หน้า 1 จากทั้งหมด 1
หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 14, 2011 3:07 pm
โดย miracle
ตั้งอันนี้เพื่อให้ความรู้ในเรื่องของโลกของการเิงินดีกว่า
ว่าตอนนี้ ภายนอกประเทศเล่นอะไรกันบ้างแล้ว
และพวกเราตามกันทันหรือเปล่าหนอ
อันแรกคือ
VIX is the ticker symbol for the Chicago Board Options Exchange Market Volatility Index, a popular measure of the implied volatility of S&P 500 index options. Often referred to as the fear index or the fear gauge, it represents one measure of the market's expectation of stock market volatility over the next 30 day period. The VIX Index was introduced by Prof. Robert Whaley in 1993 while he was at Duke University. Prof. Whaley is now on faculty at Vanderbilt University
จาก
http://en.wikipedia.org/wiki/VIX
ตัวนี้บอกบอกอะไรหรือเปล่าหนอ
Option ว่าเป็นระเบิดแ้ล้ว ตอนนี้เป็นยิ่งกว่าระเบิดอีก
เพราะ trade บน Volatility Option บน Option index อีกทีหนึ่ง
สินค้าโดยทั่วไปคือ ปิดความเสี่ยงได้แค่การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง
แต่ไม่สามารถปิดความผันผวนได้ ตัวนี้ใช้ในการปิดความผันผวน
และสามารถบอกได้เลยว่า ภาวะของตลาดเป็นอย่างไงบ้าง
เดี๋ยวมาต่อตัวที่สองและสามต่อไปเมื่อมีเวลา

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 14, 2011 3:12 pm
โดย miracle
http://finance.yahoo.com/q/bc?s=%5EVIX& ... z=l&q=l&c=
อันนี้เอากราฟมาให้ดูต่อเล่นๆ ว่า VIX เคลื่อนที่อย่างไง
เห็นภูเขาแต่ละลูกบ้างไหม
มันบ่งบอกว่า ในวิกฤติ มีความผันผวนมาก แต่ในระยะเวลาปกติ ไม่มีการผันผวน
ถ้าหากเราบอกเรื่องความผันผวนได้ นั้นคือ เราสามารถโยงเข้าสู่เรื่องผลตอบแทนไ้ด้

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 16, 2011 9:54 am
โดย picatos
ผมว่า คน trade vol ก็คล้ายๆ กับคน trade หุ้นแหละ... ราคาของ vol เป็นผลของความโลภ/ความกลัว ไม่ได้เป็นไปตามความเป็นจริงที่จะเกิดในอนาคตมากขึ้นสักเท่าไหร่หรอก...
ปกติเวลา vol มันพุ่งขึ้น ก็มักจะเกิดเวลามันหลุดแนวรับหรือแนวต้านอะไรๆ ที่สำคัญ เพราะ level แถวๆ นั้นมันมีพวก trigger หรือพวก barrier option หรือไอ้พวก 2nd gen option วางอยู่เยอะ ดังนั้น พอมัน break out vol มันก็จะพุ่งเป็นธรรมดา vol surface มันก็จะเปลี่ยน shape ไปต่างๆ นานา ซึ่งก็เป็นไปตามความโลภ/ความกลัวของตลาด ไม่ได้เป็นตัวชี้นำความจริงที่จะเกิดขึ้นมากนัก และเอาอะไรเป็น guideline มากก็ไม่ได้... แต่ผลอย่างหนึ่งที่แน่ๆ คือ การ trade vol ทำให้ตลาดผันผวนเร็ว และแรงขึ้น เพราะ อย่างเวลาคนเล่นหุ้น หุ้นหลุดแนว ก็ยังไม่ต้องมีวินัยในการ take price action ที่ชัดเจนนัก แต่พอพวกที่บริหารพอร์ต option พอมัน trigger level ต่างๆ พวก gamma risk มันจะพุ่งปี๊ด และคนบริหารพอร์ตจำเป็นต้อง cover position ทันทีเพื่อน neutralize ความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป จึงเกิดแรงซื้อแรงขายมหาศาลเวลามันหลุดแนวต่างๆ ขึ้น
ผมว่าพี่มิอย่าไปสนใจมันมากเลยพี่... กลับมาที่พื้นฐานดีกว่าดีที่สุด เพราะ พื้นฐานนี่แหละ เป็นตัวที่กำหนดความโลภ/ความกลัวในอนาคตของหุ้นแต่ละตัวอย่างแท้จริง และพื้นฐานเนี่ยแหละเป็นหัวใจที่แท้จริงของการเงิน
Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 16, 2011 10:19 pm
โดย miracle
พื้นฐานของการเงิน
ถ้าจับตามทฤษฏีทางการเิงิน
Return มันขึ้นอยู่กับ ความผันผวน (Standard div) ไม่ใช่หรือ
ถ้าเราตีค่าความผันผวนได้ เราก็สามารถหากำไรบนความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ใช่ไหมล่ะ
มันคือพื้นฐานของดีด้านหนึ่งนิ
เพราะ ถ้าปิดตลาด มันก็ไม่มีความผันผวน
ถ้าเปิดตลาด มันก็เกิดความผันผวน
หรือว่าไม่จริงล่ะ

