สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 1
สวัสดีครับทุกคน
หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือของ พี่สุมาอี้
ที่เกี่ยวกับการ หามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น
ผมเริ่มเข้าใจครับว่า จะคำนวนยังไง
แต่ยังสงสัยว่า เราจะรู้ได้ยังไงว่า ควรจะประมาณการเติบโตของ EBIT ว่าเป็นกี่เปอร์เซ็น ???
มีวิธีไหนไหมครับ ที่จะบอกได้คร่าวๆ ว่าควรใช้ตัวเลขที่เท่าไหร่ ??
แล้วอีกคำถามคือ
ตัวอย่างในหนังสือ จะคิดว่าธุรกิจจะเติบโตไปช่วงเวลานึง จนตอนหลังจะเติบโตประมาณเท่าๆกับอัตราเงินเพ้อ
แล้วผมจะทราบได้อย่างไรครับว่า ต้องคิดเติบโตไปกี่ปี ก่อนที่จะมาคิดอัตราการเติบโตที่เท่ากับเงินเพ้ออ่ะครับ
มีส่วนไหนของรายงานประจำปี ,56-1 ,หรืองบการเงิน ที่พอจะให้คำตอบในสองคำถามนี้ได้ไหมครับ
ขอบคุณมากครับผม
ปล.ตอนแรกผมไปโพส ในห้องมือใหม่ ไม่มีใครมาตอบเลยอ่ะค้าบ T_T
เลยมาโพสห้องนี้ ขออภัยด้วยนะครับ
หลังจากที่ผมได้อ่านหนังสือของ พี่สุมาอี้
ที่เกี่ยวกับการ หามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น
ผมเริ่มเข้าใจครับว่า จะคำนวนยังไง
แต่ยังสงสัยว่า เราจะรู้ได้ยังไงว่า ควรจะประมาณการเติบโตของ EBIT ว่าเป็นกี่เปอร์เซ็น ???
มีวิธีไหนไหมครับ ที่จะบอกได้คร่าวๆ ว่าควรใช้ตัวเลขที่เท่าไหร่ ??
แล้วอีกคำถามคือ
ตัวอย่างในหนังสือ จะคิดว่าธุรกิจจะเติบโตไปช่วงเวลานึง จนตอนหลังจะเติบโตประมาณเท่าๆกับอัตราเงินเพ้อ
แล้วผมจะทราบได้อย่างไรครับว่า ต้องคิดเติบโตไปกี่ปี ก่อนที่จะมาคิดอัตราการเติบโตที่เท่ากับเงินเพ้ออ่ะครับ
มีส่วนไหนของรายงานประจำปี ,56-1 ,หรืองบการเงิน ที่พอจะให้คำตอบในสองคำถามนี้ได้ไหมครับ
ขอบคุณมากครับผม
ปล.ตอนแรกผมไปโพส ในห้องมือใหม่ ไม่มีใครมาตอบเลยอ่ะค้าบ T_T
เลยมาโพสห้องนี้ ขออภัยด้วยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2606
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 2
คือ ไม่มีที่ไหนเขียนบอกครับ ว่าบริษัทจะโตเท่าไหร่ ไปกี่ปี หรือ ยอดขายถดถอยลดลงครับ
คงต้องดูเอาเองว่าบริษัทเติบโตได้ เพราะอะไร เช่น
สังเกตุจากรอบๆ ตัวว่า มีดีมานต์ ในสินค้าหรือ บริการของบริษัทนั้นๆ เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมเติบโต และเทรนของ ความต้องการสินค้าหรือบริการนั้นๆ ยังน่าจะมากอยู่ต่อไปในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น มีช่วงนึง คนเริ่มใช้มือถือกันมากยิ่งขึ้น เพราะราคามันถูกลง บริษัทบริการมือถือ ก็มีให้บริการคนมากขึ้น อย่างมากขึ้นเรื่อยๆ ไปหลายๆ ปี
