ผู้เชี่ยวชาญก็คือ ผู้เชี่ยวชาญการทำลายผู้อื่น !!!
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 23, 2011 2:40 am
เมื่อหลายปีก่อนในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา มีชายชราผู้หนึ่งเปิดร้านอาหารเล็กๆริมถนนใหญ่ ชายชราผู้นั้นสายตาไม่ดีนัก ซ้ำยังหูตึงอีกด้วย ชายชราผู้นี้ดวงดียิ่งนัก ที่กล่าวว่าเขาดวงดี นั่นก็เพราะว่าเขาสายตาไม่ดี ดังนั้นจึงอ่านหนังสือพิมพ์ไม่ได้ เขาจึงไม่รับรู้สถานการณ์ข้างนอกเลยแม้แต่น้อย
และเพราะชายชนชราไม่รู้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้เลวร้ายเพียงใด เขาจึงทำทุกอย่างตามเดิม ทาสีประตูร้านอย่างสาวยงาม ปักป้ายโฆษณาร้านไว้ริมถนนให้ลูกค้าได้เห็นกันแต่ไกล อาหารที่เตรียมไว้ในร้านก็ล้วนแต่เป็นของดีราคาถูก รสชาดยอดเยี่ยม แม้แต่คนต่างถิ่นก็ยังอดแวะมาชิมอาหารร้านนี้ไม่ได้
ชายชราทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร หาเงินส่งลูกชายจนเข้าเรียนมหาลัยได้ ฝ่ายลูกชายนั้นเมื่อเข้าเรียนมหาลัยก็เลือกเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ และนั่นทำให้ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึงสภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาเป็นอย่างดี
ในเทศกาลวันศริสมาสต์ปีนั้นเอง ลูกชายก็กลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อเขาเห็นกิจการที่บ้านยังเฟื่องฟูอยู่เช่นนั้น ชายหนุมก็เอ่ยกับผู้เป็นพ่อว่า “พ่อครับ ผมว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกตินะ พ่อไม่น่าทำการค้าขายได้ดีขนาดนี้เลย เห็นท่าทางกระตือรือร้นของพ่อแบบนี้แล้วเหมือนกับว่าเศรษรฐกิจภายนอกกำลังเฟื่องฟูอย่างไรอย่างนั้น” ว่าแล้วลูกชายก็เล่าถึงต้นสายปลายเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจทั้งหมด และยังบอกว่าคนอเมริกันทั้งหลายนั้นก็พากันรัดเข็มขัดตัวเองให้แน่นกันทั้งสิ้น
ชายชราได้ฟังก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันใด เขาบอกกับตัวเองว่า...ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดปีนี้ก็ไม่ต้องทาสีประตูร้านใหม่อีก ภายนอกเกิดปัญหาใหญ่เช่นนี้ เราจะต้องประหยัดเงินสักหน่อย อีกอย่างใคร ๆ ก็พากันจนลง แล้วจะต้องทำป้ายโฆษณาริมทางอีกทำไมกัน...
