หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2011 9:16 pm
โดย leaderinshadow
เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B ... 5%E0%B9%89
เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

01 กรกฎาคม 2554 เวลา 08:02 น.


วันนี้คำว่า Defaults หรือไม่ชำระหนี้ได้ตามกำหนด กลายเป็นคำยอดฮิตอีกครั้ง หลังจากที่เคยติดหู ติดตา และติดปาก ชาวโลกมาแล้วช่วงหนึ่ง ระหว่างวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2551 และขณะนี้ประเทศที่ผูกติดกับคำว่า “เบี้ยวหนี้” มากที่สุด คือกรีซ ประเทศต้นเหตุของวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป

หากวัดกันที่ระดับหนี้สาธารณะแล้ว จะพบว่ากรีซยังห่างชั้นกับอีกหลายประเทศ ซึ่งมีระดับหนี้สูงจนน่าตกใจ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ซึ่งมีอัตราหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงถึง 225.8% และสิงคโปร์ที่ 102.4%

อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้บางแห่งมีระดับความน่าเชื่อถือสูงและมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่นไม่เหมือนกับกรีซที่ไม่เพียงประสบกับหายนะทางเศรษฐกิจ แต่การเมืองและภาคประชาชนยังย่อยยับเพราะความแตกแยกภายใน ยังผลให้นักลงทุนมีเหตุที่จะต้องกังวลกับกรีซ

อีกประเทศหนึ่งที่มีระดับหนี้สูงพอสมควร คือ 58.9% ของ GDP หรือในอันดับที่ 36 ของโลก

ที่ผ่านมาสหรัฐควรเป็นประเทศสุดท้ายที่นักลงทุนจะกังวลกับแนวโน้มที่สหรัฐอาจเบี้ยวหนี้

สหรัฐมีสถานะทางการเงินที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ไม่มีประเทศใดเหมือนและไม่เหมือนประเทศอื่น เนื่องจากเงินเหรียญสหรัฐมีฐานะเป็นสกุลเงินอันดับ 1 ของโลก มีสัดส่วนมากที่สุดในทุนสำรองของนานาประเทศ ขณะเดียวกันพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐผูกขาดฐานะพันธบัตรที่ปลอดภัยที่สุดในโลก จึงเป็นที่ต้องการมากที่สุดเช่นกัน

การที่เงินเหรียญและพันธบัตรสหรัฐมีสถานะที่สอดคล้องกัน ช่วยเสริมสภาพคล่องให้สหรัฐมาอย่างยาวนาน แม้แต่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำที่สุด รากฐานนี้ของสหรัฐยังแข็งแกร่งและทำให้สหรัฐสามารถรั้งตำแหน่งมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกเอาไว้ได้ ที่สำคัญก็คือ ด้วยพลังอำนาจทั้ง 2 ประการนี้ ทำให้สหรัฐก่อหนี้สาธารณะได้อย่างมันมือ

อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จีรังยั่งยืน หลังจากเกิดวิกฤตการเงินและภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก หลายประเทศเริ่มตั้งคำถามกับการผูกขาดฐานะดังกล่าวของสหรัฐ หลายประเทศเริ่มผละตัวจากเงินเหรียญและพันธบัตรสหรัฐ แม้จะยังไม่ถึงขั้นพลิกฟ้าคว่ำดิน เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างฉับพลัน แต่วันนี้สหรัฐอ่อนแรงไปมากในทางการเงิน

ด้วยเหตุนี้ภายในสหรัฐเองจึงเริ่มมีวิวาทะว่าด้วยการลดงบประมาณขาดดุล ลดหนี้สาธารณะด้วยการขีดเส้นตายระดับหนี้ของประเทศให้แคบลง จากที่เคยก่อหนี้ตามใจชอบเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะไม่ให้เกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกับยุโรป

แม้ว่าแท้จริงแล้ววิวาทะนี้จะเกี่ยวพันกับประเด็นทางการเมืองระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน แต่เมื่อพิจารณาที่แก่นแท้ของปัญหาแล้ว กล่าวได้อย่างเต็มปากว่าสหรัฐกำลังประสบกับปัญหาจริงๆ และยิ่งเป็นปัญหาเมื่อทั้งสองพรรคไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ในประเด็นกำหนดเพดานหนี้ของประเทศ หลังจากที่ระดับหนี้ทะลุ 14.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว

การที่เงินเหรียญสหรัฐและพันธบัตรสหรัฐมีความน่าเชื่อถือสูงที่สุด ทำให้การสูญเสียเครดิตแม้เพียงเล็กน้อยจะส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรง หากสหรัฐถึงขนาดที่ไม่อาจชำระหนี้ได้ตามกำหนด แม้จะเป็นการยืดเวลาเพียงระยะสั้นๆ ไม่ถึงกับยื้อเวลาเหมือนกรีซ เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะบั่นทอนสถานะสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและมีความคล่องตัวสูง

ถึงขั้นที่บั่นทอนอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศ จนสั่นสะเทือนระบบเศรษฐกิจโลกไปด้วย เพราะส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในสินทรัพย์สัญชาติสหรัฐ ถึงจะเริ่มกังขาสถานะดังกล่าวบ้างแล้วก็ตาม

ล่าสุด ความกังวลนี้เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น เมื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่าสหรัฐควรกำหนดเพดานหนี้โดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะจากภาวะ “ช็อก” ทางเศรษฐกิจที่จะลุกลามไปทั่วโลก

IMF ยังเตือนด้วยว่าหากสหรัฐไม่อาจสะสางประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับเพดานหนี้ได้ ระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินที่เคยอยู่ในระดับสูงสุดที่ AAA อาจถูกปรับลงมาอย่างแน่นอน

Moody’s บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินรับลูก IMF ในทันที โดยเตือนว่า หากสหรัฐไม่เร่งกำหนดเพดานหนี้ มีโอกาสสูงที่ปัญหาจะลุกลามจากพันธบัตรรัฐบาลไปถึงพันธบัตรระดับท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งภาคเอกชนยังต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

ก่อนหน้านี้ Moody’s ยังเคยเตือนว่าอาจต้องปรับลดระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินของสหรัฐจาก AAA หากแก้ปัญหานี้ไม่ลุล่วง ท่าทีล่าสุดแสดงให้เห็นว่า Moody’s จริงจังกับการลดเครดิตสหรัฐอยู่ไม่น้อย

ปัญหาก็คือ ทัศนะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างพรรเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน

พรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาลย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐควรขยายเพดานหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเบี้ยวหนี้ ซึ่งช่วยเสริมความน่าเชื่อถือที่เริ่มสั่นคลอนลงหลังวิกฤตการเงินโลก

ฝ่ายรีพับลิกันยืนยันว่าสหรัฐมีอิทธิพลอันดับ 1 ในโลกเศรษฐกิจ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามวินัยเหมือนนานาประเทศและไม่ควรเพิ่มเพดานหนี้

ทัศนะนี้สะท้อนความเห็นของชาวโลกเช่นกัน เพราะบางส่วนเห็นว่าสหรัฐควรปฏิบัติตามวินัยทางการเงินเหมือนประเทศอื่นๆ เสียที เพื่อความมั่นคงในระยะยาวของเศรษฐกิจโลก ในฐานะที่เงินเหรียญสหรัฐและพันธบัตรสหรัฐต้องเป็นเสาหลักไปอีกนาน

ส่วนอีกฝ่ายเห็นด้วยกับพรรครีพับลิกัน ที่ว่าสหรัฐอยู่ในฐานะที่ไม่ต้องผูกมัดตัวเองกับวินัยทางการเงิน เพราะสามารถปั๊มธนบัตรได้ตามใจชอบ ซึ่งมาตรการ QE2 ก็นับเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงอำนาจทางการเงินของสหรัฐ

ไม่ว่าฝ่ายใดจะเห็นเป็นเช่นไร แต่ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง คือ หากสภาคองเกรสไม่ผ่านมติเห็นชอบให้ขยับเพดานหนี้ให้สูงกว่านี้ หากสภาคองเกรสไม่อาจลงรอยกันได้ภายในเส้นตายวันที่ 2 ส.ค.นี้ กระทรวงการคลังสหรัฐอาจต้องจำยอมเลื่อนการชำระหนี้ออกไป ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือหายนะด้านวิกฤตศรัทธาต่อสถานะทางการเงินของประเทศ

หากสถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริง คำเตือนของ IMF และ Moody’s จะกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เพราะหายนะที่เลวร้ายกว่าจะก่อตัวขึ้นในทันที

http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/ต่าง ... เบี้ยวหนี้

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2011 9:17 pm
โดย leaderinshadow
ภาพประกอบการบรรยาย :mrgreen:

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 14, 2011 8:20 am
โดย Mr.high
ถ้าเกิดสหรัฐเบี้ยวหนี้จริง แต่ละคนคิดว่าจะส่งผลยังไงต่อเศรษฐกิจโลกบ้างครับเนี่ย

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 15, 2011 9:28 pm
โดย navapon
เพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ
.โดย Dr.KOB เมื่อ 14 กรกฎาคม 2011 เวลา 18:13 น..