หรือ ว่า อุตสาหกรรมอาจจะไม่โตหรือไม่ก็ได้ แต่สินค้าและบริการนั้นๆ ของบริษัท มีอะไรที่เหนือกว่า คู่แข่ง ทำให้บริษัทสามารถ ไปกิน มาร์เกตแชร์ ของบริษัทอื่นๆ ได้ เพิ่มขึ้น อันนี้ ก็ต้องสังเกตุสิ่งรอบๆ ตัวของเราเหมือนกัน เช่น การค้าปลีกเมืองไทย ปกติก็โตไปตาม GDP แต่ ผู้บริโภค หันมา เข้าร้านค้าสะดวกซื้อใกล้บ้าน หรือ ไปซื้อ โมเดนเทรด มากกว่า อันนี้ก็ทำให้ร้านค้าเหล่านั้น เติบโตขึ้นได้ ขายสาขาไปเรื่อยๆ ได้ในหลายๆ ปีเช่นกัน
มันจะโตได้กี่ปี ก็ต้องดูว่า มันเข้าถึง กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ใกล้ครบหมดหรือยัง ถ้าใกล้แล้วมันก็จะทำให้โตได้ น้อยลงครับ
คงต้องดูเอาเองว่าบริษัทเติบโตได้ เพราะอะไร เช่น
สังเกตุจากรอบๆ ตัวว่า มีดีมานต์ ในสินค้าหรือ บริการของบริษัทนั้นๆ เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมเติบโต และเทรนของ ความต้องการสินค้าหรือบริการนั้นๆ ยังน่าจะมากอยู่ต่อไปในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น มีช่วงนึง คนเริ่มใช้มือถือกันมากยิ่งขึ้น เพราะราคามันถูกลง บริษัทบริการมือถือ ก็มีให้บริการคนมากขึ้น อย่างมากขึ้นเรื่อยๆ ไปหลายๆ ปี
หรือ ว่า อุตสาหกรรมอาจจะไม่โตหรือไม่ก็ได้ แต่สินค้าและบริการนั้นๆ ของบริษัท มีอะไรที่เหนือกว่า คู่แข่ง ทำให้บริษัทสามารถ ไปกิน มาร์เกตแชร์ ของบริษัทอื่นๆ ได้ เพิ่มขึ้น อันนี้ ก็ต้องสังเกตุสิ่งรอบๆ ตัวของเราเหมือนกัน เช่น การค้าปลีกเมืองไทย ปกติก็โตไปตาม GDP แต่ ผู้บริโภค หันมา เข้าร้านค้าสะดวกซื้อใกล้บ้าน หรือ ไปซื้อ โมเดนเทรด มากกว่า อันนี้ก็ทำให้ร้านค้าเหล่านั้น เติบโตขึ้นได้ ขายสาขาไปเรื่อยๆ ได้ในหลายๆ ปีเช่นกัน
มันจะโตได้กี่ปี ก็ต้องดูว่า มันเข้าถึง กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ใกล้ครบหมดหรือยัง ถ้าใกล้แล้วมันก็จะทำให้โตได้ น้อยลงครับ
- Hisoka
- Verified User
- โพสต์: 175
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 3
วิธี DCF ใช่เปล่าครับ อันนั้นแหละครับมันเป็นส่วนที่ยากของวิธีนี้ เพราะต้องอาศัยสมมติฐานและการประมาณมาก
ก็ต้องใช้การวิเคราะห์เศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของบริษัทครับ ว่าปีต่อไป อีกสองสามปีต่อไป หรือต่อๆไป
จะเป็นยังไง ส่งผลกับยอดขายหรือต้นทุนของบริษัทยังไงบ้าง แล้วค่อยคิดมาเป็นกำไรของปีนั้นๆ
