อ่านวงจรเศรษฐกิจ จับทิศลงทุนให้ถูกจังหวะ
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 20, 2011 4:15 pm
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%B0.html
http://bit.ly/kOfpGk
การเงิน - การลงทุน : การเงินส่วนบุคคล
วันที่ 12 มิถุนายน 2554 10:00
อ่านวงจรเศรษฐกิจ จับทิศลงทุนให้ถูกจังหวะ
โดย : สรวิศ อิ่มบำรุง
Fundamentals นำเสนอการลงทุนตามวงจรเศรษฐกิจพร้อมอัพเดทมุมมองตลาดหุ้นในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกมาฝากกัน
มีการศึกษาพบว่า “วงจรเศรษฐกิจ” ที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปรไปมานั้น มีความสัมพันธ์กับจังหวะในการลงทุนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
โดยการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทจะให้ “ผลตอบแทน” ที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของวงจรเศรษฐกิจนั่นเอง
นอกจากนักลงทุนควรจะมีความรู้ความเข้าใจใน “สินทรัพย์การลงทุน” ประเภทต่างๆ แล้ว เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์แล้ว
ยังต้องตระหนักและเข้าใจถึง “ความเสี่ยง” ที่ตัวเองสามารถยอมรับได้ด้วย เพื่อที่จะได้เลือกการลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง
แล้วจะดีกว่ามั้ย หากผู้ลงทุนสามารถมองวงจรเศรษฐกิจได้ด้วยตัวเอง เพื่อเลือกการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเองในแต่ละช่วงเศรษฐกิจได้ด้วย
Fundamentals สัปดาห์นี้ มีเรื่องราวของการลงทุนตามวงจรเศรษฐกิจพร้อมอัพเดทมุมมองตลาดหุ้นในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกมาฝาก
..................
@ มองรอบเศรษฐกิจให้ออก
เรื่องนี้ “ธีรพันธุ์ จิตตาลาน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร บลจ.ฟินันซ่า แนะนำว่า วัฏจักรเศรษฐกิจและการลงทุนเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างชัดเจน โดยในแต่ละช่วงเศรษฐกิจนั้นจะมีการลงทุนที่เหมาะสมในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่าในช่วงที่เศรษฐกิจเป็นขาขึ้นนั้น การลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ลงทุน โดยราคาหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์มักจะมีการปรับตัวขึ้นและลงก่อนการปรับตัวขึ้นลงของเศรษฐกิจด้วย เพราะเป็นการซื้อขายบนความคาดหวังของสภาพเศรษฐกิจในอนาคต ในทางตรงข้ามในช่วงที่เศรษฐกิจเป็นขาลงการลงทุนในตราสารหนี้มักจะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากนักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจได้ก็จะสามารถเลือกการลงทุนที่เหมาะสมให้กับตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะได้มีการเผยแพร่ออกไปให้นักลงทุนที่สนใจในวงกว้างได้เข้าใจในประเด็นเหล่านี้ด้วย เพราะการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทจะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของวงจรเศรษฐกิจนั่นเอง
ช่วงเศรษฐกิจขยายตัว แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ “ช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว” ซึ่งเงินเฟ้อจะลดลงเหมาะแก่การลงทุนใน “หุ้น” และต่อด้วย “ช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู” เป็นช่วงที่เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวขึ้นและเหมาะกับการลงทุนใน “สินค้าโภคภัณฑ์” ดังนั้นในช่วงของเศรษฐกิจขยายตัว การลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์จึงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยหุ้นที่เลือกลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวนี้ควรเป็นหุ้นกลุ่ม Cyclical และกลุ่มวัตถุดิบการผลิตที่จะได้รับประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจมีการเติบโตนั่นเอง
ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว แบ่งเป็น 2 ช่วง เช่นเดียวกัน ได้แก่ “ช่วงเศรษฐกิจถดถอย” แต่ยังมีเงินเฟ้อที่สูงอยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะกับการลงทุนใน “เงินฝาก” ก่อนจะต่อด้วย “ช่วงเศรษฐกิจถดถอย” และมีเงินเฟ้อลดลง ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะกับการลงทุนใน “พันธบัตรรัฐบาล” ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวนี้จึงเหมาะกับการลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก อย่างไรก็ตามหากจะลงทุนในหุ้นๆ กลุ่มที่จะให้ผลตอบแทนดีในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจะเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งกลุ่มอุปโภคบริโภคเป็นสำคัญ