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หนี้รัฐบาลสหรัฐได้ทะลุเพดานที่รัฐสภาสหรัฐกำหนดไว้ ที่ 14.294 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้คุณ Timothy Geithner รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ ต้องออกมาเตือนว่า ถ้ารัฐสภาไม่ทำอะไร ยังคงตกลงกันไม่ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเพดานหนี้ภายในวันที่ 2 สิงหาคมที่จะถึงนี้ จะเกิดผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินโลก

ทำไมต้องมีการกำหนดเพดานหนี้ และเพดานหนี้สำคัญอย่างไร

สหรัฐได้มีการกำหนดเพดานหนี้มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1917 หรือเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว โดยขณะนั้นเพดานหนี้อยู่ที่ 11.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งการกำหนดเพดานหนี้ขึ้นมานั้น ก็เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้รัฐสภากำกับควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐให้ อยู่ในกรอบ ไม่สุรุ่ยสุหร่าย ก่อหนี้ ใช้จ่ายเกินตัว โดยวงเพดานหนี้ที่กำหนดไว้นั้น นับรวมถึงเงินกู้จากสาธารณชน ตลอดจนจากกองทุนประกันสังคมและกองทุนประกันสุขภาพของสหรัฐ

ทั้งนี้ เมื่อรัฐบาลสหรัฐก่อหนี้เกินกว่าเพดานที่กำหนดไว้ ต้องมาขออนุมัติรัฐสภาเพื่อขยับเพดานหนี้ขึ้นไป ซึ่งในจังหวะนั้น รัฐสภาก็สามารถใช้การเพิ่มเพดานหนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองกับรัฐบาลว่า รัฐบาลจะต้องประหยัด ต้องลดการใช้จ่าย และเก็บภาษีเพิ่ม ดูแลให้เกิดวินัยการคลัง เพื่อแลกเปลี่ยนกับวงเงินที่จะเพิ่มขึ้นให้

การปรับเพดานหนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตมีการปรับเพดานหนี้อยู่เรื่อยๆ โดยตั้งแต่ปี 1962 เป็นต้นมา มีการปรับขึ้นเพดานหนี้มาแล้ว 74 ครั้ง

สำหรับครั้งนี้ นักลงทุนในตลาดเองก็ยังไม่ได้กังวลใจในเรื่องนี้มาก ดังจะเห็นได้จากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องใน ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และในวันที่ชนเพดานหนี้ ดอกเบี้ยก็ปรับเพิ่มขึ้นไปเพียงวันเดียวก่อนที่จะปรับลดลงในวันต่อมา

อย่างไรก็ตาม มีผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐและผู้บริหารของสถาบันการเงินในสหรัฐหลาย คนออกมาเตือนว่า ถ้าไม่ทำอะไร ปล่อยปัญหาไว้ ท้ายสุดจะมีผลกระทบมาก ซึ่งที่ออกมาเตือนเช่นนี้ก็เพราะกังวลใจว่าสมาชิกผู้แทนราษฎร์น้องใหม่จาก พรรครีพับรีกันหลายคน (ที่ได้รับเลือกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา) ได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยในการพิ่มเพดานหนี้ และเรียกร้องยืนกรานให้รัฐบาลปรับลดการใช้จ่ายลงมามากๆ เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งรอบนี้ ดูเหมือนกับว่าการเจรจากับรัฐสภาไม่บรรลุผล และมีอุปสรรคมากกว่าครั้งก่อนๆ

