โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 13 สิงหาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ก่อนมีข่าวเล็ก ๆ เกี่ยวกับหุ้นที่น่าสนใจและน่าจะเรียกได้ว่าเป็นหุ้น “สุดยอดแห่งทศวรรษ” ของโลก นั่นก็คือ หุ้นของบริษัท Apple Inc. ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ยี่ห้อแม็ค ไอโฟน ไอแพด และอื่น ๆ ที่ครองใจผู้ใช้ทั้งโลก สินค้าหลายชนิดของบริษัทนั้นเป็นที่นิยมขนาดที่คนต้อง “เข้าคิวซื้อ” และคนที่ได้ครอบครองสินค้าในมือนั้นมีความรู้สึกภาคภูมิใจและอยากจะอวดกับเพื่อนฝูง มันเป็นสินค้าที่ทำให้คนดูทันสมัยและ “มีระดับ” ในสังคม ข่าวที่ว่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แต่เป็นข่าวที่ว่าหุ้นของบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐนั้นมีราคาปรับตัวขึ้นจนทำให้มันมีมูลค่าสูงที่สุดและเอาชนะหุ้นของบริษัท Exxon Mobil หรือที่คนไทยรู้จักกันก็คือเอสโซ่ บริษัทน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐและในโลกมาช้านาน ลองมาดูกันว่าบริษัทแอปเปิลมีผลประกอบการดีอย่างไรและทำไมหุ้นจึงเติบโตมาได้ขนาดนี้เทียบกับบริษัทเอสโซที่ทำธุรกิจน้ำมันและพลังงานที่ก็น่าจะโดดเด่นสุดยอดเหมือนกัน เพราะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจที่โลกกำลังมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดในชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบัน
พูดถึงมูลค่าหุ้นในตลาดของแอปเปิลและเอ็กซอนนั้น ขณะนี้ก็อยู่ที่ประมาณ 350 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่า ๆ กันหรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ ประมาณ 10 ล้าน ล้านบาท หรือพอ ๆ กับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทยทั้งปี และใหญ่กว่ามูลค่ารวมของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่อยู่ที่ประมาณ 8.7 ล้าน ล้านบาท พูดอีกทางหนึ่งก็คือ หุ้นแอปเปิลตัวเดียวนั้นก็ใหญ่กว่าหุ้นไทยทั้งตลาดแล้ว
ดูทางด้าน ทรัพย์สินว่าบริษัทมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ปรากฏว่าแอปเปิลมีทรัพย์สินเพียงประมาณ 100 พันล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ ประมาณ 3 ล้าน ๆ บาท แต่เนื่องจากทรัพย์สินประมาณ 8 แสนล้านบาทนั้นเป็นเงินสดที่บริษัทเก็บไว้ไม่ได้จ่ายปันผลออกมานาน ดังนั้น เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทรัพย์สินที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินงานของบริษัทนั้นน่าจะมีเพียงประมาณ 2.2 ล้าน ล้านบาทเท่านั้น ส่วนของเอ็กซอนนั้น มีทรัพย์สินถึงประมาณ 300 พันล้านเหรียญหรือใหญ่เป็น 3 เท่าของแอปเปิล หรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ 9 ล้าน ล้านบาท เอ็กซอนมีเงินสดอยู่ประมาณ 3 แสนล้านบาทแต่มีหนี้อยู่ประมาณ 5 แสนล้านบาท ในขณะที่แอปเปิลนั้นไม่มีหนี้เลย ดังนั้น ถ้าจะพูดอย่างคร่าว ๆ ก็คือ เอ็กซอนนั้นใช้ทรัพย์สินเพื่อดำเนินงานประมาณ 4 เท่า ของแอปเปิล