ดังนั้นชายชราจึงเลิกขะมักเขม้นทำงานอย่างเช่นที่เคยเป็น ผลสุดท้ายเป็นเช่นไรกันเล่า? กิจการของเขาก็ทรุดลงอย่างฮวบฮาบ
เมื่อลูกชายกลับมาที่บ้านในช่วงเทศกาลอีสเตอร์อีกครั้ง ผู้เป็นพ่อก็กล่าวว่า “ลูกรัก พ่อต้องขอบใจเจ้ามากที่เล่าเรื่องเศรษฐกิจอันย่ำแย่ให้ฟัง มันเป็นเรื่องจริงอย่างที่เจ้าว่า แม้แต่ร้านเล็ก ๆ ของพ่อก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย ลูกเอ๋ย การเรียนมหาวิทยาลัยช่างมีประโยชน์เสียเหลือเกิน”
เรื่องราวเช่นนี้ทำให้เกิดข้อสรุปอย่างไรบ้าง? ถ้าชายชราผู้นี้ไม่ฟังคำพูดของผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ (ลูกชายของเขา) หากอาศัยความมานะบากบั่นและโอกาสของตนก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ? เช่นนี้จึงได้มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ผู้เชี่ยวชาญก็คือ ผู้เชี่ยวชาญการทำลายผู้อื่น
และเพราะชายชนชราไม่รู้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้เลวร้ายเพียงใด เขาจึงทำทุกอย่างตามเดิม ทาสีประตูร้านอย่างสาวยงาม ปักป้ายโฆษณาร้านไว้ริมถนนให้ลูกค้าได้เห็นกันแต่ไกล อาหารที่เตรียมไว้ในร้านก็ล้วนแต่เป็นของดีราคาถูก รสชาดยอดเยี่ยม แม้แต่คนต่างถิ่นก็ยังอดแวะมาชิมอาหารร้านนี้ไม่ได้
ชายชราทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร หาเงินส่งลูกชายจนเข้าเรียนมหาลัยได้ ฝ่ายลูกชายนั้นเมื่อเข้าเรียนมหาลัยก็เลือกเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ และนั่นทำให้ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึงสภาวะเศรษฐกิจของอเมริกาเป็นอย่างดี
ในเทศกาลวันศริสมาสต์ปีนั้นเอง ลูกชายก็กลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อเขาเห็นกิจการที่บ้านยังเฟื่องฟูอยู่เช่นนั้น ชายหนุมก็เอ่ยกับผู้เป็นพ่อว่า “พ่อครับ ผมว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกตินะ พ่อไม่น่าทำการค้าขายได้ดีขนาดนี้เลย เห็นท่าทางกระตือรือร้นของพ่อแบบนี้แล้วเหมือนกับว่าเศรษรฐกิจภายนอกกำลังเฟื่องฟูอย่างไรอย่างนั้น” ว่าแล้วลูกชายก็เล่าถึงต้นสายปลายเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจทั้งหมด และยังบอกว่าคนอเมริกันทั้งหลายนั้นก็พากันรัดเข็มขัดตัวเองให้แน่นกันทั้งสิ้น
ชายชราได้ฟังก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันใด เขาบอกกับตัวเองว่า...ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดปีนี้ก็ไม่ต้องทาสีประตูร้านใหม่อีก ภายนอกเกิดปัญหาใหญ่เช่นนี้ เราจะต้องประหยัดเงินสักหน่อย อีกอย่างใคร ๆ ก็พากันจนลง แล้วจะต้องทำป้ายโฆษณาริมทางอีกทำไมกัน...
ดังนั้นชายชราจึงเลิกขะมักเขม้นทำงานอย่างเช่นที่เคยเป็น ผลสุดท้ายเป็นเช่นไรกันเล่า? กิจการของเขาก็ทรุดลงอย่างฮวบฮาบ
เมื่อลูกชายกลับมาที่บ้านในช่วงเทศกาลอีสเตอร์อีกครั้ง ผู้เป็นพ่อก็กล่าวว่า “ลูกรัก พ่อต้องขอบใจเจ้ามากที่เล่าเรื่องเศรษฐกิจอันย่ำแย่ให้ฟัง มันเป็นเรื่องจริงอย่างที่เจ้าว่า แม้แต่ร้านเล็ก ๆ ของพ่อก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย ลูกเอ๋ย การเรียนมหาวิทยาลัยช่างมีประโยชน์เสียเหลือเกิน”
เรื่องราวเช่นนี้ทำให้เกิดข้อสรุปอย่างไรบ้าง? ถ้าชายชราผู้นี้ไม่ฟังคำพูดของผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ (ลูกชายของเขา) หากอาศัยความมานะบากบั่นและโอกาสของตนก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ? เช่นนี้จึงได้มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ผู้เชี่ยวชาญก็คือ ผู้เชี่ยวชาญการทำลายผู้อื่น