“วัฏจักรเศรษฐกิจจะวนเวียนสลับกันไปเช่นนี้ซึ่งนักลงทุนเองสามารถที่จะคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจเพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมให้กับตัวเองได้ ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนด้วย เพียงแต่ปัจจุบันวงจรของเศรษฐกิจอาจจะมีช่วงเวลาที่สั้นขึ้นกว่าในอดีตเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนควรจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นเดียวกัน”
@ศก.โตต้องหุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์
“วนา พูลผล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) บอกว่า ตาม “นาฬิกาการลงทุนของ บลจ.ยูโอบี (UOBAM Investment Clock)” นั้น แบ่งสินทรัพย์การลงทุนไปตามแนวโน้มของเศรษฐกิจ ซึ่งแบ่งเป็น 4 ช่วง ด้วยกัน คือ 1) “เศรษฐกิจเติบโต (Boom)” ซึ่งปัจจุบันการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศตลาดเกิดใหม่ได้ฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับก่อนวิกฤติแล้วในขณะที่ของตลาดพัฒนาแล้วน่าจะกลับคืนสู่ระดับเดิมได้ภายในปี 2554 นี้ โดยมีจีน-อินเดียเป็นผู้นำการเติบโตที่โดดเด่น ตามมาด้วยตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่อื่นในโลก ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐก็ส่งสัญญาณการเติบโตขึ้นตามลำดับแต่เป็นเพียงช่วงแรกของการเติบโตเท่านั้น ซึ่งช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตนี้เหมาะกับการลงทุนใน “หุ้น” และ “สินค้าโภคภัณฑ์” เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดโดยเปรียบเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น
ส่วนยุโรปและญี่ปุ่นเจอเหตุการณ์เฉพาะทั้งปัญหาหนี้ในยุโรปและภัยธรรมชาติในญี่ปุ่น จึงทำให้เศรษฐกิจยังไม่เติบโตและยังคงอยู่ในช่วงที่ 4) “เศรษฐกิจฟื้นตัว (Recovery)” แต่ก็เป็นช่วงปลายๆ ของการฟื้นตัวแล้วในปัจจุบัน แต่บริษัทก็ยังแนะนำให้เลี่ยงการลงทุนใน 2 ภูมิภาคนี้ไปก่อนเพื่อรอความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวนี้ เงินเฟ้อค่อนข้างต่ำ การลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์” จะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด
“แต่เมื่อเศรษฐกิจเติบโตถึงที่สุดจะวกกลับเข้าสู่เศรษฐกิจช่วงที่ 2) “เศรษฐกิจชะลอตัว (Slow Down)” ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวนี้นักลงทุนควรจะขายหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ทิ้งแล้วหันมาถือ “เงินสด” แทน เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวนี้เงินเฟ้อจะสูง และราคา “อสังหาริมทรัพย์” จะปรับตัวลดลง ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงที่ 3) “เศรษฐกิจถดถอย (Recession)” ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลใช้นโยบายการเงินและนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง การลงทุนใน “ตราสารหนี้” ช่วงเศรษฐกิจถดถอยจึงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในช่วงนี้”
@ หุ้นตลาดเกิดใหม่น่าสนใจสุด
เรื่องนี้ “สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล” นักวิเคราะห์กองทุนรวม บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า หากมองภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกแล้ว "หุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)" ยังน่าสนใจสุด โดยเฉพาะในเอเชียเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้ว อย่างไรก็ตามในระยะสั้นในช่วงเดือนพ.ค.2554 ที่ผ่านมานั้น จะเห็นว่าภาพรวมของตลาดหุ้นยังอ่อนไหวกับปัจจัยระยะสั้นจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐ, จีน และการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรป ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ในระยะยาวยังเชื่อในศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่มากกว่ากลุ่ม G3 (สหรัฐ, ยุโรป และญี่ปุ่น)
และหากมองภาพของ “หุ้นตลาดพัฒนา (Develop Market)” แล้วด้วยกันเองประเทศพัฒนาแล้วที่อยู่ในแถบเอเชียแปซิฟิก เช่น ฮ่องกง, สิงคโปร์, เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย กลุ่มนี้มีการฟื้นตัวคล้ายกับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ เศรษฐกิจของกลุ่มนี้สามารถเรียกได้ว่าฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของจีน หากเป็นตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนายังชอบตลาดในเอเชียแปซิฟิกมากกว่ากลุ่ม G3 เช่นเดียวกัน
