การเงิน -การลงทุน:ในกรุงเทพธุรกิจวันนี้:หาได้ใช้เป็นแบ่งปัน@
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 07, 2011 12:41 pm
การเงิน - การลงทุน : การเงินส่วนบุคคล
วันที่ 7 สิงหาคม 2554 10:30"ศิริญา เทพเจริญ" หาได้..ใช้เป็น...แบ่งปัน
โดย : กาญจนา หงษ์ทอง
จากผู้หญิงธรรมดาๆที่ก้าวขึ้นมาเป็นเศรฐีณีผู้มีที่่ดินเป็นของสะสม นี่คือเรื่องจริงไม่อิงนิยายของ"ศิริญา เทพเจริญ"ผู้บริหารอั่งเปา แอสเสท
จากสาวภูธรที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวยอะไร แต่ปะเหมาะเคราะห์ดีที่มีโอกาสเดินเข้าสู่แวดวงอสังหาริมทรัพย์เข้าโดยบังเอิญ แถมในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ขณะที่คนอื่นล้มและบาดเจ็บจากวิกฤติกันถ้วนหน้า แต่กลับเป็นจังหวะที่ค่อยๆ เติบโตและผงาดขึ้น จากต่างจังหวัดก้าวขึ้นมาจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และขยับขยายธุรกิจไปตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดอีกนับไม่ถ้วน จนทุกวันนี้เธอคือเศรษฐีนีผู้มีที่ดินเป็นของสะสม นี่ไม่ใช่เรื่องราวนิยาย หากแต่คือเรื่องจริงของ "ศิริญา เทพเจริญ" รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท อั่งเปา แอสเสท รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ณุศาศิริ และยังเป็นผู้บริหารแบงค์คอกเมดิเพล็ก ศูนย์สุขภาพ วิลลา เมดิคา และเจ้าของโรงแรมฟูรามา จอมเทียน บีชพัทยา
"ชีวิตเริ่มขึ้นที่อุดร ตอนนั้นเป็นจังหวะที่ทำให้เข้าไปเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เราซื้อในช่วงที่คนไม่ซื้อแล้ว เพราะคนอิ่มตัวไม่ค่อยซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เพราะกำลังจะเข้าวิกฤติ และเริ่มทำอสังหาฯ ในช่วงวิกฤติพอดี โชคดีที่ไม่ได้ติดหนี้ทรัสต์ ตอนนั้นต้องซื้อที่ดินด้วยเงินสด เริ่มจากซื้ออาคารพาณิชย์แค่ 2 ห้องได้ส่วนต่างนิดหน่อย ตรงนั้นได้เงินมาก้อนแรก จากนั้นเริ่มมาลงทุนในกรุงเทพฯ และเริ่มทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจังมากขึ้น"
ศิริญาขยายความว่า ถ้าจะพูดให้ถูกเธอเริ่มจากการซื้อหนี้เสียของธนาคารแล้วนำมาพัฒนาต่อมากกว่า โดยเริ่มซื้อเยอะในช่วงปี 2542-2543 เธอบอกว่าเป็นเทคนิคที่เหมือนกับการเล่นหุ้นคือ ซื้อตอนคนกลัว นั่นเป็นจังหวะที่ดีที่สุด
"เป็นคนที่พอราคาที่ดินเริ่มขึ้น จะไม่กล้าซื้อ แต่จะเน้นซื้อตอนลง ซื้อที่ดินพวกนี้ ได้ราคาถูกกว่าปกติ 50% นั่นคือกำไรแล้ว แต่เราต้องมีเงินหมุนเวียน คนซื้อที่ดินจึงไม่ค่อยมีเงินแต่มีเครดิต ตอนนี้ก็ดูที่ดินของ บสท.อยู่เรื่อยๆ เรียกว่าถูกโฉลกก็ได้ ถ้าซื้อโครงการร้างๆ บางคนอาจจะนำมาพัฒนาต่อไม่ได้ แต่เราทำได้ กับที่ดินร้างๆ จะชอบ เพราะเชื่อว่าคนเราถ้าคิด และทำจริงจัง ก็ไปได้ทั้งนั้น"