มองทางด้านรายได้ แอปเปิลมียอดขายต่อปีประมาณ 100 พันล้านเหรียญต่อปี หรือเท่ากับ 3 ล้าน ล้านบาท ในขณะที่เอ็กซอนมียอดขายสูงกว่ามากคือประมาณ 400 พันล้านหรือคิดเป็น 4 เท่าของแอปเปิล หรือคิดเป็นเงินไทยถึง 12 ล้าน ล้านบาท มากกว่าผลผลิตมวลรวมประชาชาติของไทย พูดง่าย ๆ บริษัทเอ็กซอนบริษัทเดียวขายน้ำมันทั้งปีมีมูลค่าสูงกว่าสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศผลิตในเวลาเดียวกัน
ถ้ามองจากทรัพย์สินและยอดขายก็จะเห็นว่าบริษัทเอ็กซอนนั้นนั้นมีทรัพย์สินมากกว่าแอปเปิล 4 เท่าและมีรายได้หรือยอดขายต่อปีมากกว่าแอปเปิล 4 เท่าเหมือนกัน ดังนั้น เราอาจจะพูดได้ว่าถ้าเปรียบเทียบโดยขนาดของบริษัทแล้ว แอปเปิลนั้นเล็กกว่าเอ็กซอนถึง 3 เท่าหรือ แอปเปิลนั้นมีขนาดเพียง 1 ใน 4 ของเอ็กซอนเท่านั้น แต่มูลค่าตลาดของหุ้นของทั้งสองบริษัทกลับใหญ่เท่า ๆ กัน อะไรทำให้มันเป็นอย่างนั้น หุ้นของแอปเปิลมีราคา “เวอร์” เกินความเป็นจริงหรือเปล่า?
ผลการดำเนินงานหรือกำไรของแอปเปิลในปีที่ผ่านมาเท่ากับ 23.6 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ 7 แสนล้านบาท ในขณะที่ของเอ็กซอนเท่ากับ 37.9 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 1.1 ล้าน ล้านบาท คิดแล้วมากกว่าประมาณ 60% อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของแอปเปิลดูเหมือนจะสูงกว่าของเอ็กซอนมาก เพราะอัตราส่วนกำไรต่อยอดขายของแอปเปิลเท่ากับประมาณ 24% ในขณะที่ของเอ็กซอน เท่ากับประมาณ 10% เท่านั้น พูดง่าย ๆ การขายสินค้าไฮเท็คที่สุดทันสมัยของแอปเปิลแต่ละเครื่องนั้น กำไรดีกว่าการขายน้ำมันทุกบาร์เรลที่เหมือน ๆ กันทุกบริษัท
กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับนั้น ของแอปเปิลสูงมากถึง 42% และถ้าหากไม่นับเงินสดที่แอปเปิลมีมากเกินความจำเป็นแล้ว กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของแอปเปิลจริง ๆ อาจจะสูงถึง 50-60% ทีเดียว ในขณะที่ของเอ็กซอนนั้นอยู่ที่ 25% ซึ่งถ้าจะพูดไปก็สูงมากอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงสามารถพูดได้ว่ากิจการของเอ็กซอนนั้นทำกำไรได้ดีมากและของแอปเปิลนั้นน่าจะ “ดีสุดยอด” ในแง่ของการทำกำไร
ในด้านของการเติบโตของกำไรนั้น การเพิ่มขึ้นของกำไรไตรมาศนี้เมื่อเปรียบเทียบกับของปีที่แล้วก็พบว่าแอปเปิลโตขึ้นถึง 125% ในขณะที่เอ็กซอนโตขึ้นถึง 41% เช่นกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่าหุ้นสองตัวนี้ต่างก็เป็น “ดารา” ทั้งคู่ เพียงแต่แอปเปิลนั้นเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” ที่มาแรงจริง ๆ
