงินสดอิสระที่บริษัททำมาหาได้ตลอดช่วงระยะเวลาที่ดำเนินกิจการอยู่
ทั้งหมดรวมกัน แล้วคิดลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน ด้วยอัตราคิดลดที่เหมาะสม
555 ยุ่งละซิทีนี้

สำหรับในตลาดหุ้นเอง ก็มีการตีราคากันไปตามแต่ความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ฯลฯ
ของแต่ละท่าน ไม่ว่าจากพื้นฐาน จากเทคนิค จากนั่นจากนี่ จากราคาเป้าหมายโบรค
จากกูรู จากแนวรับแนวต้าน สาระพัด สาระพัน ผู้เล่นต่างๆเองก็มีมากมาย
ทั้งระดับใหญ่สุด กองทุนต่างชาติ กองทุนในประเทศ สถาบันต่างๆ นักลงทุน โบรคเกอร์
รายใหญ่ รายย่อย ฯลฯ

เหนื่อยกันไป เฮ้อ...

เป็นหน้าที่ของนักลงทุนล่ะคับว่าจะสามารถตีมูลค่า(หรือไม่ตีก็ได้)ออกมาได้สมเหตุสมผลแค่ไหน
ด้วยกรอบวิธีการลงทุน กรอบเงินทุน กรอบระยะเวลา
กรอบความรู้ในตลาดหุ้นและระบบเศรษฐกิจ กรอบความเข้าใจในตัวเอง

หวังว่าคงทำให้เข้าใจอะไรได้บ้างนะคับไม่มากก็น้อย

ขอให้ทุกท่านสนุกกับการลงทุนคับ

Re: ศึกษามาได้สักพัก งง กับคำว่า "ราคาหุ้น ต่ำกว่าพื้นฐาน"

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 08, 2011 9:18 pm
โดย นพพร
ทำให้ง่ายก็คือคำนวณว่าพื้นฐานมันควรจะราคาเท่าไหร่ เท่านี้แหล่ะ

อ่านเรื่อยๆครับ ไม่ต้องรีบ :D

Re: ศึกษามาได้สักพัก งง กับคำว่า "ราคาหุ้น ต่ำกว่าพื้นฐาน"

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 08, 2011 11:58 pm
โดย chatchai
เข้าใจว่า คนที่ตั้งกระทู้คงต้องการถามว่าราคาพื้นฐานคิดอย่างไร

อธิบายง่ายๆจากพันธบัตร

พันธบัตรจะให้ดอกเบี้ยคงที่ เช่น 5%ต่อปี ราคาหน้าพันธบัตรที่ 100 บาท นั่นหมายถึงว่าเราจะได้ดอกเบี้ยปีละ 5 บาท

ถ้าเราต้องการผลตอบแทน 10% ดอกเบี้ยได้เท่าเดิม เราก็ต้องซื้อพันธบัตรที่ราคาต่ำกว่า 50 บาท นั่นก็เป็นราคาพื้นฐานของเรา

แต่สำหรับหุ้นสามัญนั่นมีความยากและซับซ้อนมากกว่า เพราะผลตอบแทนไม่คงที่ อาจจะลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ได้ ดังนั้นเราต้องทำประมาณการผลการดำเนินงานของกิจการให้ได้ก่อน ซึ่งค่อนข้างยาก

ดังนั้นเมื่อเราประมาณการได้แล้ว เช่นราคาที่ 100 บาท เราจึงต้องมีส่วนลดหรือ Margin of Safety เพื่อรองรับว่าเราประมาณการดีเกินไป ถ้าเราไม่มั่นใจในการประมาณก็ให้ส่วนลดมากหน่อย

Re: ศึกษามาได้สักพัก งง กับคำว่า "ราคาหุ้น ต่ำกว่าพื้นฐาน"

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 09, 2011 12:26 am
โดย yy
กด like ให้คุณ Tibular ครับ
และเห็นด้วยทั้งคุณ ส. สลึง และคุณฉัตรชัย ครับ
(ตอบแบบ หากินแบบง่ายๆ ครับ ... :D )

Re: ศึกษามาได้สักพัก งง กับคำว่า "ราคาหุ้น ต่ำกว่าพื้นฐาน"

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 09, 2011 7:14 pm
โดย halogen
chatchai เขียน:เข้าใจว่า คนที่ตั้งกระทู้คงต้องการถามว่าราคาพื้นฐานคิดอย่างไร

อธิบายง่ายๆจากพันธบัตร

พันธบัตรจะให้ดอกเบี้ยคงที่ เช่น 5%ต่อปี ราคาหน้าพันธบัตรที่ 100 บาท นั่นหมายถึงว่าเราจะได้ดอกเบี้ยปีละ 5 บาท

ถ้าเราต้องการผลตอบแทน 10% ดอกเบี้ยได้เท่าเดิม เราก็ต้องซื้อพันธบัตรที่ราคาต่ำกว่า 50 บาท นั่นก็เป็นราคาพื้นฐานของเรา

แต่สำหรับหุ้นสามัญนั่นมีความยากและซับซ้อนมากกว่า เพราะผลตอบแทนไม่คงที่ อาจจะลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ได้ ดังนั้นเราต้องทำประมาณการผลการดำเนินงานของกิจการให้ได้ก่อน ซึ่งค่อนข้างยาก

ดังนั้นเมื่อเราประมาณการได้แล้ว เช่นราคาที่ 100 บาท เราจึงต้องมีส่วนลดหรือ Margin of Safety เพื่อรองรับว่าเราประมาณการดีเกินไป ถ้าเราไม่มั่นใจในการประมาณก็ให้ส่วนลดมากหน่อย
อ่านอันนี้แล้วเข้าใจได้ดีขึ้นเลยครับ ขอบคุณมากครับ