นั่นทำให้ทุกวันนี้ ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นการลงทุนที่ศิริญาโปรดปรานที่สุด จะเรียกได้ว่าเงินลงทุนทุกวันนี้อยู่ในอสังหาริมทรัพย์ 80% เลยก็ว่าได้ ที่เหลือก็เป็นเงินทุนหมุนเวียนและสำหรับใช้จ่าย โดยเฉพาะการลงทุนในที่ดินจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะดูแลรักษาง่าย อย่างอื่นรักษายาก
"อาจจะเป็นเพราะเราโตมาจากการซื้อขายที่ดิน ทำให้รู้ว่าการลงทุนในที่ดิน ไม่มีว่าคำว่าขาดทุน ส่วนใหญ่ซื้อแล้วพัฒนาเลย พอพัฒนาไปเรื่อยๆ ก็เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นตลอด โดยหลักๆ จะมองแนวความคิดว่าเราอยากทำอะไร ที่ดินตรงนี้น่าจะเป็นอะไร มองกระแสอยู่ตลอดว่าที่ดินโซนนี้ไปเท่าไหร่ แนวโน้มดีมั้ย ถ้าเราเห็นว่าไม่แพงมากก็จะซื้อ"
ศิริญาบอกว่าที่ดินในสเปคของเธอนั้น ทุกแปลงต้องติดถนนใหญ่ ทำเลต้องมาก่อน หรือถ้าซื้อที่ดินที่ภูเก็ตก็ต้องติดทะเล มีอยู่ผืนหนึ่งซื้อได้ปีกว่า ราคาเพิ่มเร็วมาก ปกติที่ดินรอบนอกจะไม่ซื้อ เพราะคิดโปรเจคไม่ออก ฉะนั้น ก่อนซื้อต้องคิดก่อนว่าที่แปลงนี้จะเอาไว้ทำอะไรได้บ้าง บางผืนยังนึกไม่ออกแต่ทำเลดีจริงก็อาจจะซื้อเก็บไว้ก่อน พูดถึงที่ดิน ถ้าสวยแต่แพง ก็ซื้อ เพราะแพงไม่ว่าขอให้มีอนาคต และดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง
"โดยมากถ้าเป็นที่ดินที่อยู่ลึกๆ จะไม่ซื้อ แต่ก็ไม่เสมอไป อย่างที่เขาใหญ่ ลึกหน่อยก็อาจจะซื้อ เพราะมีโปรเจคอยู่แล้ว แต่ก่อนซื้อต้องเห็นของจริงก่อน เริ่มจากดูที่ googleก่อน ว่าใกล้อะไร บางทีเราเดินไม่ทั่วถึง จะได้รู้ว่าข้างเคียงเป็นอะไร จากนั้นค่อยไปดูพื้นที่จริง แต่ที่ซื้อแล้วพลาดก็มี เสียมัดจำไป 200 กว่าล้าน เป็นที่ดินแถวสาทร ความที่กล้าๆ กลัวๆ ตอนนั้นปี 2551 จะซื้อก็กลัวเป็นหนี้ เลยจ่ายมัดจำไปก่อน แต่ก็พลาดในที่สุด ตรงนั้นทำให้คิดได้ว่า ถ้าทำอะไรต้องเต็มที่ อย่ากลัว ขนาดที่ผ่านมาเรายังไม่กลัวเลย เงินก็ไม่มีคอนเนคชั่นก็ไม่มี แต่เราก็ผ่านมาได้ และทำทุกอย่างได้ ตอนนี้ก็มองที่ดินอยู่ตลอดทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพราะมีโปรเจคที่อยากทำเยอะแยะเลย"
ตอนนี้นอกจากมีโรงแรมที่พัทยาแล้วก็ยังอยากทำโรงแรมเพิ่มอีก แต่อยากทำโรงแรมที่ดูแลสุขภาพด้วย อยากทำอะไรที่เน้นไปที่สุขภาพ เพราะเชื่อว่าอีก 5 ปีข้างหน้าทุกคนไม่อยากกินยาแล้ว ดังนั้นตอนนี้อยากจะลงทุนทำอะไรเพื่อสุขภาพให้มากที่สุด
