Thai VI

หากเราจะเลือกลงทุนในหุ้นแต่ไม่อยากเสียเวลามางมหา ดูงบไปทีละบริษัท พี่ๆ เพื่อนๆ ในห้องนี้คิดว่าใช้ดัชนีใดมากรองแบบคร่าวๆดีครับ อย่างเช่น ตอนนี้ผมดูจาก P/E, D/E, DIVIDED YIELD และ Earning Growth ในงวดบัญชีล่าสุดมาประกอบกัน แต่ในส่วนของหุั้้นที่ปันผลดีๆจะดู EPS ย้อนหลังหลายๆปีอีกที
แล้วพี่ๆ ทั้งหลายคิดว่ายังไงครับ

SMA, RSI, MACD

เอ๊ ดัชนีพวกนี้ก็คุ้นๆนะครับรู้สึกว่า เป็นพวกสัญญาณ ทางเทคนิคใช่อ่ะเปล่าครับ

ซื้อตามผู้รู้ในห้องนี้

ปกติ ผมอาจจะไม่เหมือนทุกๆ ท่านนะครับ ผมกรองหุ้นจากข่าวหนังสือพิมพ์ครับ

เช่นข่าวว่า ไทยส่งออกเสื้อผ้าพุ่ง จีนสหรัฐทะเลาะกันไทยยิ้มกินพุงปลา เป็นต้น

พอเห็นข่าวพวกนี้ ผมก็น้ำลายไหลไปดูตารางหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากข่าวนั้นๆ แล้วกรองด้วยพวก P/E D/E dividend yield อะไรที่เค้ามีแสดงตามหนังสือพิมพ์นั่นแหละ แล้วค่อยไป download งบการเงิน กับฟอร์ม 56-1 มาดู ศึกษาเพิ่มในจุดต่างๆ แล้วค่อยซื้อ แน่นอนถ้าผมยิ่งรู้เรื่องธุรกิจพวกนี้ผมยิ่งลงทุนเยอะ ถ้าไม่ค่อยรู้ก็ค่อยๆ ลงดูอาการของหุ้นไปก่อน ประมาณนี้แหละครับ

สรุปก็คือ ผมกรองหุ้นจากข่าวตามหนังสือพิมพ์อะ ถูกหรือเปล่าไม่รู้แต่ผมทำของผมอย่างงี้แหละ

เฮ้อ แต่เห็นข่าวช่วงนี้แล้วไม่ค่อยมีข่าวให้น้ำลายไหลเลย มีแต่ต้องกลืนน้ำลายแบบฝืดคอ โดยเฉพาะข่าวราคาน้ำมัน

ดีครับดีๆ ขอบคุณที่แนะนำครับ ตอนนี้จะว่าไปก็มีข่าวนะครับ พี่ครับอุตสาหกรรมอ้อยบ้านเรามีจดทะทะเบียนในตลท.ไหมครับ แล้วเห็นเค้าอยากให้ไทยเป็น HUB ของน้ำตาลใช่หรือเปล่าครับ และรู้สึกอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลจ้างจุฬาฯทำการแก้ปัญหา LOGISTICให้ด้วยคงเป็นการปรับปรุงระบบครั้งใหญ่เหมือนกัน ผมว่าน่าสนใจเหมือนกันถ้าไม่ติดที่ว่ามันเป็นสินค้า commudity แบบไม่เน้นตราสินค้าแต่ดูน้ำมันซิครับพี่ๆ OPEC รวยเอารวยเอา
แต่ขอเตือนนิดนึงนะครับ เรื่องยุทธศาสตร์ KITCHEN OF THE WORLD ครับผมเคยไปสัมมนามาครับ มีคนของ CP และอีกหลายทีมาเป็นวิทยากรบอกว่า มันเป็นไปได้แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้เพราะเท่าที่ทราบต้องลงทุนอีกมาก ทั้งเรื่อง Logistic ด้วยที่ยังต้องเปลืองงบอีกเยอะและคุณภาพอาหาร นอกเหนือจากรสชาติที่เยี่ยมยอดก็เป็นปัญหา และการกีดกันทางการค้าแบบที่ไม่ใช่ภาษีอีก พวก HACCP อะไรเนี่ยแหละ แล้วเรื่องการเพาะเลี้ยง พ่อ-แม่พันธ์อีก สงสัยอีกนาน ที่สำคัญมาก ผมฟังแล้วโกรธ USA มาทันทีเลยคือเค้าเอาเปรียบเรามากพอสมควร โกรธๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่อยากสาธยายเดี๋ยวกระทบความสัมพนัธ์ระหว่างประเทศ อย่างนี้อุตสาหกรรมอาหารเราคงยังอีกนานกว่าจะสำเร็จความเป็น ครัวโลก เฮ้อ

