นับถอยหลัง บาเซิล 3 (การเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของธนาคาร)
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 15, 2011 8:31 am
เมื่อก่อนตอน บาเซิล 2 ออก
ธนาคารต่างๆก็โวยวายว่ากฏระเบียบเข็มงวดขึ้นมา มีการตั้งสำรองหนี้ต่างๆ การจัดชั้น
จนถึงปัจจุบันบาเซิล 2 ของเมืองไทยใช้ได้เต็มทีแล้วหรือยังล่ะ
ถ้าเป็นคนในวงการตอบได้เลยว่า เพิ่งจะ implement เสร็จไม่นานมานี้
แต่ตอนนี้กฏระเบียบของ บาเซิล 3 ได้ออกมามาแล้ว
อาทิตย์ที่แล้วผมได้อ่านบาทความของธนาคารแห่งประเทศไทยบทความหนึ่ง
ชื่อว่า " Basel III แนวทางการกำกับดูแลเงินกองทุนและสภาพคล่องตามหลักเกณฑ์ Basel III"
เมื่อได้อ่านบาทความดังกล่าว ผมได้อ่านในมุมมองของนักลงทุน ว่าเมื่อเปลี่ยนแปลง Basel II เป็น Basel III
นั้นมีผลกระทบต่อธนาคารอย่างไงบ้าง
ที่กระทบหนักคือ เงินกองทุนขั้นที่ 1 และ 2
เมื่อก่อน กองทุนขั้นที่ 1 นั้นคิดแค่ 4.5% เพียงพอแล้ว แต่รอบนี้ไม่ใช่ หลักเกณฑ์ เอา 6%
และคิดเรื่องสินทรัพย์หมุนเวียนถือครอง 30 วันเพื่อป้องกันคนแห่มาถอนเงิน (กฏเกณฑ์นี้ปรับปรุงหลังจากเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่ประชาชนแห่มาถอนเงินแล้วธนาคารไม่มีเงินให้ถอน ธนาคารล้มตามกันไป)
ส่วนกองทุนขั้นที่ 2 นั้น ระยะเวลาในการถือครองไม่ต่ำกว่า 5 ปี และ สะสมเงินปันผลด้วย มีการจัดอันดับเครดิตอีกต่างหาก จุดนี้เป็นจุดที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินในปัจจุบันที่ธนาคารใช้เป็นเครื่องมือเกือบจะทั้งหมดไม่รับรองเป็นกองทุนขั้นที่ 2 เพราะระยะที่น้อย (ผมไม่เห็นธนาคารไหนในปัจจุบันที่ออกตราสารหนี้ระยะยาวเท่าไร เห็นลงมาเล่นพวก B/E มากมาย นั้นมันไม่คิดว่าเป็นเงินกองทุนล่ะ)
ประการต่อมาที่กังวลคือ พวกการ Mark to market ของ อนุพันธ์ประเภทต่างๆ
อันนี้โชคดีที่ธนาคารไม่ค่อยมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินจำพวกนี้มากนัก แต่เป็นความโชคร้ายว่า ถ้าหากธนาคารซื้อผลิตภัณฑ์พวกนี้มา มีใคร Pricing เป็นหรือ
ในเมื่อแนวโน้มในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์พวก Option มีบทบาทในการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เท่าที่ผมรู้ในธปท ก็ดี ยังไม่มีบุคลลากรด้านนี้โดยตรง ต้องพึ่งพาบุคคลากรจากธนาคาพาณิชย์มาช่วยเหลือ
คำถามของผมจุดนี้คือ ในเมื่อเขาสร้างขึ้นมา มาตรวจสอบอีกมันถูกต้องแล้วหรือ
ปีนี้และปีหน้า
นักลงทุนควรที่เริ่มเอางบการเงินของธนาคารมากางดูว่า tier 1 มีเท่าไร ถ้ามีไม่เพียงพออาจจะต้องเพิ่มทุนก็เป็นไปได้
การเพิ่มทุนนั้นเพิ่มทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อรอการใช้ บาเซิล 3 แต่เนิ่นๆ
ต่อมาคือ ธนาคารก็เริ่มปล่อยกู้ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงลดลง
อาจจะเห็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินแปลกๆ ออกมาอีกก็เป็นไปได้
ส่งท้าย
ที่ผมเขียนกระทู้อันนี้เพื่อเป็นการเริ่มให้นักลงทุนอ่านกันมากๆ
และเตรียมตัวกันว่ามีอะไรเกิดในอนาคตกันบ้าง
เพราะสิ่งเหล่านี้ใกล้ตัวมากๆ
ตอนนี้ผมกำลังรอบทวิเคราะห์เรื่อง การลดการคุ้มครองเงินฝากลงเหลือ 50 ล้านบาท
ว่ามีสำนักไหนออกมาบ้างว่า กระทบฐานเงินฝากของธนาคารอย่างไง เพราะ ผู้ฝากเงินได้รับเงินคืนต่อธนาคารแค่ 50 ล้านบาท (ไม่ว่ามีกี่บัญชีจับมารวมกันหมด ได้คืนแค่ 50 ล้านบาท) ผู้ฝากต้องเรียกดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เพื่อชดเชยความเสี่ยง ทำให้ธนาคารจำเป็นต้องให้ผลตอบแทนของเงินฝากนี้สูงขึ้น ธนาคารปรับตัวอย่างไง และ ผู้ฝากปรับตัวอย่างไง