อาศัยการ forecast ล้วนๆครับ พอถึงจุดที่เรามองไม่ออกแล้วว่าจะเป็นยังไง เราก็ให้มันโตคงที่เท่าเงินเฟ้อซะเลย ง่ายดี
พอได้ข้อมูลตรงนี้ที่เหลือก็ไม่ยากแล้วครับ เอาเข้ากระบวนการ DCF ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมา
แต่จะแม่นแค่ไหนก็อยู่ที่การ forecast ของเราแล้วครับ จึงเป็นเหตุให้มูลค่าที่แท้จริงของแต่ละคนมองไม่เท่ากัน
ถ้าสมมติฐานอนุรักษ์นิยมมากเกินไป มูลค่าที่แท้จริงที่หาได้ส่วนใหญ่จะต่ำกว่าราคาตลาดในขณะนั้นตลอด
แต่ถ้ามองโลกแง่ดีเกินไปก็มูลค่าที่แท้จริงที่หาได้ก็จะสูงเว่อๆ จนแทบไม่อยากเชื่อ
ก็ต้องใช้การวิเคราะห์เศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมของบริษัทครับ ว่าปีต่อไป อีกสองสามปีต่อไป หรือต่อๆไป
จะเป็นยังไง ส่งผลกับยอดขายหรือต้นทุนของบริษัทยังไงบ้าง แล้วค่อยคิดมาเป็นกำไรของปีนั้นๆ
อาศัยการ forecast ล้วนๆครับ พอถึงจุดที่เรามองไม่ออกแล้วว่าจะเป็นยังไง เราก็ให้มันโตคงที่เท่าเงินเฟ้อซะเลย ง่ายดี
พอได้ข้อมูลตรงนี้ที่เหลือก็ไม่ยากแล้วครับ เอาเข้ากระบวนการ DCF ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมา
แต่จะแม่นแค่ไหนก็อยู่ที่การ forecast ของเราแล้วครับ จึงเป็นเหตุให้มูลค่าที่แท้จริงของแต่ละคนมองไม่เท่ากัน
ถ้าสมมติฐานอนุรักษ์นิยมมากเกินไป มูลค่าที่แท้จริงที่หาได้ส่วนใหญ่จะต่ำกว่าราคาตลาดในขณะนั้นตลอด
แต่ถ้ามองโลกแง่ดีเกินไปก็มูลค่าที่แท้จริงที่หาได้ก็จะสูงเว่อๆ จนแทบไม่อยากเชื่อ
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 4
อ๋อคับ
ขอบคุณพี่ๆมากครับ
ขอบคุณพี่ๆมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 5
สงสัยอีกอย่างครับพี่
เวลาจะดูว่า บริษัทเติบโตกี่เปอร์เซ็น เทียบจากปีก่อน
จะดูที่ตัวเลขไหนกันเหรอครับ
กำไรสุทธิ , EBIT , หรือ EPS อ่าครับ
ขอบคุณครับผม
เวลาจะดูว่า บริษัทเติบโตกี่เปอร์เซ็น เทียบจากปีก่อน
จะดูที่ตัวเลขไหนกันเหรอครับ
กำไรสุทธิ , EBIT , หรือ EPS อ่าครับ
ขอบคุณครับผม
- Hisoka
- Verified User
- โพสต์: 175
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 6
ไม่รู้ว่าผมเป็นพี่หรือเปล่านะ เพราะอายุก็ยังไม่เท่าไร ยังไม่ 30 แต่ก็ใกล้ล่ะครับdropdeadkame เขียน:สงสัยอีกอย่างครับพี่
เวลาจะดูว่า บริษัทเติบโตกี่เปอร์เซ็น เทียบจากปีก่อน
จะดูที่ตัวเลขไหนกันเหรอครับ
กำไรสุทธิ , EBIT , หรือ EPS อ่าครับ
ขอบคุณครับผม
บริษัทโตกี่เปอร์เซ็นเทียบกับปีก่อน นี่เขาต้องบอกครับว่าอะไรโต ยอดขายหรือ กำไรสุทธิ