ทางออกและนัยคืออะไร

ถ้าถึงวันที่ 2 สิงหาแล้ว รัฐสภายังไม่ยอมเพิ่มเพดานหนี้ รัฐบาลสหรัฐมีทางออก 2 ทาง ทางแรก คือ ไม่จ่ายหนี้คืน ไม่จ่ายดอกเบี้ย ทางที่สอง ปรับลดการใช้จ่ายหรือเพิ่มภาษี แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็มีผลกระทบกว้างขวางทั้งคู่

สำหรับผลกระทบของทางแรก นั้น จะส่งผลต่อตลาดเงิน ตลาดพันธบัตรอย่างกว้างขวาง เพราะหมายความว่ารัฐบาลสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งตรงนี้มีนัยกว้างไกลมากต่อความเชื่อถือในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ ส่วนผลกระทบของทางที่สอง เนื่องจากปีนี้รัฐบาลสหรัฐขาดดุลภาคการคลังมากถึง 1.4 ล้านล้าน ถ้าเพิ่มเพดานไม่ได้ ก็หมายความว่ารัฐมนตรีว่างการกระทรวงการคลังของสหรัฐจะขาดเงินประมาณ 112 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน (ก่อนที่จะขึ้นปีงบประมาณหน้า) ถ้าไม่เบี้ยวการจ่ายเงินของบางโครงการ ก็ต้องพยายามเก็บภาษีเพิ่มเติมมาให้ได้ อันจะกระทบต่อการใช้จ่ายภาครัฐ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังเปราะบางอยู่

ด้วยเหตุนี้ ตลาดจึงมองว่า ท้ายสุด รัฐสภากับรัฐบาลสหรัฐก็คงจะตกลงกันได้เช่นเคย เหมือนครั้งก่อนหน้า โดยอาจจะเพิ่มเพดานขึ้นไปอีก 1-2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยยอมความ ตกลงกันที่จะลดการใช้จ่ายภาครัฐลง และเก็บภาษีขึ้นบางส่วน ซึ่งจะช่วยสร้างวินัยทางการคลังให้เกิดขึ้นได้

แต่เนื่องจากยอดหนี้รัฐบาลสหรัฐได้อยู่ในระดับซึ่งเรียกว่าสูงมากพอสมควร แล้ว การเพิ่มเพดานหนี้รอบนี้ ไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องปัญหาการคลังในระยะยาวของสหรัฐ เพราะจะทำให้สหรัฐเข้าไปใกล้ภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวมากขึ้น อีกทั้งต้นตอสาเหตุ ปัญหาจริงๆ ที่ทำให้หนี้ของสหรัฐเพิ่มในช่วงต่อไป อยู่ที่รายจ่ายของการประกันสังคม การประกันสุขภาพ ที่จะมียอดรายจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การที่รัฐบาลสหรัฐจะคิดแก้ไขปัญหาในประเด็นดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะกระทบประชาชนเป็นวงกว้าง และมีนัยทางการเมือง และจะต้องใช้เวลาในการต่อรอง หารือ

ตรงนี้ ก็ต้องติดตามกันครับว่า หนังรอบนี้จะจบลงอย่างไร และทางออกที่เลือก จะกลับมาเป็นปัญหาให้กับทุกคนในช่วงต่อไปอีกหรือไม่ ก็ขอเอาใจช่วยครับ

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 31, 2011 9:31 am
โดย sarawut_p
คนรวยที่สุดในโลกหลาย ๆ คนอยู่ในสหรัฐทั้งนั้น แถมมีทั้ง Microsoft, Google ผมงงว่าทำไมเค้าไม่มีเงินจ่ายหนี้ครับ :shock:
และถ้าพิมพ์แบงค์มาเพิ่มเอง แล้วเอาไปจ่ายหนี้ ทำไมตอนนี้ทำไม่ได้แล้วละครับ

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 31, 2011 9:35 am
โดย densin
sarawut_p เขียน:คนรวยที่สุดในโลกหลาย ๆ คนอยู่ในสหรัฐทั้งนั้น แถมมีทั้ง Microsoft, Google ผมงงว่าทำไมเค้าไม่มีเงินจ่ายหนี้ครับ :shock:
และถ้าพิมพ์แบงค์มาเพิ่มเอง แล้วเอาไปจ่ายหนี้ ทำไมตอนนี้ทำไม่ได้แล้วละครับ
อธิบายง่ายๆละกัน
เงินในประเทศมีเยอะ แต่รัฐกู้เงินมาจ่ายหนี้ไม่ได้ เพราะกฏหมายไม่ให้กู้เกินกำหนด
ตอนนี้คือพยายามเพิ่มเพดานการกู้อยู่ แต่โดนการเมืองทำให้เพิ่มไม่ได้
ถ้ากู้เพิ่มไม่ได้ ก็หมุนเงินต่อไม่ได้ อาจจะจบที่เบี้ยวหนี้