ปีหน้า การคุ้มครองเงินต้นเหลือแค่ 1 ล้านบาท ซึ่งประชาชนทั่วไปรับรู้หรือยัง จุดนี้เป็นแรงส่งในเรื่องของ บาเซิล 3 ด้วยล่ะ มาได้จังหวะพอดีในเรื่องพวกนี้

ธนาคารต่างๆก็โวยวายว่ากฏระเบียบเข็มงวดขึ้นมา มีการตั้งสำรองหนี้ต่างๆ การจัดชั้น
จนถึงปัจจุบันบาเซิล 2 ของเมืองไทยใช้ได้เต็มทีแล้วหรือยังล่ะ
ถ้าเป็นคนในวงการตอบได้เลยว่า เพิ่งจะ implement เสร็จไม่นานมานี้
แต่ตอนนี้กฏระเบียบของ บาเซิล 3 ได้ออกมามาแล้ว
อาทิตย์ที่แล้วผมได้อ่านบาทความของธนาคารแห่งประเทศไทยบทความหนึ่ง
ชื่อว่า " Basel III แนวทางการกำกับดูแลเงินกองทุนและสภาพคล่องตามหลักเกณฑ์ Basel III"
เมื่อได้อ่านบาทความดังกล่าว ผมได้อ่านในมุมมองของนักลงทุน ว่าเมื่อเปลี่ยนแปลง Basel II เป็น Basel III
นั้นมีผลกระทบต่อธนาคารอย่างไงบ้าง
ที่กระทบหนักคือ เงินกองทุนขั้นที่ 1 และ 2
เมื่อก่อน กองทุนขั้นที่ 1 นั้นคิดแค่ 4.5% เพียงพอแล้ว แต่รอบนี้ไม่ใช่ หลักเกณฑ์ เอา 6%
และคิดเรื่องสินทรัพย์หมุนเวียนถือครอง 30 วันเพื่อป้องกันคนแห่มาถอนเงิน (กฏเกณฑ์นี้ปรับปรุงหลังจากเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่ประชาชนแห่มาถอนเงินแล้วธนาคารไม่มีเงินให้ถอน ธนาคารล้มตามกันไป)
ส่วนกองทุนขั้นที่ 2 นั้น ระยะเวลาในการถือครองไม่ต่ำกว่า 5 ปี และ สะสมเงินปันผลด้วย มีการจัดอันดับเครดิตอีกต่างหาก จุดนี้เป็นจุดที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินในปัจจุบันที่ธนาคารใช้เป็นเครื่องมือเกือบจะทั้งหมดไม่รับรองเป็นกองทุนขั้นที่ 2 เพราะระยะที่น้อย (ผมไม่เห็นธนาคารไหนในปัจจุบันที่ออกตราสารหนี้ระยะยาวเท่าไร เห็นลงมาเล่นพวก B/E มากมาย นั้นมันไม่คิดว่าเป็นเงินกองทุนล่ะ)
ประการต่อมาที่กังวลคือ พวกการ Mark to market ของ อนุพันธ์ประเภทต่างๆ
อันนี้โชคดีที่ธนาคารไม่ค่อยมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินจำพวกนี้มากนัก แต่เป็นความโชคร้ายว่า ถ้าหากธนาคารซื้อผลิตภัณฑ์พวกนี้มา มีใคร Pricing เป็นหรือ
ในเมื่อแนวโน้มในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์พวก Option มีบทบาทในการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เท่าที่ผมรู้ในธปท ก็ดี ยังไม่มีบุคลลากรด้านนี้โดยตรง ต้องพึ่งพาบุคคลากรจากธนาคาพาณิชย์มาช่วยเหลือ
คำถามของผมจุดนี้คือ ในเมื่อเขาสร้างขึ้นมา มาตรวจสอบอีกมันถูกต้องแล้วหรือ
ปีนี้และปีหน้า
นักลงทุนควรที่เริ่มเอางบการเงินของธนาคารมากางดูว่า tier 1 มีเท่าไร ถ้ามีไม่เพียงพออาจจะต้องเพิ่มทุนก็เป็นไปได้
การเพิ่มทุนนั้นเพิ่มทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อรอการใช้ บาเซิล 3 แต่เนิ่นๆ
ต่อมาคือ ธนาคารก็เริ่มปล่อยกู้ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงลดลง
อาจจะเห็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินแปลกๆ ออกมาอีกก็เป็นไปได้
ส่งท้าย
ที่ผมเขียนกระทู้อันนี้เพื่อเป็นการเริ่มให้นักลงทุนอ่านกันมากๆ
และเตรียมตัวกันว่ามีอะไรเกิดในอนาคตกันบ้าง
เพราะสิ่งเหล่านี้ใกล้ตัวมากๆ
ตอนนี้ผมกำลังรอบทวิเคราะห์เรื่อง การลดการคุ้มครองเงินฝากลงเหลือ 50 ล้านบาท
ว่ามีสำนักไหนออกมาบ้างว่า กระทบฐานเงินฝากของธนาคารอย่างไง เพราะ ผู้ฝากเงินได้รับเงินคืนต่อธนาคารแค่ 50 ล้านบาท (ไม่ว่ามีกี่บัญชีจับมารวมกันหมด ได้คืนแค่ 50 ล้านบาท) ผู้ฝากต้องเรียกดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เพื่อชดเชยความเสี่ยง ทำให้ธนาคารจำเป็นต้องให้ผลตอบแทนของเงินฝากนี้สูงขึ้น ธนาคารปรับตัวอย่างไง และ ผู้ฝากปรับตัวอย่างไง
ปีหน้า การคุ้มครองเงินต้นเหลือแค่ 1 ล้านบาท ซึ่งประชาชนทั่วไปรับรู้หรือยัง จุดนี้เป็นแรงส่งในเรื่องของ บาเซิล 3 ด้วยล่ะ มาได้จังหวะพอดีในเรื่องพวกนี้