แต่ถ้าไม่ได้บอกน่าจะหมายถึงกำไรสุทธิ ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าบริษัท เพราะเราสนใจมูลค่าบริษัท
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 7
เข้าใจถูกแล้วครับ เหมือนเราตั้งแผงขายของริมฟุตปาธแถวประตูน้ำ เราจะดูว่าวันนี้แผงลอยเราดีขึ้นรึเปล่า เราก็ต้องดูก่อน ว่ากำไรดีขึ้นหรือไม่
ปกติใช้กำไรสุทธิดูการเติบโตตอนดูคร่าวๆ ดูตอนปลายของบัญชี คือดูสุทธิหลังจากหักค่าดอกค่าภาษีแล้ว เขาเรียกว่า NOPAT หรือ Net profit after tax
มันคือ Earning ที่ตลท. ใช้คำนวณ โชว์ค่า P/E ที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน
เอากำไรสุทธิ หารด้วยจำนวนหุ้น ก็จะเป็น EPS หรือ Earning per share กำไรต่อหุ้น
เอาราคาขณะนั้น P ตั้ง หารด้วย EPS รวมย้อนหลัง 4 ไตรมาส ก็จะเป็น P/E (Trailing P/E)
เพราะฉะนั้น กำไรสุทธิ (Earning หรือ NOPAT) และ EPS ถ้าโตจะโตเป็นอัตราส่วนเดียวกัน กำไรสุทธิ คือกำไรของทุกหุ้นรวมกันในบริษัท กำไรต่อหุ้น คือกำไร
P/E 10.0 แปลว่า ราคาซื้อขายหุ้น P ในตลาด มีมูลค่า 10 เท่า ของกำไรสุทธิระยะเวลา 1 ปี E แปลว่าราคาที่เราลงทุนไป ต้องทำกำไรให้คงที่เท่านี้ 10 ปี จึงจะคืนทุนพอดี
ตัวเลข Earning ทางปฏิบัติต้องไปดูละเอียดที่มาด้วย ว่ามีรายการพิเศษอะไรรึเปล่า อย่างเช่น ขายสินทรัพย์ หรือบางทีกำไรทางบัญชี ที่จับต้องไม่ได้จริง ยิ่งปีที่ผ่านมา เริ่มใช้ TAS (Thai Accounting Standards) หลายบริษัทที่ต้องมีการปรับตัวเลขทางบัญชีกันเยอะ ตัวเลขกำไรสุทธิเยอะ แต่ cash เข้าบริษัทอาจไม่เยอะตาม
ดังนั้น ต้องอ่านหมายเหตุประกอบงบ คู่กับตัวเลขด้วย ถึงบอกว่า "ดูคร่าวๆ"
แต่ว่ากำไรสุทธิอย่างเดียว ก็ไม่สามารถบอกอะไรได้ทั้งหมด การประเมินจึงต้องดูหลายๆ ด้านประกอบกัน
ที่บอกว่า อ่านหนังสือพี่สุมาอี้ ถ้าหมายถึงหนังสือการวัดมูลค่าหุ้น ลองพลิกไปดูหน้า 112 บอกไว้ว่า กลุ่มบุคคลที่เรียกร้องดอกผลบริษัท มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้าหนี้ และกลุ่มผู้ถือหุ้น(ที่เราเป็นหนึ่งในนั้นด้วย)
การประเมินมูลค่าเพื่อการลงทุนของเรา จึงต้องคำนวณมูลค่าของ Equity
และ ถ้าหักสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ ออกจาก Equity ก็จะได้ค่า Book Value คือมูลค่าของบริษัทอีกด้วย
นอกจากนี้ก็ดู ROI: Return on investment ก็สำคัญ เพราะ Earning ลอยๆ มันบอกไม่ได้ทั้งหมด เหมือนคุณบอก บริษัท ABC ในตลาด mai มีกำไรสิบล้าน กับ บริษัท WXY ใน SET กำไรพันล้าน ฟังดูเหมือน WXY จะดีกว่า แต่ถ้า WXY ทำกำไรให้แค่ 2% กับที่เราลงทุนไป เทียบกับ ABC ทำกำไรได้ถึง 25% ABC มีการดำเนินกิจการให้ผลกำไรดีกว่าแน่นอนเห็นได้ชัด