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 17, 2011 9:15 am
โดย picatos
miracle เขียน:พื้นฐานของการเงิน
ถ้าจับตามทฤษฏีทางการเิงิน
Return มันขึ้นอยู่กับ ความผันผวน (Standard div) ไม่ใช่หรือ
ถ้าเราตีค่าความผันผวนได้ เราก็สามารถหากำไรบนความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ใช่ไหมล่ะ
มันคือพื้นฐานของดีด้านหนึ่งนิ
เพราะ ถ้าปิดตลาด มันก็ไม่มีความผันผวน
ถ้าเปิดตลาด มันก็เกิดความผันผวน
หรือว่าไม่จริงล่ะ

ทฤษฎีทางการเงิน ที่ว่า return มีความสัมพันธ์กับ ความผันผวน เป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นภายใต้สมมติฐานทางการเงินมากมาย เพื่อ simplify โลกแค่ความเป็นจริงให้ดูง่ายขึ้น เป็นสมการทางคณิตศาสตร์ให้พอจะเข้าใจได้บ้าง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นความเป็นจริงเลยในโลกใบนี้ หาก relax assumption ของทีละข้อ distribution ก็จะแปรเปลี่ยนไปเรื่อย จนถึงจุดหนึ่ง เราก็ไม่สามารถที่จะ relax assumption ต่อได้
ดังนั้นถ้าเรารู้ความผันผวนในอนาคต เราก็อาจจะไม่รู้อัตราผลตอบแทนก็ได้ แม้ว่า quantitative model ของเราที่รันมาจะแนะนำว่าสิ่งๆ นี้น่าจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามข้อมูลที่เราเอาไปยัดใส่ Model ก็เป็นข้อมูลในอดีต assumption ที่เรา simplify ออกไปถูกยัดเข้าไปใส่ใน term error และขอแค่ให้ R2 ผ่านเกณฑ์ ก็บอกว่าโมเดลนี้ใช้งานได้ แต่เท่าที่ผมเลยลองรัน model มา ค่าที่ออกมาก็ใช้การอะไรไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ในโลกแห่งความเป็นจริง
ถ้าพี่มิสามารถคำนวณหาความผันผวนของหุ้นตัวหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ พี่มิมั่นใจได้อย่างไรว่าพี่มิจะได้อัตราผลตอบแทนตามค่าเบต้าและแอลฟาที่พี่มิคำนวณมาได้จากในอดีต ทั้งๆ ที่ asymmetric exposure เนี่ยแหละ เป็นตัวที่สะท้อนถึง story ของกิจการว่ามีการดำเนินการอย่างไรไปในอนาคต พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าเปลี่ยนไปอย่างไร มีการลงทุน มีเทคโนโลยี หรือนวัตถกรรมอะไรใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เหล่านี้ที่สะท้อนเข้าไปใน asymmetric risk และทำให้เกิด อัตราผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด
สุดท้ายถ้าพี่มิ เชื่อในทฤษฎีทางการเงินเหล่านี้ ก็คงจะป่วยการที่จะเป็น value investor ซื้อกองทุนดัชนีไปเลยน่าจะตรง concept มากกว่า เพราะ ที่เราเป็นนักลงทุนกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะ เรากำลังมองหา alpha มองหา asymmetric risk ที่จะสร้างอัตราผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด
Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 17, 2011 12:04 pm
โดย peacedev
ขออนุญาติเข้ามาแจมนิดหน่อยครับ
ผมเห็นว่าต่อให้ R2 มากแค่ไหนก็ตาม จะบอกว่าโมเดลนั้นใช้งานได้เป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงเลยครับ
เพราะถ้าสมมุติฐานมันผิดแต่ต้นแล้ว การที่ Model เรามัน Fit กับ Sample ก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญครับ เหมือนดัชนีชายกระโปรงหรือ การซื้อขายหุ้นเพราะทีมกีฬาแพ้หรือชนะ ที่เป็นงานวิจัยทางสถิติมีข้อมูลรองรับที่เคยมีคนหลงเชื่อกันมาในอดีตครับ