"คนเราถ้ารวยแล้วสุขภาพไม่ดี ก็จบ ขาดทุนด้วย เพราะหามาได้แล้วไม่ได้ใช้ ตอนนี้เลยลงทุนด้านสุขภาพ ด้วยการซื้อคลินิกของแบรนด์เยอรมันอย่างวิลลา เมดิคามาเปิดที่เอกมัย ตอนนี้ มองเรื่องสุขภาพเป็นหลัก อยากให้คนไทยเป็นโรคชราอย่างเดียว ไม่อยากให้เจ็บป่วย ดูจากคนใกล้เคียง เพื่อนฝูง อย่างน้อยถ้าเราทำธุรกิจตรงนี้น่าจะดี อีกอันหนึ่งที่อยากทำคือเป็น รีไทร์เมนท์ เซ็นเตอร์ เป็นที่พักที่น่าอยู่บนพื้นที่ 500 ไร่ สำหรับคนแก่ และมีกิจกรรมให้คนวัยนี้ได้ทำอย่างหลากหลาย ตอนนี้คนโสดเยอะ หลายคนก็กังวลว่าใครจะดูแลเราตอนแก่ ถึงคนมีลูกก็เถอะ เรื่องพวกนี้ก็ต้องวางแผนเอาไว้ และเราจะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ และจิตใจของคนแก่"
ศิริญาบอกว่า ปกติการทำธุรกิจโรงแรม ธุรกิจศูนย์สุขภาพ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นคนทั่วไปโดยมากจะทำแยกกัน แต่เราจะนำทั้ง 3 ธุรกิจมารวมกันให้ลงตัว
เป้าหมายชีวิตของศิริญานั้นไม่ได้อยู่ที่ความร่ำรวย เธอบอกว่าคนที่รวยที่สุด อาจจะทุกข์ก็ได้ถ้าไม่รู้จักปล่อยวาง หรืออยู่อย่างเข้าใจชีวิต ดังนั้น การมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้จึงไม่ได้โลภเรื่องเงินทอง ไม่ได้คิดหรือมีโจทย์ว่าอยากได้เท่าไหร่ แต่มีความสุขกับการหาได้ ใช้เป็น และแบ่งปัน
"คนเราถ้าเริ่มมี ก็ควรแบ่งปันให้คนใกล้ตัวบ้าง และไม่คาดหวังกับชีวิตจนเกินไป อย่างเรื่องลูกทั้ง 5 คน คนเล็ก 16 คนโต 21 จะลงทุนเรื่องความรู้ให้พวกเขา แต่อย่าหวังว่าจะให้เขาเป็นโน่นเป็นนี่ อาจจะเป็นทั้งความทุกข์ของเราและของเขา ถ้าคาดหวังมากไป แต่บังเอิญเลี้ยงลูกโดยทำความเข้าใจกับเขาตั้งแต่เด็ก เรื่องการอยากได้อยากมีจึงไม่ค่อยมี ลูกใช้ชีวิตง่ายๆ กันหมด ทุกวันนี้คนที่ทุกข์ เพราะมีความอยากมากไป แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย มีความอยากบ้างจะได้มีพลัง เราต้องจัดการความอยากให้สมดุล ทุกวันนี้ ทุกอย่างคิดจากหลักความเป็นจริง ชอบเป็นนักหาเหตุผล ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ถ้ามีเวลาจะทบทวนหน้าที่ของตัวเอง ว่าดีพอหรือยัง"
ศิริญาปิดบทสนทนาว่า วันนี้เธออาจจะมั่งมีมากขึ้นเมื่อเทียบกับแต่ก่อน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกกังวลกับทรัพย์สินพวกนี้ว่าจะจัดการยังไง เพราะเมื่อไหร่ที่กังวลก็อาจจะทุกข์ได้ ดังนั้นเรื่องเงินทองขอแค่หาได้ ใช้เป็นและรู้จักแบ่งเป็นให้คนรอบตัว เผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่น แค่นี้ก็มีความสุขกับปัจจุบันแล้ว
