หน้า 1 จากทั้งหมด 1
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 12:21 pm
โดย ลูกอิสาน
อ่านข่าวรัฐะระดมสมอง CEO ของ 50 บริษัทที่ประกอบเป็นดัชนี set 50
ที่ดุสิต รีสอร์ท หัวหิน แล้ว ให้นึกถึงบทความนี้...
"เรากำลังพูดถึงโครงการฟื้นฟูตลาดทุนมากมาย แต่ไม่มีข้อไหนเลยที่จะจับเข้าไปที่หัวใจของปัญหา คือเรื่องของนักลงทุนในตลาด และภาพของตลาดหลักทรัพย์ว่า ตลาดหลักทรัพย์คืออะไรกันแน่ ในสายตาของประชาชนทั่วไปที่มีเงินพร้อมจะลงทุน แต่ตลาดหลักทรัพย์กลับไม่ใช่ทางเลือกของเขา ทั้งๆที่การฝากเงินกับธนาคารในปัจจุบันให้ผลตอบแทนเพียง 2-3 % ต่อปีเท่านั้น
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากจ่ายปันผลมากกว่า 5 % ต่อปี โดยที่แนวโน้มการจ่ายในอนาคตผมดูแล้วไม่ลดลง แต่กลับไม่มีคนสนใจผลทุนซื้อหุ้นประเภทนี้ ในขณะที่หุ้นที่กิจการมีปัญหา ไม่สามารถจ่ายปันผลได้จำนวนมาก กลับเป็นที่นิยมของคนเล่นหุ้น ที่ต้องการความหวือหวาของราคาในลักษณะการเก็งกำไร
แปลกไหมครับ กิจการดีคนไม่สนใจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่สนใจ แต่กิจการไม่ค่อยดี อนาคตไม่แน่นอน แย่งกันลงทุน หน่วยงานต่างๆให้ความสนใจสนับสนุนให้มีการซื้อขายเก็งกำไรกัน
นี่คือความจริงที่ตลาดหุ้นไทยที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่กล้าพูดถึง"
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 12:47 pm
โดย ลูกอิสาน
ข้างต้นเป็นบทความในกรุงเทพธุรกิจเขียนไว้ประมาณกลางปี 2544 โดยท่าน ดร. นิเวศน์ ผมหยิบบทความนี้ขึ้นมาอ่านเพราะได้ดูข่าวรัฐกำลังระดมสมองพัฒนาตลาดทุนไทยที่หัวหิน
แต่ส่วนตัวผมคิดว่าให้ประชุมกันอีกร้อยครั้ง ผมลัพธ์ก็คงเหมือนเดิม คือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะอะไรครับ
เพราะคนแก้ปัญหา
ไม่รู้สาเหตุของปัญหา ว่าที่จริงแล้ว ภาพพจน์ของตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็เหมือนเดิม คือเป็นแหล่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุด ชนิดที่ว่าเป็นปิศาจร้ายในสายตาของประชาชนทั่วไปเลยที่เดียว...และมันก็มีเหตุมีผลจริงๆซะด้วย ที่ทำให้ประชาชนทั่วไปคิดเช่นนั้น เพราะเกือบๆ ร้อยเปอร์เซนต์ของคนเล่นหุ้น เจ็งหุ้นมาแล้วทั้งนั้น...
ทำให้ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมการฝากเงินกับธนาคาร จึงเป็นการออมที่นิยมมากที่สุด แม้จะทำให้ได้ผลตอบแทนติดลบหลังจากหักลบกับเงินเฟ้อแล้ว
ข้อมูลจากพี่เจ๋งมีคนที่มีเงินฝากมากกว่า 10 ล้านบาท ทั้งประเทศไทยมีประมาณ 50,000 คนเลยที่เดียว หรือประมาณ 500,000 ล้าน และหากนับรวมคนที่มีเงินฝากมากกว่า 1 ล้านบาทน่าจะมีอีกมากที่เดียว หากผมจำไม่ผิดเงินฝากทั้งประเทศรวมกัน สูงกว่ามูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์รวมกันครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ ฝากเงินได้ผลตอบแทน 2-3 % ดีกว่าลงทุนในหุ้นที่ได้รับปันผล 4-10 % ได้อย่างไร..

หลงทาง....