ผมเลือก เอา วันที่ 20 May มาใช้ เพราะ ครั้งแรก ผม ทำตอน ดัชนี 600 เมื่อ ปลายเดือน พย.46 วันที่ 20 ดัชนี เท่ากับ 599.88 วิธีเลือกของผมคือ ดู PE ไม่เกิน 10 หรือเกิน นิดหน่อย PB ไม่เกิน 2 ผลตอบแทนปันผล 3 % ขึ้นไป ถ้าไปเอา วันที่ดัชนี สูงๆ จะพบว่าบริษัทที่น่าสนใจมีน้อย เมื่อเลือกได้แล้ว ก็ไปดู Hightlight ของ www.set.or.th ดูงบ ว่า หนี้สินต่อทุน เป็นหนึ่งต่อหนี่งหรือเปล่า สูงกว่า ไม่เอา จากนั้น ดู ROE ถ้า ต่ำกว่า 14 % ไม่เอา จากนั้น ไปดูรายได้ ปีก่อน เทียบกับ Q1/47 ว่า โต ขึ้นหรือเปล่า ต้อง โต ขึ้น 10 % เมื่อเทียบกับปีก่อน ติดลบ หรือน้อยกว่าไม่เอา เมื่อผ่านแล้ว จึง ไป Download Form 56-1 จาก www.set.or.th มาอ่านดูว่า มีอะไรต้องหาเพิ่มอีก เช่น กลุ่มผู้ถือหุ้น เป็น ต้น
เหนื่อยครับ กว่าจะได้มา แต่ ก็ ทำให้เห็นภาพ ความเปลี่ยนแปลงของ ธุรกิจ แต่ละ ประเภท ทำให้ตัดสินใจ ได้ดีขึ้น อธิบาย คำถามที่สงสัย ได้มากขึ้น
ผมพบว่าหลายกิจการ ปันผลดี แต่ Growth ตก บางกิจการ ใช้คน มหาศาล คนงานหนึ่งคน สร้างรายได้ ไม่ถึงล้าน บางกิจการ 1 คน ได้ 3 ล้าน ปูนใหญ่ 1 คน ได้ 8-9 ล้าน บางกิจการ พึ่ง เลิกจ้างคนงาน แต่ จ่ายปันผล ดี บางกิจการ กว่าจะตอบสนอง ต่อยอดขาย ที่ลดลง ใช้เวลาเป็นปี เพราะ ไป ยึดมาแต่ กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็น สถาบันการเงิน เลย ไม่ค่อยใส่ใจเท่าที่ควร อาจจะใช้หนี้หมดแล้วก็เลย ทำไปเรื่อยๆ
กรณ๊ เป็น สถาบันการเงิน หนี้สินต่อทุน คงไม่ใช่ หนึ่งต่อหนึ่ง ผมดูเงินกองทุนแทน รวมทั้งดู NPL ด้วย เงินกองทุนมากๆ ดี ไปดูพวก Hidden ด้วย โดย ดูจากงบการเงิน และหมายเหตุประกอบงบการเงิน

ที่ผมสนใจคือ บริษัทมียอดขาย 100 บาท จะมีเงินสดเหลือสทธิจากการลงทนและคืนชำระหนี้กี่บาทครับ และถ้าคิดเทียบกับมลค่าตลาดของบริษัทด้วย

1. มาร์เกตแคบ เทียบ กำไรปกติ
2. มาร์เกตแคบ เทียบ กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน + เงินปันผล
3. บริษัทที่มีหุ้นน้อยๆ มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรต่อหุ้น
4. สุดท้าย มาร์จิ้นล่าสุดของบริษัท