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ml#picture
วันที่ 7 สิงหาคม 2554 10:30"ศิริญา เทพเจริญ" หาได้..ใช้เป็น...แบ่งปัน
โดย : กาญจนา หงษ์ทอง
จากผู้หญิงธรรมดาๆที่ก้าวขึ้นมาเป็นเศรฐีณีผู้มีที่่ดินเป็นของสะสม นี่คือเรื่องจริงไม่อิงนิยายของ"ศิริญา เทพเจริญ"ผู้บริหารอั่งเปา แอสเสท
จากสาวภูธรที่ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวยอะไร แต่ปะเหมาะเคราะห์ดีที่มีโอกาสเดินเข้าสู่แวดวงอสังหาริมทรัพย์เข้าโดยบังเอิญ แถมในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ขณะที่คนอื่นล้มและบาดเจ็บจากวิกฤติกันถ้วนหน้า แต่กลับเป็นจังหวะที่ค่อยๆ เติบโตและผงาดขึ้น จากต่างจังหวัดก้าวขึ้นมาจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และขยับขยายธุรกิจไปตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดอีกนับไม่ถ้วน จนทุกวันนี้เธอคือเศรษฐีนีผู้มีที่ดินเป็นของสะสม นี่ไม่ใช่เรื่องราวนิยาย หากแต่คือเรื่องจริงของ "ศิริญา เทพเจริญ" รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท อั่งเปา แอสเสท รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ณุศาศิริ และยังเป็นผู้บริหารแบงค์คอกเมดิเพล็ก ศูนย์สุขภาพ วิลลา เมดิคา และเจ้าของโรงแรมฟูรามา จอมเทียน บีชพัทยา
"ชีวิตเริ่มขึ้นที่อุดร ตอนนั้นเป็นจังหวะที่ทำให้เข้าไปเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เราซื้อในช่วงที่คนไม่ซื้อแล้ว เพราะคนอิ่มตัวไม่ค่อยซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เพราะกำลังจะเข้าวิกฤติ และเริ่มทำอสังหาฯ ในช่วงวิกฤติพอดี โชคดีที่ไม่ได้ติดหนี้ทรัสต์ ตอนนั้นต้องซื้อที่ดินด้วยเงินสด เริ่มจากซื้ออาคารพาณิชย์แค่ 2 ห้องได้ส่วนต่างนิดหน่อย ตรงนั้นได้เงินมาก้อนแรก จากนั้นเริ่มมาลงทุนในกรุงเทพฯ และเริ่มทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจังมากขึ้น"
ศิริญาขยายความว่า ถ้าจะพูดให้ถูกเธอเริ่มจากการซื้อหนี้เสียของธนาคารแล้วนำมาพัฒนาต่อมากกว่า โดยเริ่มซื้อเยอะในช่วงปี 2542-2543 เธอบอกว่าเป็นเทคนิคที่เหมือนกับการเล่นหุ้นคือ ซื้อตอนคนกลัว นั่นเป็นจังหวะที่ดีที่สุด
"เป็นคนที่พอราคาที่ดินเริ่มขึ้น จะไม่กล้าซื้อ แต่จะเน้นซื้อตอนลง ซื้อที่ดินพวกนี้ ได้ราคาถูกกว่าปกติ 50% นั่นคือกำไรแล้ว แต่เราต้องมีเงินหมุนเวียน คนซื้อที่ดินจึงไม่ค่อยมีเงินแต่มีเครดิต ตอนนี้ก็ดูที่ดินของ บสท.อยู่เรื่อยๆ เรียกว่าถูกโฉลกก็ได้ ถ้าซื้อโครงการร้างๆ บางคนอาจจะนำมาพัฒนาต่อไม่ได้ แต่เราทำได้ กับที่ดินร้างๆ จะชอบ เพราะเชื่อว่าคนเราถ้าคิด และทำจริงจัง ก็ไปได้ทั้งนั้น"