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 31, 2011 9:45 am
โดย sarawut_p
densin เขียน:
sarawut_p เขียน:คนรวยที่สุดในโลกหลาย ๆ คนอยู่ในสหรัฐทั้งนั้น แถมมีทั้ง Microsoft, Google ผมงงว่าทำไมเค้าไม่มีเงินจ่ายหนี้ครับ :shock:
และถ้าพิมพ์แบงค์มาเพิ่มเอง แล้วเอาไปจ่ายหนี้ ทำไมตอนนี้ทำไม่ได้แล้วละครับ
อธิบายง่ายๆละกัน
เงินในประเทศมีเยอะ แต่รัฐกู้เงินมาจ่ายหนี้ไม่ได้ เพราะกฏหมายไม่ให้กู้เกินกำหนด
ตอนนี้คือพยายามเพิ่มเพดานการกู้อยู่ แต่โดนการเมืองทำให้เพิ่มไม่ได้
ถ้ากู้เพิ่มไม่ได้ ก็หมุนเงินต่อไม่ได้ อาจจะจบที่เบี้ยวหนี้
อย่างนี้นี่เองครับ รัฐบาลหนี้เยอะ แต่กู้จากเอกชนไม่ได้
ขอบคุณครับ

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 31, 2011 11:25 am
โดย navapon
วันที่ 30 กรกฎาคม 2554 13:20

เปิดบัญชีสหรัฐ'จีน'เจ้าหนี้อันดับหนึ่ง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ยอดหนี้สาธารณะของสหรัฐอยู่ที่ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ หนี้ก้อนใหญ่สุดเป็นการกู้ยืมตัวเอง ส่วนเจ้าหนี้ต่างประเทศ จีนอันดับหนึ่ง

ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐเป็นหนี้อยู่ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเจ้าหนี้ 1 ใน 3 เป็นรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ อีก 1 ใน 3 เป็นกองทุนบำนาญสหรัฐ รวมถึงนักลงทุนอเมริกัน

สหรัฐติดหนี้ตัวเองก้อนใหญ่ที่สุดประมาณ 5.7 ล้านล้านดอลลาร์ อยู่ในรูปของสินทรัพย์ที่กู้ยืมจากโครงการบำนาญประกันสังคมและระบบประกันสุขภาพสำหรับคนชรา

หนี้ที่ติดค้างต่างประเทศคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ นับถึงปี 2553 โดยรัฐบาลจีนและนักลงทุนจีนถือครองหนี้สหรัฐมากที่สุด 1.16 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ

8% ของหนี้สิ้นทั้งหมด

อันดับสอง ได้แก่ ญี่ปุ่น 912,000 ล้านดอลลาร์ ตามด้วยอังกฤษ 346,000 ล้านดอลลาร์ และประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน 230,000 ล้านดอลลาร์

บราซิลถือครองหนี้สหรัฐ 211,000 ล้านดอลลาร์ ไต้หวัน รัสเซีย และฮ่องกง ถือครองรายละกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์

ส่วนหนี้ที่สหรัฐติดค้างตัวเอง แบ่งเป็น 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับกองทุนบำนาญสหรัฐ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับกองทุนเงินออมอื่นๆ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับนักลงทุน

รายบุคคล 500,000 ล้านดอลลาร์สำหรับรัฐบาลท้องถิ่น และ 600,000 ล้านดอลลาร์สำหรับธนาคารพาณิชย์และบริษัทประกัน

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 31, 2011 11:26 am
โดย navapon
วันที่ 30 กรกฎาคม 2554 11:09

ส.ว.สหรัฐคว่ำร่างกม.เพิ่มเพดานหนี้
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วุฒิสภาสหรัฐลงมติ 59-41 ค้านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ตามคาดหวังฝ่ายรีพับลิกันประนีประนอมก่อนเส้นตาย 2 ส.ค.

