จิตวิทยาการลงทุน เอาไว้ทบทวนตัวเอง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 25, 2011 1:19 pm
พอดีช่วงนี้หุ้นตกๆ และได้อ่านหนังสือดีเล่มหนึ่งกล่าวไว้ถึงจิตวิทยาการลงทุน ผมก็เลยเอามาใช้ทบทวนตัวเองอีกที เพื่อปรับปรุงการลงทุนของตัวเอง หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างนะครับ
กล่าวกันว่านักลงทุนส่วนใหญ่มีอคติทางการรับรู้ ซึ่งส่งผลต่อการซื้อขายหุ้นของเรา ดังนี้
Loss aversion ผลของเรื่องนี้คือ คนให้ความสำคัญของการขาดทุนมากกว่ากำไรที่ได้ ในทางตัวเลขกำไร 10 บาท กับขาดทุน 10 บาทก็มีผลเท่ากัน แต่คนจะกลัวขาดทุน 10 บาทมากกว่ากลัวไม่ได้กำไร 10 บาท (แน่นอนบางคนอาจจะกลัวขาดทุนแค่ 5 บาท เมื่อเทียบกับโอกาสกำไร 15 บาท)
Sunk cost effect คือ ยึดติดกับเงินที่ลงทุนไปแล้ว มากกว่าเงินที่จะต้องเสียในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น หุ้นตัวนึงที่เราถือไว้ จู่ๆ กลับประกาศเพิ่มทุุน โดยเรามองว่าการเพิ่มทุนนั้นไม่สมเหตุสมผล จริงๆ เราควรจะขายทิ้ง แต่เนื่องจากเราถือหุ้นนั้นอยู่และราคาหุ้นนั้นได้ตกลงมาพอควรแล้วเพราะรับข่าวเพิ่มทุน ประกอบกับราคาเพิ่มทุนต่ำกว่ากระดานมาก เราจึงตัดสินใจที่จะใส่เงินเพิ่มตามไป ถ้าการเพิ่มทุนนั้น ไม่มีผลดีอย่างที่เราคิดจริงสุดท้ายเราก็ขาดทุนอยู่ดี
Disposition effect อันนี้เป็นความโน้มเอียงที่ผู้คนจะยอมขายหุ้นเมื่อมันยังมีกำไร แต่ยอมถือตัวที่ Loss ต่อไป
Outcome bias อันนี้ หมายถึงอคติที่เรามีแนวโน้มที่จะตัดสินอะไรจากผลที่ออกมามากกว่า คุณภาพการตัดสินใจ เช่น เราซื้อหุ้นสองตัว ตัวนึงเป็นหุ้นพื้นฐานดี ปันผลดี เราถือไว้กำไรไม่มาก หุ้นอีกตัวเป็นหุ้นพรายกระซิบ แต่ทำกำไรให้เรามหาศาล เพื่อรูปแบบนี้ดำเนินไปสักสองสามครั้ง เราก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มไม่เชื่อการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง แต่หันไปเล่นหุ้นพรายกระซิบแทน
Recency bias คือ คนเรามีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุด มากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เช่น การขาดทุนที่เพิ่งเกิดวันนี้ ทำให้เราเจ็บปวดมากกว่าการขาดทุนที่เกิดขึ้นปีก่อน
Anchoring อันนี้สำคัญ เป็นแนวโน้มที่บอกว่าเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อในข้อมูลที่มีอยู่ให้เห็นตรงหน้า มากกว่าข้อมูลที่เราไม่เห็น ข้อนี้อาจทำให้เราประเมินภาพไปผิดมากมาย เพราะทำให้เราเชื่อมั่นเกินเหตุกับข้อมูลที่มีอยู่ (อาจจะแค่ 30% ก็ได้ แต่เราไม่รู้ว่ายังมีข้อมูลอีก 70% ที่อาจทำให้เราต้องไปคิดใหม่ทีเดียว)
Bandwagon effect เป็นแนวโน้มที่เราจะคล้อยตามคนหมู่มาก ซึ่งอาจจะไม่ต้องถูกเสมอไป
Belief in the law of small numbers อันนี้คือการที่ผู้คนใช้ข้อสรุปผิดๆ จากจำนวนตัวอย่างที่น้อยเกินกว่าที่จะมาทำข้อสรุปได้ เช่น ถ้าเราเจอผู้หญิง 7 คนจาก 10 คนที่ชอบช็อปปิ้ง คงง่ายไปที่จะสรุปว่าผู้หญิง 70% ชอบช็อปปิ้ง เพราะเมื่อสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ เช่น 1000 คน อาจพบว่ามีเพียง 500 คนที่ชอบช็อปปิ้งก็ได้