นั่นทำให้ทุกวันนี้ ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นการลงทุนที่ศิริญาโปรดปรานที่สุด จะเรียกได้ว่าเงินลงทุนทุกวันนี้อยู่ในอสังหาริมทรัพย์ 80% เลยก็ว่าได้ ที่เหลือก็เป็นเงินทุนหมุนเวียนและสำหรับใช้จ่าย โดยเฉพาะการลงทุนในที่ดินจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะดูแลรักษาง่าย อย่างอื่นรักษายาก
"อาจจะเป็นเพราะเราโตมาจากการซื้อขายที่ดิน ทำให้รู้ว่าการลงทุนในที่ดิน ไม่มีว่าคำว่าขาดทุน ส่วนใหญ่ซื้อแล้วพัฒนาเลย พอพัฒนาไปเรื่อยๆ ก็เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นตลอด โดยหลักๆ จะมองแนวความคิดว่าเราอยากทำอะไร ที่ดินตรงนี้น่าจะเป็นอะไร มองกระแสอยู่ตลอดว่าที่ดินโซนนี้ไปเท่าไหร่ แนวโน้มดีมั้ย ถ้าเราเห็นว่าไม่แพงมากก็จะซื้อ"
ศิริญาบอกว่าที่ดินในสเปคของเธอนั้น ทุกแปลงต้องติดถนนใหญ่ ทำเลต้องมาก่อน หรือถ้าซื้อที่ดินที่ภูเก็ตก็ต้องติดทะเล มีอยู่ผืนหนึ่งซื้อได้ปีกว่า ราคาเพิ่มเร็วมาก ปกติที่ดินรอบนอกจะไม่ซื้อ เพราะคิดโปรเจคไม่ออก ฉะนั้น ก่อนซื้อต้องคิดก่อนว่าที่แปลงนี้จะเอาไว้ทำอะไรได้บ้าง บางผืนยังนึกไม่ออกแต่ทำเลดีจริงก็อาจจะซื้อเก็บไว้ก่อน พูดถึงที่ดิน ถ้าสวยแต่แพง ก็ซื้อ เพราะแพงไม่ว่าขอให้มีอนาคต และดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง
"โดยมากถ้าเป็นที่ดินที่อยู่ลึกๆ จะไม่ซื้อ แต่ก็ไม่เสมอไป อย่างที่เขาใหญ่ ลึกหน่อยก็อาจจะซื้อ เพราะมีโปรเจคอยู่แล้ว แต่ก่อนซื้อต้องเห็นของจริงก่อน เริ่มจากดูที่ googleก่อน ว่าใกล้อะไร บางทีเราเดินไม่ทั่วถึง จะได้รู้ว่าข้างเคียงเป็นอะไร จากนั้นค่อยไปดูพื้นที่จริง แต่ที่ซื้อแล้วพลาดก็มี เสียมัดจำไป 200 กว่าล้าน เป็นที่ดินแถวสาทร ความที่กล้าๆ กลัวๆ ตอนนั้นปี 2551 จะซื้อก็กลัวเป็นหนี้ เลยจ่ายมัดจำไปก่อน แต่ก็พลาดในที่สุด ตรงนั้นทำให้คิดได้ว่า ถ้าทำอะไรต้องเต็มที่ อย่ากลัว ขนาดที่ผ่านมาเรายังไม่กลัวเลย เงินก็ไม่มีคอนเนคชั่นก็ไม่มี แต่เราก็ผ่านมาได้ และทำทุกอย่างได้ ตอนนี้ก็มองที่ดินอยู่ตลอดทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพราะมีโปรเจคที่อยากทำเยอะแยะเลย"
ตอนนี้นอกจากมีโรงแรมที่พัทยาแล้วก็ยังอยากทำโรงแรมเพิ่มอีก แต่อยากทำโรงแรมที่ดูแลสุขภาพด้วย อยากทำอะไรที่เน้นไปที่สุขภาพ เพราะเชื่อว่าอีก 5 ปีข้างหน้าทุกคนไม่อยากกินยาแล้ว ดังนั้นตอนนี้อยากจะลงทุนทำอะไรเพื่อสุขภาพให้มากที่สุด