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 2:00 pm
โดย นักดูดาว
นักลงทุนเยอะแยะที่ไม่รู้ว่าหุ้นที่ตนซื้อเป็นของบริษัทอะไร ทำกิจการอะไร
กำไรต่อหุ้นเท่าไหร่ คงเป็นส่วนน้อยมากที่อ่านงบการเงินได้ และน้อยกว่านั้นที่เข้าใจธุรกิจของบริษัทที่ตนซื้อหุ้นอย่างแท้จริง
ตราบใดที่ไม่มีความรู้ ผมไม่คิดว่าจะมีคนส่วนมากจะลงทุนรับปันผล 4-10% ครับ
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 2:13 pm
โดย ลูกอิสาน
ที่ผ่านมาดูเหมือนจะมีนักลงทุน 3 กลุ่มเท่านั้นที่ทำกำไรได้จากตลาดหุ้นไทย
-กองทุนต่างชาติ+กองทุนไทยบางกลุ่ม
-เสี่ยนักปั่นทั้งหลาย หรือพวกแมงมุมนั่นเอง
-นักลงทุนเน้นคุณค่าหลายท่าน
ส่วนกลุ่มที่ขาดทุน แน่นอนว่ามักเป็นนักลงทุนรายย่อยทั่วๆไป ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของนักลงทุนนั่นเอง น่าแปลกที่คนที่มีเงินรวมกันล้านล้าน กลับให้กองทุนต่างชาติที่มีเงินแค่หมื่นแค่แสนล้าน จูงจมูกทุกครั้งไป
แน่นอนว่าเงินที่กองทุนต่างชาติทำกำไรได้ ก็จะนำออกไปนอกประเทศ บางปีนักลงทุนเหล่านี้นำเงินกำไรออกไปมากกว่า ดุลการค้า ที่เราใช้ทรัพยากรทั้งชาติผลิต ทำได้เสียอีก...
แล้วทำไมรัฐจึงยอมให้เป็นเช่นนั้น มาตรการทั้งหลายก็ดูจะสนับสนุนนักลงทุน สองกลุ่มแรกเสียทุกครั้ง เพราะดันไปเข้าใจว่าตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้เพราะเม็ดเงินจากนักลงทุนสองกลุ่มแรก เลยลืมคิดไปว่ายังมีเงินอีกนับล้านล้าน ที่นอนแช่อยู่ในธนาคาร เพื่อดอกเบี้ยแค่ 2-3% หากมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทยประมาณ 4 ล้านล้านบาท และมีหุ้นหมุนเวียนประมาณ 50 % หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท ดังนั้นหากนักลงทุนนำเงินฝากทั้งหมดมาซื้อหุ้นเหล่านี้ สามารถซื้อหุ้นได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน....
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 2:33 pm
โดย นักดูดาว
เก็บภาษีหักณที่จ่ายจากกำไรจากส่วนเกินทุนที่รับรู้รายได้แล้วสิครับ พวกเก็งกำไรหายไปทันที
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 3:41 pm
โดย ลูกอิสาน
วงจรณ์อุบาทร์ของตลาดหุ้นไทย...
ภาวะก่อนตลาดกระทิง --- รายย่อยหมดความอดทนขายหุ้นและหายไปจากตลาด>>>กองทุนต่างชาติเก็บหุ้นตัวใหญ่ ลากดัชนี>>> เสี่ยนักปั่น ปั่นหุ้นตัวเล็กหุ้นเน่า>>>รายย่อยกลับมาอีกครั้ง ซื้อตามเสี่ยนักปั่น
ภาวะหลังจากตลาดกระทิง --- กองทุนต่างชาติขายทำกำไร>>>เสี่ยนักปั่นขายหุ้นทำกำไร>>> รายย่อยถือหุ้น-รับหุ้น ไม่กล้าขายขาดทุน
จะเห็นได้ว่ากลุ่มที่ขาดทุนทุกครั้งไปคือนักลงทุนรายย่อย กลุ่มที่ได้กำไรคือกองทุนต่างชาติ+เสี่ยนักปั่น วงจรณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำซากทุกครั้งไป ตลาดหุ้นไทยจึงมีภาพพจณ์เป็นสุสานของการลงทุน ไม่น่าแปลกที่จะมีเงินฝากมหาศาลในธนาคารเพื่อดอกเบี้ยอันน้อยนิด...
สาเหตุ คือนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ข้อนี้สำคัญที่สุด สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ
-รัฐะไม่เคยรับรู้ว่านักลงทุนรายย่อย เป็นกลุ่มที่สำคัญที่สุดของตลาดหุ้นไทย
จึงไม่เคยติดอาวุธทางปัญญา โดยการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่นักลงทุน ไม่มีนโยบายที่จะสนับสนุนการลงทุนในระยะยาวในตลาดหุ้นไทย เพราะหน่วยงานเหล่านี้มักมองผลในระยะสั้นเท่านั้น ในแง่มูลค่าการซื้อขาย และระดับของดัชนี พูดให้ชัดคือมองระยะสั้นๆ แบบนักการเมืองเวลาหาเสียง
- โบรคเกอร์ มาร์เกตติ้ง ที่ได้รับผลประโยชน์จากมูลค่าการซื้อขาย แน่นอนว่าต้องการให้ลูกค้ามีการซื้อขายเยอะๆ หากนักลงทุนหันไปลงทุนระยะยาวกันหมด มูลค่าการซื้อขายคงลดไปมาก โบรคเกอร์และมาร์เก็ตติ้งส่วนใหญ่คงต้องหายไป ..
ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างนั้นมิใช่เหรอครับ พูดกันตรงๆ ก็คือโบรคเกอร์และมาร์เก็ตติ้งเป็นส่วนเกิน ของระบบเศรษกิจนั่นเอง เพราะส่วนใหญ่มีการศึกษาอย่างน้อยปริญญาตรี แต่ทำหน้าที่แค่รับโทรศัพท์และคีร์ออเดอร์ให้ลูกค้า

หลงทาง....
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 4:56 pm
โดย ลูกอิสาน
พูดถึงทางออกบ้าง เดี๋ยวจะเป็นว่าดีแต่ติ..
- บรรจุหลักสูตรการลงทุนในการเรียนชั้นมัธยมหรือประถม เป็นหลักสูตรบังคับ
ให้ความรู้การลงทุนที่ถูกต้อง ให้ตัวอย่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
-เงินกองทุนตลาดหลัพทรัพย์นับหมื่นล้าน (เก็บจากบริษัทจดทะเบียนทุกปี) เก็บเอาไว้ทำไม ทำไมไม่นำดอกผลเพื่อใช้ในการให้ความรู้ การลงทุนที่ควรจะเป็นแก่ประชาชน การออกบูท การจัดทำโปรแกรมทีวี ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน แต่น้อยเกินไปมาก
-
ส่งเสริมการใช้อินเตอร์เนทในการซื้อขาย ลดบทบาทของมาร์เก็ตติ้งซึ่งมักมีคำแนะนำให้ซื้อ-ขายบ่อยๆ อาจจะโดยการลดธรรมเนียมการซื้อขายลงไปอีก
ในต่างประเทศเช่น อเมริกา ผมไม่แน่ใจว่ายังมีมาร์เก็ตติ้งอยู่อีกหรือเปล่า แม้ในประเทศในเอเชียเช่น เกาหลีใต้ สัดส่วนการซื้อขายทางอินเตอร์เนทสูงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดคงไม่มีอาชีพมาร์เก็ตติ้งอีกต่อไป ซึ่งผมคิดว่าเมืองไทยก็คงเป็นเช่นนั้น แม้ว่ายังจะไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้
-
มาตรการทางภาษี เช่นการให้ใช้มาตรการทางภาษี ในการจูงใจในการลงทุนระยะยาวเหมือนที่เพิ่งมีการดำริที่จะทำ หรือควรจะเก็บภาษีกำไรที่เกิดจากการซื้อขายหุ้นเช่น เก็บภาษี 10-20% จากกำไรหุ้นที่ถือน้อยกว่า 1 เดือน เหมือนที่คุณนักดูดาวว่าไว้ครับ แต่ผมไม่คิดว่านักเก็งกำไรจะหายไปซะที่เดียว แต่มูลค่าการซื้อขายคงจะลดลงพอสมควร
-ดำเนินการทางกฎหมายกับนักปั่นหุ้นและเจ้าของกิจการที่ฉ้อฉลนักลงทุน อย่างเด็ดขาด (ว่าแต่ผู้บริหาร roynet ยังคงลอยนวล

)
- ลดบทบาทนักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ออกทีวี เพราะน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า ที่จะสื่อให้นักลงทุนทั่วไปทราบว่าหุ้นตัวใดดีหรือไม่ดี เพราะปัจจัยอย่างโน้น อย่างนี้ มากกว่าจะบอกว่าหุ้นดีหรือไม่ดี เพียงแค่ดูรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา
คิดได้แค่นี้ละครับ เพื่อนๆมีอะไรเสริมไหวครับ
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 4:58 pm
โดย FINAL ANSWER
กิเลสและความโลภคือคำตอบสุดท้าย
ให้พระอรหันต์มาลงทุนเท่านั้นถึงจะเป็นอย่างที่คุณต้องการ
ให้เขาทำให้เขาแก้ไปเถอะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2004 7:18 pm
โดย chatchai
การที่นักลงทนรายย่อยเล่นห้นแบบซื้อๆขายๆนั้นเป็นขมทรัพย์ของผ้ที่เกี่ยวข้องกับธรกิจหลักทรัพย์ครับ
ลองนึกดว่า ถ้ารายย่อยลงทนแบบ VI มลค่าการซื้อขายจะลดลงเท่าไร บล.ทั้งหลายคงมีรายได้ลดลง มลค่าห้นของบล.ก็ลดลงด้วย อาชีพมาร์เก็ตติ้งก็คงไม่มีใครสนใจ รายใหญ่ขาปั่นก็คงหมดทางทำมาหากิน
แล้วบคคลที่ได้รับผลประโยชน์เป็นใครกันบ้างครับ ใกล้ชิดกับใครบ้างครับ แค่จะเปิดเสรีค่าคอม.ยังไม่ได้เลยครับ
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 14, 2004 10:32 am
โดย เตียบ่อกี้
เขาว่ากันว่า สิ่งที่ขาใหญ่นักปั่นกลัวที่สุดไม่ใช่ กลต แต่กลัวปั่นแล้วไม่ไม่รายย่อยมาติดกับครับ
ถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่เปิดตลาดมา ยังไม่เคยมีนักปั่นคนไหนไปนั่งกินข้าวแดงซักคนเลยนะ
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 14, 2004 6:14 pm
โดย หวังหวัง
เห็นด้วยครับ...เรื่องพัฒนาตลาดทุน
ถึงจะส่งเสริมให้ลงทุนระยะยาว
แต่เมื่อรับปันผล ก็เจอหักภาษีเยอะนะครับ
อันนี้น่าจะมีมาตรการลดภาษีเงินปันผลลงบ้าง...