อย่างเช่น Return สำหรับกลุ่มผู้ถือหุ้น (ROE: Return on Equity) ประกอบด้วยการเอาค่า Earning/Equity มันคือการแสดงว่าบริษัทเราทำผลตอบแทนในรูปกำไรให้เรากี่% ของเงินที่เราลงทุนให้บริษัทเอาไปประกอบกิจการ
อีกอย่าง อย่างคุณ Green และคุณ Hisoka บอก
อธิบายอีกแนวคือเราจะเห็นว่าตัวเลขที่เห็น มันเป็นตัวเลขที่ผ่านมาในอดีตที่ผ่านมาหมาดๆ 4 ไตรมาสก่อน
ส่วนปัจจุบันที่ธุรกิจกำลังทำอยู่ไตรมาสนี้ จะรายงานปลายไตรมาส และอนาคตที่จะเกิดต่อๆ ไป ไม่มีใครประกันได้ว่ามันจะให้ผลงานได้ดีเท่าเดิม
หรือไม่แน่ อาจโตพรวดพราดกว่ากว่าเดิมจนน่าตกใจในความสำเร็จ
เขาถึงต้องมีการประเมินหลายรูปแบบ
ที่สำคัญประเมินเชิงคุณภาพประกอบด้วย ไม่หลสงเฉพาะตัวเลขสวยๆ ทำความรู้จักกับสินค้า บริการ และรู้จักคนทำงาน ก็คือคนบริหารและองค์กร
และดูสภาพแวดล้อมกลุ่มอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจประกอบ
เพราะพวกนี้ คือ behind the scene ตัวขับดันเบื้องหลังของตัวเลขกำไรขาดทุน, มูลค่าบริษัท, อัตราส่วนการเงิน และอัตราผลตอบแทนพวกนั้น ไม่ใช่เป็นตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ โดยไร้เหตุผล
การประเมินอนาคต ด้วยการใส่เลขว่าจะโตกี่ % ด้วยปัจจัยหลากหลายพวกนี้เอง ทำให้การประเมินออกมาแต่ละคนได้มูลค่าหุ้นไม่เท่ากัน แต่ละคนได้รับข้อมูลมาไม่เหมือนกันไม่ครบเท่ากันทั้งหมด และประสบการณ์ในการมองอนาคตมีไม่เท่ากันด้วย
ปกติใช้กำไรสุทธิดูการเติบโตตอนดูคร่าวๆ ดูตอนปลายของบัญชี คือดูสุทธิหลังจากหักค่าดอกค่าภาษีแล้ว เขาเรียกว่า NOPAT หรือ Net profit after tax
มันคือ Earning ที่ตลท. ใช้คำนวณ โชว์ค่า P/E ที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน
เอากำไรสุทธิ หารด้วยจำนวนหุ้น ก็จะเป็น EPS หรือ Earning per share กำไรต่อหุ้น
เอาราคาขณะนั้น P ตั้ง หารด้วย EPS รวมย้อนหลัง 4 ไตรมาส ก็จะเป็น P/E (Trailing P/E)
เพราะฉะนั้น กำไรสุทธิ (Earning หรือ NOPAT) และ EPS ถ้าโตจะโตเป็นอัตราส่วนเดียวกัน กำไรสุทธิ คือกำไรของทุกหุ้นรวมกันในบริษัท กำไรต่อหุ้น คือกำไร
P/E 10.0 แปลว่า ราคาซื้อขายหุ้น P ในตลาด มีมูลค่า 10 เท่า ของกำไรสุทธิระยะเวลา 1 ปี E แปลว่าราคาที่เราลงทุนไป ต้องทำกำไรให้คงที่เท่านี้ 10 ปี จึงจะคืนทุนพอดี