"คนเราถ้ารวยแล้วสุขภาพไม่ดี ก็จบ ขาดทุนด้วย เพราะหามาได้แล้วไม่ได้ใช้ ตอนนี้เลยลงทุนด้านสุขภาพ ด้วยการซื้อคลินิกของแบรนด์เยอรมันอย่างวิลลา เมดิคามาเปิดที่เอกมัย ตอนนี้ มองเรื่องสุขภาพเป็นหลัก อยากให้คนไทยเป็นโรคชราอย่างเดียว ไม่อยากให้เจ็บป่วย ดูจากคนใกล้เคียง เพื่อนฝูง อย่างน้อยถ้าเราทำธุรกิจตรงนี้น่าจะดี อีกอันหนึ่งที่อยากทำคือเป็น รีไทร์เมนท์ เซ็นเตอร์ เป็นที่พักที่น่าอยู่บนพื้นที่ 500 ไร่ สำหรับคนแก่ และมีกิจกรรมให้คนวัยนี้ได้ทำอย่างหลากหลาย ตอนนี้คนโสดเยอะ หลายคนก็กังวลว่าใครจะดูแลเราตอนแก่ ถึงคนมีลูกก็เถอะ เรื่องพวกนี้ก็ต้องวางแผนเอาไว้ และเราจะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ และจิตใจของคนแก่"
ศิริญาบอกว่า ปกติการทำธุรกิจโรงแรม ธุรกิจศูนย์สุขภาพ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นคนทั่วไปโดยมากจะทำแยกกัน แต่เราจะนำทั้ง 3 ธุรกิจมารวมกันให้ลงตัว
เป้าหมายชีวิตของศิริญานั้นไม่ได้อยู่ที่ความร่ำรวย เธอบอกว่าคนที่รวยที่สุด อาจจะทุกข์ก็ได้ถ้าไม่รู้จักปล่อยวาง หรืออยู่อย่างเข้าใจชีวิต ดังนั้น การมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้จึงไม่ได้โลภเรื่องเงินทอง ไม่ได้คิดหรือมีโจทย์ว่าอยากได้เท่าไหร่ แต่มีความสุขกับการหาได้ ใช้เป็น และแบ่งปัน
"คนเราถ้าเริ่มมี ก็ควรแบ่งปันให้คนใกล้ตัวบ้าง และไม่คาดหวังกับชีวิตจนเกินไป อย่างเรื่องลูกทั้ง 5 คน คนเล็ก 16 คนโต 21 จะลงทุนเรื่องความรู้ให้พวกเขา แต่อย่าหวังว่าจะให้เขาเป็นโน่นเป็นนี่ อาจจะเป็นทั้งความทุกข์ของเราและของเขา ถ้าคาดหวังมากไป แต่บังเอิญเลี้ยงลูกโดยทำความเข้าใจกับเขาตั้งแต่เด็ก เรื่องการอยากได้อยากมีจึงไม่ค่อยมี ลูกใช้ชีวิตง่ายๆ กันหมด ทุกวันนี้คนที่ทุกข์ เพราะมีความอยากมากไป แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย มีความอยากบ้างจะได้มีพลัง เราต้องจัดการความอยากให้สมดุล ทุกวันนี้ ทุกอย่างคิดจากหลักความเป็นจริง ชอบเป็นนักหาเหตุผล ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ถ้ามีเวลาจะทบทวนหน้าที่ของตัวเอง ว่าดีพอหรือยัง"
ศิริญาปิดบทสนทนาว่า วันนี้เธออาจจะมั่งมีมากขึ้นเมื่อเทียบกับแต่ก่อน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกกังวลกับทรัพย์สินพวกนี้ว่าจะจัดการยังไง เพราะเมื่อไหร่ที่กังวลก็อาจจะทุกข์ได้ ดังนั้นเรื่องเงินทองขอแค่หาได้ ใช้เป็นและรู้จักแบ่งเป็นให้คนรอบตัว เผื่อแผ่ความสุขให้คนอื่น แค่นี้ก็มีความสุขกับปัจจุบันแล้ว
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ml#picture