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 18, 2011 12:14 am
โดย miracle
ผมแยกคำตอบเป็นสองกรณีก่อน
กรณีแรกคือ สูตรในโลกการเงินมันอยู่บนพื้นฐานของ Mean-Variance ตั้งแต่ของ Markowitz (1958) เป็นต้นมา
โดยพื้นฐานของมันมี Assumption อยู่ 6 ข้อด้วยกัน (ในตอนนี้ก็มีข้อหนึ่งที่เห็นๆอยู่คือ ไม่สามารถ Short Sales ได้ ทำให้ไม่เป็นจริงๆไปล่ะ)
กรณีที่สองที่กล่าวถึงนั้นคือ เรื่องของสูตรคำนวนที่มาจากข้อแรก ที่เป็น Y=a+bx+(Error Term)
a นั้นไม่เท่ากับ 0 แต่ทำอย่างไงให้ a เท่ากับ 0 ได้ล่ะ
ส่วนเรื่องของ Beta นั้นมันคือตอนแทนของความผันผวน คือ Covariance กับ Variance ก็มีการคำนวณและการตีว่า Assumption บ้างตัวใน 6 ข้อไม่เป็นจริง ทำให้มีปัญหา
ส่วนกรณีที่เพิ่มเติมคือ สมการที่ใช้นั้นเป็นเส้นตรงหรือเปล่าล่ะ
by the way
ส่วนเรื่อง R-square นั้นบอกได้ว่า Model ที่เราใช้นั้น ตัวแปร X (ตัวแปรขวามือ)ที่เรานำมาอธิบายตัวแปร Y (ตัวแปรซ้ายมือ) นั้น อธิบายได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนเรื่องตัวแปรได้มาโดยบังเอิญอันนี้ต้องถามระดับโลกได้ เพราะ สูตรที่ VI ใช้คำนวณกันอยู่
มันสอดคล้องกับ 3-Factor Model ของ FAMA และ French ไม่มีทฤษฏีอะไรมารองรับ แต่ใช้กันแพร่หลาย
แต่ทางการเงินก็เป็นสูตรยอดนิยม แบบนี้เรียกอะไรหรือครับ
อันนี้คุยกันที่ห้องนั่งเล่นไม่ย้ายไปห้องหลักเพราะ คุยเรื่องไร้สาระบนสาระ
ปล.
ความแน่นอน บนความไม่แน่นอน
ความไม่แน่นอน บนความแน่นอน

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 18, 2011 11:26 am
โดย peacedev
ส่วนตัวผมไม่ได้คิดว่าตัวทฤษฎีหรือสูตรต่าง ๆ มันมีปัญหาอะไรครับ
แต่ปัญหามันอยู่ที่คนเริ่มเอามาใช้กันง่าย ๆ ตาม ๆ กันโดยไม่ได้ทำความเข้าใจกับหลักการความเป็นไปของสูตรที่ใช้กันอย่างลึกซึ้ง เลยทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาครับ
คือถ้าเราเข้าใจมันจริง ๆ เราจะรู้ข้อจำกัดของมันดีใช่ไหมครับ