จูงใจให้คนที่เกษียนแล้ว หันมาถือหุ้นกันมากๆ
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 14, 2004 7:15 pm
โดย บุคคลทั่วไป
วงจรณ์อุบาทร์ของตลาดหุ้นไทย...
ภาวะก่อนตลาดกระทิง --- รายย่อยหมดความอดทนขายหุ้นและหายไปจากตลาด>>>กองทุนต่างชาติเก็บหุ้นตัวใหญ่ ลากดัชนี>>> เสี่ยนักปั่น ปั่นหุ้นตัวเล็กหุ้นเน่า>>>รายย่อยกลับมาอีกครั้ง ซื้อตามเสี่ยนักปั่น
ภาวะหลังจากตลาดกระทิง --- กองทุนต่างชาติขายทำกำไร>>>เสี่ยนักปั่นขายหุ้นทำกำไร>>> รายย่อยถือหุ้น-รับหุ้น ไม่กล้าขายขาดทุน
โดนใจจริงๆ ครับตรงนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วงจรอุบาทร์อย่างนี้ถึงจะหมดไปสักที
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2004 12:50 am
โดย tenkafubu
ผมเห็นด้วยกับพี่ๆ ทุกท่านครับ...
เพื่อนผม วันก่อนผมเพิ่งติดต่อหาเพื่อนสาวๆ ที่ไม่เจอกันนาน
คุยไปคุยมา ขาดทุนไปหลายหมื่นครับ..เฮ้อน่าสงสาร
ผมก็เทศน์ไปหลายยก ..กะว่าคุณเธอจะเข้าใจแนวทาง value ครับ
สุดท้าย คุณเธอบอกว่า เดี๋ยวรอให้ ดีดมาเท่าทุน ก่อนค่อยมาเริ่ม VI
ผมว่า ไม่พ้นวงจรนี้อีกครับ..
เป็นห่วงจริงๆ น่ารักด้วย แต่ไม่เชื่อกันเลย เฮ้อเศร้า
ขอให้โลกนี้ มีความสุขและสงบ
ทุกหัวใจมีรักครับ
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2004 10:50 am
โดย ayethebing
ผมว่าปัญหาของตลาดทุนบ้านเราอยู่ที่:
1. ธรรมาภิบาลของบริษัทในตลาด 100 นึงมี 60ที่คิดเรื่องพวกนี้ ใน 60 อาจจะมีสัก 20 ที่ยังคิดเรื่องพวกนี้เมื่อมีต้นทุนในการทำธรรมาภิบาล
2. Double standard ของผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ เช่นกรณีเดียวกันกับสองบริษัท อันนึงเป็นการปั่นหุ้น อันนึงไม่เป็น
3. ความเข้าใจว่าการเล่นหุ้น คือหวยของคนรวย
4. ขาดบริษัทชั้นดีในตลาด ทำไมไม่มีหุ้นอย่าง MKสุกี้ ฟูจิ ไทยรัฐ ในตลาดหนอ
5. และแน่นอน รัฐบาลเห็นว่าการแก้ไขปัญหาของตลาดทุนคือการเพิ่ม set index
หลงทาง....
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2004 4:30 pm
โดย kriser
เห็นด้วย เลยครับ วันก่อนไปสัมพาดงาน mkt มา อะครับเค้าให้ตั้งเป้าเลย นะครับว่าต้อง trade ให้ได้เดือนละ 20 ล้านนะครับ

เหอะๆๆๆ เค้าบอกว่าไม่ยากสื หรอก คนส่วนใหญ่ชอบ เล่นสั้นๆๆ ซื้อๆๆ ขายๆๆ มิน่าแหละแมงเม่าเต็มตลาดเลย อะ