ตัวเลข Earning ทางปฏิบัติต้องไปดูละเอียดที่มาด้วย ว่ามีรายการพิเศษอะไรรึเปล่า อย่างเช่น ขายสินทรัพย์ หรือบางทีกำไรทางบัญชี ที่จับต้องไม่ได้จริง ยิ่งปีที่ผ่านมา เริ่มใช้ TAS (Thai Accounting Standards) หลายบริษัทที่ต้องมีการปรับตัวเลขทางบัญชีกันเยอะ ตัวเลขกำไรสุทธิเยอะ แต่ cash เข้าบริษัทอาจไม่เยอะตาม
ดังนั้น ต้องอ่านหมายเหตุประกอบงบ คู่กับตัวเลขด้วย ถึงบอกว่า "ดูคร่าวๆ"
แต่ว่ากำไรสุทธิอย่างเดียว ก็ไม่สามารถบอกอะไรได้ทั้งหมด การประเมินจึงต้องดูหลายๆ ด้านประกอบกัน
ที่บอกว่า อ่านหนังสือพี่สุมาอี้ ถ้าหมายถึงหนังสือการวัดมูลค่าหุ้น ลองพลิกไปดูหน้า 112 บอกไว้ว่า กลุ่มบุคคลที่เรียกร้องดอกผลบริษัท มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้าหนี้ และกลุ่มผู้ถือหุ้น(ที่เราเป็นหนึ่งในนั้นด้วย)
การประเมินมูลค่าเพื่อการลงทุนของเรา จึงต้องคำนวณมูลค่าของ Equity
และ ถ้าหักสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ ออกจาก Equity ก็จะได้ค่า Book Value คือมูลค่าของบริษัทอีกด้วย
นอกจากนี้ก็ดู ROI: Return on investment ก็สำคัญ เพราะ Earning ลอยๆ มันบอกไม่ได้ทั้งหมด เหมือนคุณบอก บริษัท ABC ในตลาด mai มีกำไรสิบล้าน กับ บริษัท WXY ใน SET กำไรพันล้าน ฟังดูเหมือน WXY จะดีกว่า แต่ถ้า WXY ทำกำไรให้แค่ 2% กับที่เราลงทุนไป เทียบกับ ABC ทำกำไรได้ถึง 25% ABC มีการดำเนินกิจการให้ผลกำไรดีกว่าแน่นอนเห็นได้ชัด
อย่างเช่น Return สำหรับกลุ่มผู้ถือหุ้น (ROE: Return on Equity) ประกอบด้วยการเอาค่า Earning/Equity มันคือการแสดงว่าบริษัทเราทำผลตอบแทนในรูปกำไรให้เรากี่% ของเงินที่เราลงทุนให้บริษัทเอาไปประกอบกิจการ
อีกอย่าง อย่างคุณ Green และคุณ Hisoka บอก
อธิบายอีกแนวคือเราจะเห็นว่าตัวเลขที่เห็น มันเป็นตัวเลขที่ผ่านมาในอดีตที่ผ่านมาหมาดๆ 4 ไตรมาสก่อน
ส่วนปัจจุบันที่ธุรกิจกำลังทำอยู่ไตรมาสนี้ จะรายงานปลายไตรมาส และอนาคตที่จะเกิดต่อๆ ไป ไม่มีใครประกันได้ว่ามันจะให้ผลงานได้ดีเท่าเดิม
หรือไม่แน่ อาจโตพรวดพราดกว่ากว่าเดิมจนน่าตกใจในความสำเร็จ
เขาถึงต้องมีการประเมินหลายรูปแบบ
ที่สำคัญประเมินเชิงคุณภาพประกอบด้วย ไม่หลสงเฉพาะตัวเลขสวยๆ ทำความรู้จักกับสินค้า บริการ และรู้จักคนทำงาน ก็คือคนบริหารและองค์กร
และดูสภาพแวดล้อมกลุ่มอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจประกอบ
เพราะพวกนี้ คือ behind the scene ตัวขับดันเบื้องหลังของตัวเลขกำไรขาดทุน, มูลค่าบริษัท, อัตราส่วนการเงิน และอัตราผลตอบแทนพวกนั้น ไม่ใช่เป็นตัวเลขที่ขึ้นๆ ลงๆ โดยไร้เหตุผล