มาดูทางด้านของความถูกความแพงของหุ้นกันบ้าง แอปเปิลนั้นมีค่า PE เท่ากับ 14.8 เท่า และค่า PB เท่ากับ 4.9 เท่า หรือถ้าเราหักเงินสดที่มากเกินออกไปซึ่งจะทำให้มูลค่าทางบัญชีหรือค่า B ลดลง ค่า PB ก็น่าจะอยู่ในหลักประมาณ 8 เท่า ในส่วนของเอ็กซอนนั้น ค่า PE เท่ากับ 9.5 เท่า ในขณะที่ค่า PB เท่ากับ 2.2 เท่า ดูไปแล้วราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทก็ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐและแม้แต่หุ้นไทย ว่าที่จริงอาจจะเข้าข่ายเป็นหุ้น Value หรือหุ้นเน้นคุณค่าด้วยซ้ำ เหนือสิ่งอื่นใด แอปเปิลนั้นน่าจะเป็น “ราชัน” ของหุ้นไฮเท็ค ส่วน เอ็กซอนนั้นก็น่าจะเป็นราชันของหุ้นพลังงาน ซึ่งทั้งสองอุตสาหกรรมต่างก็กำลังร้อนแรงและเติบโตกันทั้งคู่ แต่เหตุที่หุ้นมีราคาถูกนั้นอาจจะเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกาตกต่ำก็เป็นได้ และนี่ก็อาจจะเป็นช่วงเวลา “ซื้อ” สำหรับคนที่ชอบหุ้นประเภทซุปเปอร์สต็อก
สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือเรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผ่านมาในระยะยาว ผมมองย้อนหลังไปประมาณ 8 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่หุ้นแอปเปิลยังไม่ได้ไปไหนนิ่ง ๆ มานานนับสิบปีและเป็นช่วงที่ สตีป จอบส์ ซีอีโอ คนปัจจุบันเริ่มกลับเข้ามาบริหารบริษัทใหม่หลังจากที่ถูกไล่ออกไปหลายปี ในขณะนั้นหุ้น แอปเปิลมีราคาประมาณ 7 ดอลลาร์ ในเวลาเดียวกัน หุ้นเอ็กซอนมีราคาประมาณ 34 เหรียญ นั่นคือช่วงกลางปี 2003 พอถึงกลางปี 2008 หุ้นแอปเปิลขึ้นไปถึง 187 ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นไปเป็น 95 เหรียญ ในเวลา 5 ปี แอปเปิลขึ้นไป 25.7 เท่าและหุ้นเอ็กซอนขึ้นไปเพียง 1.79 เท่า ในช่วงวิกฤติปลายปี 2008 หุ้นแอปเปิลตกลงมาเหลือ 80 เหรียญต้น ๆ หรือลดลงถึง 56% ส่วนหุ้นเอ็กซอนตกลงมาเหลือประมาณ 62 เหรียญหรือลดลง 35% แต่หลังจากนั้น จนถึงปัจจุบันหุ้นแอปเปิลก็ปรับตัวขึ้นมาเป็นประมาณ 374 เหรียญหรือขึ้นมา 3.5 เท่า ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นมาเป็น 72 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นเพียง 16% และยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติ โดยสรุปแล้วในช่วงประมาณ 8 ปี หุ้นแอปเปิลขึ้นมาประมาณ 52 เท่า ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นมาประมาณ 1.1 เท่า
ข้อสรุปรวบยอดของผมก็คือ ในช่วงเวลา 8 ปี หุ้นแอปเปิลซึ่งเคยเป็นหุ้นที่ค่อนข้างเล็กมีมูลค่าตลาดประมาณ 2 แสนล้านบาท ได้เติบโตมหาศาลกลายเป็นหุ้น 10 ล้าน ล้านบาท เท่ากับหุ้นเอ็กซอนซึ่งเป็นหุ้นยักษ์ใหญ่ระดับต้นของโลก หุ้นเอ็กซอนเองนั้นเมื่อ 8 ปีก่อนก็น่าจะเป็นหุ้นระดับต้นของโลกที่มีมูลค่าถึง เกือบ 5 ล้าน ล้านบาท คนที่ลงทุนในหุ้นเอ็กซอนในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้นก็ได้ผลตอบแทนที่ไม่เลวเฉลี่ยประมาณปีละ 10% แต่ถ้าใครลงทุนและถือหุ้นแอปเปิลผ่านร้อนผ่านหนาวและวิกฤติเศรษฐกิจมาถึงวันนี้ก็อาจจะกลายเป็นเศรษฐีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย และนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างหุ้นบลูชิพอย่างเอ็กซอน กับหุ้น ซุปเปอร์สต็อกอย่างหุ้นแอปเปิล