วุฒิสภาสหรัฐภายใต้การนำของพรรคเดโมแครต ลงมติเมื่อคืนวันศุกร์ (29 ก.ค.) ด้วยคะแนน 59 ต่อ 41 เสียง ปฏิเสธร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ ที่เพิ่งผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไม่ถึงสองชั่วโมง

นายแฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต แสดงความหวังว่า นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างน้อยจากพรรครีพับลิกัน จะช่วยหาทางประนีประนอมเพื่อบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้าย ก่อนเส้นตายวันที่ 2 ส.ค.

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 31, 2011 8:49 pm
โดย ilekis
ทำไมเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต ถึงทำให้ลงมติชนะไม่ได้หล่ะครับ
ในเมื่อเสียงมากกว่า ?? หรือจริง ๆ รีพลับลิกันมีเสียงมากกว่า

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 01, 2011 10:58 pm
โดย simplelife
densin เขียน:ถ้ากู้เพิ่มไม่ได้ ก็หมุนเงินต่อไม่ได้ อาจจะจบที่เบี้ยวหนี้
เบี้ยวไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ ถ้า default ขึ้นจริงๆ rating ตกจาก AAA แค่เรื่องเงินก็ไม่รู้ว่าต้องเสียเงินไปกับ yield ที่ต้องเพิ่มขึ้นมา compensate กับ rating ที่ตกลงไปเท่าไร ไหนจะเรื่องความเชื่อมั่น ศักยภาพการลงทุนในอนาคต

ถึง US เขาจะเล่นการเมืองกันมากไปหน่อยตอนนี้ ก็ยังพอมีหวังครับ ว่าจะเห็นแก่ประเทศชาติเป็นหลัก ไม่เอาการเมืองมาปนเรื่องโน้นเรื่องนี้จนเละเหมือนประเทศแถวๆนี้หรอกครับ

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 01, 2011 11:08 pm
โดย ilekis
กลัวว่าช่วงนี้บริษัทจัดอันดับเครดิตทั้งหลายจะ action มากเกินไปหน่อยหนะสิครับ
จากที่โดนตำหนิจากช่วงเกิด subprime
แล้วกลายเป็นไปตามทฤษฎีิ reflexivity ของ soros

บ จัดอันดับลดเครดิต > เกิดภาวะตื่นตกใจ > ลดการใช้จ่าย > บ ขายของไม่ได้ กำไรลดหรือขาดทุน >
คนตกงาน > ลดการใช้จ่าย > .... วนไปเรื่อย

คาดว่าแย่เกินจริงเลยทำให้เศรษฐกิจแย่ไปกว่าที่ควรจะเป็นจริง ๆ

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 01, 2011 11:21 pm
โดย hot
ทำไม ไม่เอาทอง ไปจำนำ กับ เอกชน ละครับ

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 02, 2011 1:03 am
โดย simplelife
hot เขียน:ทำไม ไม่เอาทอง ไปจำนำ กับ เอกชน ละครับ
เพดานหนี้ของรัฐ รัฐไปจำนำกับเอกชน ก็เป็นหนี้ของรัฐเหมือนกัน ไม่ต่างอะไรกับพันธบัตรที่เอาความน่าเชื่อถือไปจำนำไว้กับเอกชน หรือนักลงทุนต่างชาิติ

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 03, 2011 7:49 am
โดย hot
ถ้าเอาทองจำนำกับเอกชน เอกชน น่าจะสามารถมาก่อกำไร ในตลาดทุนมหาศาล หรือเปล่าครับ

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 05, 2011 4:28 pm
โดย bank115
สุดท้ายแล้ว ถ้า USA จำเป็นต้อง Default เนื่องจากไม่มีเงินใช้หนี้ และ ไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้แล้ว
แล้วใคร จะมาช่วย USA หรอครับ IMF ?? China ??

หรือว่า ไม่มีทางเลยที่ USA จะ Default ??

Re: เมื่อสหรัฐจวนเจียน 'เบี้ยวหนี้'

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2011 11:13 am
โดย leaderinshadow
เมกา คงไม่มีทาง default อย่างที่ บัฟเฟ็ทพูดครับ เพราะรัฐบาลสามารถพิมพ์เงินเพิ่มได้
แต่เงินเฟ้อ นั้นอีกเรื่อง

คือ ถ้าใช้วิธีนี้เพื่อใช้หนี้ เงินดอลล่าร์จะเสื่อมค่าอย่างรุนแรง