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 19, 2011 3:16 pm
โดย miracle
Assumption บนการเงินมันเพียบเลยล่ะครับ
เช่นเอาทฤษฏีของฟิสิกส์มาใช้กับการเงินต้องมีการดักแปลงมากมาย
ส่วนการคำนวณของ Option ก็บอกอยู่ว่านักลงทุนเป็นพวกที่ เป็นการกลางกับความเสี่ยง
คือดูแต่ ผลตอบแทนไม่ดู ความเสี่ยง
ส่วน CAPM บอกว่า ดูทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยงพร้อมกัน
เป็นต้น

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 20, 2011 4:56 pm
โดย picatos
miracle เขียน:Assumption บนการเงินมันเพียบเลยล่ะครับ
เช่นเอาทฤษฏีของฟิสิกส์มาใช้กับการเงินต้องมีการดักแปลงมากมาย
ส่วนการคำนวณของ Option ก็บอกอยู่ว่านักลงทุนเป็นพวกที่ เป็นการกลางกับความเสี่ยง
คือดูแต่ ผลตอบแทนไม่ดู ความเสี่ยง
ส่วน CAPM บอกว่า ดูทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยงพร้อมกัน
เป็นต้น

เรื่อง Option ที่เค้าไม่ดูความเสี่ยง นี่หมายความว่าไงครับพี่มิ...
ถ้าพี่มิ หมายความว่า ตามทฤษฎีเราสามารถ replicate Option ด้วย Underlying Asset ผ่านการทำ Dynamic Hedging ทำให้กลายเป็น Risk Neutral รึเปล่า?
แต่ทฤษฎีก็เป็นแค่ทฤษฎี เพราะ ในความเป็นจริง คนรันพอร์ต Option นี่ เป็นคนที่ Concern ความเสี่ยงมากๆ ดู Risk Factor เยอะมากนะครับ ดู 1st order บางทีก็ไม่พอ ต้องดูไปถึง 2nd order เพราะว่า โลกแห่งความเป็นจริง มันไม่ได้ simplify แบบในโมเดล อย่างพวก Implied Vol ก็ไม่ได้เป็นค่าคงที่เหมือนในโมเดล ดังนั้นในการรันพอร์ต Option เป็นศาสตร์และศิลป์มากๆ ไม่ได้ทื่อๆ เหมือนในโมเดลที่ Over Simplify นะครับ
สุดท้ายผมก็กลับมาสงสัยอยู่ดีว่าเรื่องเหล่านี้ มันเป็น "หัวใจของการเงิน" ยังไงเหรอครับ?
Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 20, 2011 11:01 pm
โดย miracle
คนที่ดู Option เป็นคนที่กลัวความเสี่ยง
แต่ทฤษฏีมันเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องของความเสี่ยง
สนใจแต่ผลตอบแทนให้สูงที่สุด
อีกเรื่องของ Option มันอยู่บนพื้นฐานของ Continue time
ดูสูตรคือ e กำลังนี้ล่ะ มันคิดอยู่บน มิติของ i = รากที่สองของลบหนึ่งอ่ะ
ซึ่งไม่ใช่ระบบจำนวนจริงเหมือนกับสินทรัพย์ตัวอื่นๆ

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 6:42 am
โดย picatos
miracle เขียน:คนที่ดู Option เป็นคนที่กลัวความเสี่ยง
แต่ทฤษฏีมันเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องของความเสี่ยง
สนใจแต่ผลตอบแทนให้สูงที่สุด
อีกเรื่องของ Option มันอยู่บนพื้นฐานของ Continue time
ดูสูตรคือ e กำลังนี้ล่ะ มันคิดอยู่บน มิติของ i = รากที่สองของลบหนึ่งอ่ะ
ซึ่งไม่ใช่ระบบจำนวนจริงเหมือนกับสินทรัพย์ตัวอื่นๆ