การประเมินอนาคต ด้วยการใส่เลขว่าจะโตกี่ % ด้วยปัจจัยหลากหลายพวกนี้เอง ทำให้การประเมินออกมาแต่ละคนได้มูลค่าหุ้นไม่เท่ากัน แต่ละคนได้รับข้อมูลมาไม่เหมือนกันไม่ครบเท่ากันทั้งหมด และประสบการณ์ในการมองอนาคตมีไม่เท่ากันด้วย
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 8
เขียนตก
เพราะฉะนั้น กำไรสุทธิ (Earning หรือ NOPAT) และ EPS ถ้าโตจะโตเป็นอัตราส่วนเดียวกัน กำไรสุทธิ คือกำไรของทุกหุ้นรวมกันในบริษัท กำไรต่อหุ้น คือกำไรถ้าใครเป็นเจ้าของหุ้น เพียง 1 หุ้นของบริษัทนี้ ถ้ามี 100 หุ้น ก็เอาร้อยคูณเข้าไป เป็นต้น
เพราะฉะนั้น กำไรสุทธิ (Earning หรือ NOPAT) และ EPS ถ้าโตจะโตเป็นอัตราส่วนเดียวกัน กำไรสุทธิ คือกำไรของทุกหุ้นรวมกันในบริษัท กำไรต่อหุ้น คือกำไรถ้าใครเป็นเจ้าของหุ้น เพียง 1 หุ้นของบริษัทนี้ ถ้ามี 100 หุ้น ก็เอาร้อยคูณเข้าไป เป็นต้น
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 10
charonp เขียน:ไม่ทราบว่าหนังสือของพี่ สุมาอี้ นี่ชื่อว่าอะไรเหรอครับ
Ii'8N เขียน: ที่บอกว่า อ่านหนังสือพี่สุมาอี้ ถ้าหมายถึงหนังสือการวัดมูลค่าหุ้น ลองพลิกไปดูหน้า 112 บอกไว้ว่า กลุ่มบุคคลที่เรียกร้องดอกผลบริษัท มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้าหนี้ และกลุ่มผู้ถือหุ้น(ที่เราเป็นหนึ่งในนั้นด้วย)
การประเมินมูลค่าเพื่อการลงทุนของเรา จึงต้องคำนวณมูลค่าของ Equity
วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง
เล่มอื่นๆ ไปดูที่ http://dekisugi.net/books
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 11
ลองไปหาซื้อที่ se-ed ไม่เห็นมีเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 13
แนะนำที่ จัตจักรตรงที่ขายหนังสือเก่าๆอ่ะครับfinanceseed เขียน:ลองไปหาซื้อที่ se-ed ไม่เห็นมีเลยครับ
แต่เล่มใหม่มือหนึ่งก้อมี
100 บาทเท่านั้น
มีหนังสือของพี่สุมาอี้ครบชุดเลยครับ
ลดราคามากมาย !!!
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณมากเลยครับบบบบ
ชัดเจนมากมาย
ชัดเจนมากมาย
-
- Verified User
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สงสัยเกี่ยวกับ การหามูลค่าหุ้นครับ
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณท่าน จขกท สำหรับคำถามที่มีประโยชน์มากครับ
และขอขอบคุณทุก ๆ คำตอบและข้อคิดเห็นรวมถึงข้อมูลครับ
และขอขอบคุณทุก ๆ คำตอบและข้อคิดเห็นรวมถึงข้อมูลครับ