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ในการเอามาทบทวนแผนการลงทุนของทุกท่านไม่มากก็น้อยครับ
กล่าวกันว่านักลงทุนส่วนใหญ่มีอคติทางการรับรู้ ซึ่งส่งผลต่อการซื้อขายหุ้นของเรา ดังนี้
Loss aversion ผลของเรื่องนี้คือ คนให้ความสำคัญของการขาดทุนมากกว่ากำไรที่ได้ ในทางตัวเลขกำไร 10 บาท กับขาดทุน 10 บาทก็มีผลเท่ากัน แต่คนจะกลัวขาดทุน 10 บาทมากกว่ากลัวไม่ได้กำไร 10 บาท (แน่นอนบางคนอาจจะกลัวขาดทุนแค่ 5 บาท เมื่อเทียบกับโอกาสกำไร 15 บาท)
Sunk cost effect คือ ยึดติดกับเงินที่ลงทุนไปแล้ว มากกว่าเงินที่จะต้องเสียในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น หุ้นตัวนึงที่เราถือไว้ จู่ๆ กลับประกาศเพิ่มทุุน โดยเรามองว่าการเพิ่มทุนนั้นไม่สมเหตุสมผล จริงๆ เราควรจะขายทิ้ง แต่เนื่องจากเราถือหุ้นนั้นอยู่และราคาหุ้นนั้นได้ตกลงมาพอควรแล้วเพราะรับข่าวเพิ่มทุน ประกอบกับราคาเพิ่มทุนต่ำกว่ากระดานมาก เราจึงตัดสินใจที่จะใส่เงินเพิ่มตามไป ถ้าการเพิ่มทุนนั้น ไม่มีผลดีอย่างที่เราคิดจริงสุดท้ายเราก็ขาดทุนอยู่ดี
Disposition effect อันนี้เป็นความโน้มเอียงที่ผู้คนจะยอมขายหุ้นเมื่อมันยังมีกำไร แต่ยอมถือตัวที่ Loss ต่อไป
Outcome bias อันนี้ หมายถึงอคติที่เรามีแนวโน้มที่จะตัดสินอะไรจากผลที่ออกมามากกว่า คุณภาพการตัดสินใจ เช่น เราซื้อหุ้นสองตัว ตัวนึงเป็นหุ้นพื้นฐานดี ปันผลดี เราถือไว้กำไรไม่มาก หุ้นอีกตัวเป็นหุ้นพรายกระซิบ แต่ทำกำไรให้เรามหาศาล เพื่อรูปแบบนี้ดำเนินไปสักสองสามครั้ง เราก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มไม่เชื่อการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง แต่หันไปเล่นหุ้นพรายกระซิบแทน
Recency bias คือ คนเรามีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุด มากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เช่น การขาดทุนที่เพิ่งเกิดวันนี้ ทำให้เราเจ็บปวดมากกว่าการขาดทุนที่เกิดขึ้นปีก่อน
Anchoring อันนี้สำคัญ เป็นแนวโน้มที่บอกว่าเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อในข้อมูลที่มีอยู่ให้เห็นตรงหน้า มากกว่าข้อมูลที่เราไม่เห็น ข้อนี้อาจทำให้เราประเมินภาพไปผิดมากมาย เพราะทำให้เราเชื่อมั่นเกินเหตุกับข้อมูลที่มีอยู่ (อาจจะแค่ 30% ก็ได้ แต่เราไม่รู้ว่ายังมีข้อมูลอีก 70% ที่อาจทำให้เราต้องไปคิดใหม่ทีเดียว)
Bandwagon effect เป็นแนวโน้มที่เราจะคล้อยตามคนหมู่มาก ซึ่งอาจจะไม่ต้องถูกเสมอไป
Belief in the law of small numbers อันนี้คือการที่ผู้คนใช้ข้อสรุปผิดๆ จากจำนวนตัวอย่างที่น้อยเกินกว่าที่จะมาทำข้อสรุปได้ เช่น ถ้าเราเจอผู้หญิง 7 คนจาก 10 คนที่ชอบช็อปปิ้ง คงง่ายไปที่จะสรุปว่าผู้หญิง 70% ชอบช็อปปิ้ง เพราะเมื่อสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ เช่น 1000 คน อาจพบว่ามีเพียง 500 คนที่ชอบช็อปปิ้งก็ได้
หวังว่าคงเป็นประโยชน์ในการเอามาทบทวนแผนการลงทุนของทุกท่านไม่มากก็น้อยครับ