ผมว่าพี่มิกลับไปดูทฤษฎีของ Black Scholes ดีๆอีกทีดีกว่าครับ ที่เค้าไม่ได้สนใจความเสี่ยงนี่เป็นเพราะว่า เค้าสามารถ hedge ความเสี่ยงทิ้งไปได้ด้วยการสร้าง replicated portfolio ของ underlying asset เลยทำให้ไม่จำเป็นต้องไปสนใจความเสี่ยงของ underlying asset ครับ
ส่วนคนที่เล่น Option ผมว่าส่วนใหญ่ไม่ได้กลัวความเสี่ยงนะครับ ส่วนใหญ่จะชอบความเสี่ยงซะมากกว่า เพราะ เอา Option เป็นเครื่องมือในการใช้พนัน ใช้ในการ leverage มากกว่าเอาไปให้ป้องกันความเสี่ยง เพราะอย่างนี้ DW หรือ Warrant มันถึงได้แรงไงครับ
Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 11:41 am
โดย miracle
Assumption ของ Black-Scholes คือ
1. the short-term interest rate is known and is constant through time.
2. the stock price follows a random walk in continuous time with
a variance rate proportional to the square of the stock price.thus
the distribution of possible stock prices at the end of any finite interval
is log-normal. The variance rate of the return on the stock is constant
3. the stock pays no dividends or other distributions
4. the option is "Europen" that is ,it can only be exercised at maturity
5. it is possible to borrow any fraction of the price of a security to buy it
or to hold it,at the short-term interest rate
6. there are no penalties to short selling.a seller who does not own a
security will simply accept the price of the security from a buyer,and will agree
to settle with the buyer on some future date by paying him an amount equal to the
price of the security on the date.
นี้คือ Assumption ทั้งหมด
แต่ Heading Position มันเกิดตอนที่เราใช้ Option ปิดความเสี่ยงของ Stock Price ไม่ใช่หรือครับ
คือเราต้องการปิดความเสี่ยงของการขึ้นลงของราคา Stock สิ่งที่เรามาใช้คือ Option ไม่ใช่หรือ
มันเป็นคนละประเด็นในการ Pricing ตัว Option นี่น่า
ผมกำลังเปิดประเด็นของการ Pricing ของ Option ว่าคนที่ Pricing ตัว Option นั้นคือ คนที่ยอมรับความเสี่ยง
ความเสี่ยงมันมาจากตัว Variance ของ Stock ที่ใส่เข้ามาไม่ใช่หรือในข้อสมมุติฐานข้างบน
ึความเสี่ยงไม่มาจากตัวของมันเอง
ส่วนเรื่อง Heading นั้นคือการป้องกันความเสี่ยง มีสินทรัพย์ที่มีความผันผวน เราต้องการให้ลดความผันผวนลงให้เป็น 0
ให้ได้ ซึ่งใช้หลักทรัพย์ Stock กับ Option มาดำเินินการ

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 11:54 am
โดย miracle
Mod ครับขอย้ายไปอยู่ห้องนั่งเล่นครับ
เพราะประเด็นคือคุยกันสบายๆครับ
บ้างครั้งเนื้อหาสาระหนักไป ควรไปคุยกันที่ห้องสบายๆ
อันนี้มันลงลึกเกินไป เน้นเพราะคนที่สนใจเท่านั้น

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 1:40 pm
โดย peacedev
ช่วงก่อนผมเคยลอง pricing DW ส่วนใหญ่ที่มีในตลาดดู
ทำกี่ตัว ๆ ก็พบว่า DW แพงเกินมูลค่ากันหมดทุกตัวเลย ไม่ว่าจะคิดลดอย่างไรก็ overprice มาก ต่างกับตัว Warrant ของจริงโดยสิ้นเชิง
ไม่รู้เขา trade กันเข้าไปได้อย่างไร

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 2:56 pm
โดย bustedll
กำลังสนุกเลยครับ- - ได้แง่ติดมากมาย
Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 8:46 pm
โดย picatos
คน pricing option ที่เค้าไม่สนใจความเสี่ยงเพราะเค้าสามารถ สร้างพอร์ตที่ให้ pay off ที่เหมือนกับ option โดยใช้ underlying asset สร้างขึ้นมาได้ พี่มิลองเอา paper ของ Black Scholes มาอ่านก่อนดีไหมครับ
อย่างไรก็ตามผมขอไม่ตอบในกระทู้นี้แล้วนะครับ เพราะ รู้สึกว่า ผมจะนอกเรื่องหัวใจการเงินมากไปหน่อยแล้วครับ
Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 10:23 pm
โดย VI Wannabe
อ่านไปอ่านมา เหมือนทั้งสองท่านพูดเรื่องเดียวกันจากคนละมุม
ใช่ ครับเราสามารถใช้ options ปิดความเสี่ยงหุ้นได้ครับพี่มิ
ในมุมกลับกัน
เราก็สามารถ replicate options โดยใช้ underlying กับ bond ได้ครับ ตาม BS ได้ครับ พี่โต๊ส
ส่วนพี่ pacedev ครับ DW มันขายกันที่ implied vol 70-80% แต่จริงๆ มันก็ไม่สำคัญหรอกครับ ถ้าคนที่ใช้ ต้องการ day trade หรือ market maker เค้า price ด้วย vol นี้ตลอดอายุของมัน (ไม่ใช่ถือๆไปเล่นกด vol เป็น 30-40% ซะงั้น)
แต่นี่มันเป็นหัวใจของการเงินอย่างไรละครับ เริ่มงง

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 11:07 pm
โดย miracle
การเงินเป็นเรื่องที่อยู่บนพื้นฐานของการทดสอบ
มันเป็นเรื่องที่บนข้อสมมุติฐานต่างๆครับกันล่ะครับ
ใน Black และ Scholes นั้นทำเรื่องที่ยากเป็นเรื่องที่ง่ายลงไปมาก
สำหรับการตั้งราคาของ Options ไม่มีใครทำสูตรง่ายๆแบบท่านทั้งสองคนนี้ได้
ในยุคนั้น
ส่วน CAPM เองก็เหมือนกัน วัดความเสี่ยงแล้วได้ราคาแบบง่ายๆ ใช้กันมากมาย
แต่ที่ไหนได้ เบื้องหลังมันมีข้อสมมุติฐานเพียบเลย
มุมมองในการคิดเรื่องนี้จึงหลากหลายประเด็นในด้านการศึกษา
ซึ่งในหัวข้อเหล่านี้มันอยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัยทำกัน แต่ในโลกจริงๆมีคนใช้งานหรือเปล่ายังไม่รู้
เพราะหลายต่อหลายคนคิดออกมาก็ไม่รวย เพราะเจอของจริงๆไปมันคงละเรื่องกับที่ได้มา
โลกมันซับซ้อนมากกว่าที่บอกได้ว่าอะไรคือเนื้อหาที่แท้จริง (ออกทะเลไปหน่อยล่ะ)
ส่วนเรื่องของ DW คนที่ออกได้กำไรครับ คือ บลจ
สังเกตไหมว่า สถาบันไม่ลงทุนใน DW เพราะ Pricing กัน แพงเกินไป
ถ้า บลจ Pricing ในสมเหตุสมผลก็กลัวโดน จ่ายจนบริษัทล้มได้ล่ะครับ
ระยะหลังจึงไม่ค่อยมีใครสนใจกันเท่าไร

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2011 11:52 pm
โดย ^^
เคยถามเพื่อนว่าแบล็กโชว์ กับCapm เขาคิดมาทำไม และเคยลองใช้ไหมกับการลงทุน
เพื่อนมันบอกก็แค่สูตร รู้กันไว้แค่เท่ห์ๆ ไม่ได้เอาไว้ใช้จริงหรอก
แอบงงว่า ถ้าสูตรมันคือการอธิบายสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่จะไปต่อยอดใช้ประโยชน์ได้
ทำไมมันถึงโด่งดัง และทำไมเขาถึงคิดออกมา ไม่พูดออกมาภาษาง่ายๆ
Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2011 11:22 pm
โดย miracle
อธิบายเรื่องยากมากเป็นเรื่องที่ง่ายมากต่างหากครับ
เพราะไม่มีใครคิดสูตรสำเร็จออกมาได้
แต่ใครคิดออกมาได้และยอมรับ
ก็ได้รางวัลเลยล่ะครับและคนกล่าวถึงมาด้วย

Re: หัวใจของการเงิน
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2011 11:50 pm
โดย ^^