“ในช่วงนี้แนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะเข้าสะสมหรือถือทองคำในพอร์ตลงทุนในช่วง 5-10% ตามระดับความเสี่ยงของนักลงทุน เพราะมองว่าทองคำจะยังคงได้รับปัจจัยบวกต่อทองคำจากความไม่แน่นอนต่างๆ ในตลาดโลกในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ระยะสั้นราคาทองคำมีโอกาสขึ้นทดสอบจุดสูงสุดก่อนหน้าที่ 1,575 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามปัจจัยระยะสั้นค่อนข้างอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้เกิดความผันผวนค่อนข้างง่ายในช่วงนี้ แนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาทองคำอ่อนตัวโดยมีแนวรับ 1,480-1,490 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวต้าน 1,550-1,575 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามยิ่งใกล้หมดมาตรการ QE2 ของสหรัฐในช่วงสิ้นเดือนมิ.ย.2554 ตลาดทั่วโลกดูจะผันผวนมากขึ้น ดังนั้น การเข้าลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังและติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดมากขึ้นด้วยเช่นกัน”
@สหรัฐฟื้นแต่ไม่หวือหวาเท่าเอเชีย
สานุพงศ์ บอกว่า ในช่วงหลังเริ่มมีการพูดถึงการลงทุนในหุ้นตลาดพัฒนาแล้วมากขึ้นแต่อยากให้นักลงทุนมีความเข้าใจในภูมิภาคนี้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน ไม่อยากให้มองเพียงภาพกว้างๆ ว่าเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเริ่มมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นเป็นลำดับเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วภายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 4 เขตเศรษฐกิจหลักๆ ซึ่งมีพื้นฐานและปัญหาทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หากนักลงทุนต้องการลงทุนในกลุ่มนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่ากองทุนที่ท่านสนใจอยู่กำลังลงทุนที่ไหน เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือภูมิภาคนั้นๆ เพราะปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแหล่งที่มาของอัตราผลตอบแทนแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นต้นตอของความผันผวนและความเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนได้ ทั้งนี้ เราสามารถแบ่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วออกได้เป็น สหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น และประเทศพัฒนาแล้วที่อยู่ในโซนเอเชียแปซิฟิก
สำหรับ “สหรัฐ” ในภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐยังคงให้ภาพการฟื้นตัวแต่ก็เป็นการฟื้นตัวที่ยังไม่มากพอที่จะลดปัญหาการว่างงานในระดับสูงที่ประมาณ 9.0% ได้ ทำให้บริษัทยังคงกังวลต่อความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญประมาณ 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจสหรัฐ และที่ต้องจับตาดูกันต่อไปก็คือประเด็นที่ว่า สหรัฐจะสามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเองหรือไม่หากรัฐบาลซึ่งเริ่มได้รับคำเตือนเกี่ยวกับยอดขาดดุลการคลังเริ่มถอดถอนมาตรการสนับสนุนทั้งหลายออกไป รวมถึงมาตรการ QE2 ที่กำลังจะหมดอายุลงสิ้นเดือนมิ.ย.2554 นี้ ในแง่ของการลงทุนที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปรับตัวในแนวโน้มขาขึ้นตามผลประกอบการของหลายๆ บริษัทที่ออกมาดีและจากอานิสงส์ของการควบรวมกิจการที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
“ตลาดหุ้นสหรัฐมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าจากทางเอเชียและตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามไม่คิดว่าการลงทุนในหุ้นสหรัฐจะให้ภาพที่หวือหวาเหมือนที่ตลาดหุ้นในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ทำไว้ในช่วง 2 ปีก่อน เพราะภาพเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ยังเปราะบางจะยังเป็นตัวกดดันผลประกอบการของบริษัทที่ประกอบธุรกิจในประเทศ ขณะที่ความพยายามในการชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของกลุ่มเอเชียและตลาดเกิดใหม่อาจกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทข้ามชาติของสหรัฐได้ ดังนั้น ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวในทิศทางขาขึ้นต่อไปได้แต่เป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า”
@ ยุโรปควรเลี่ยงไปก่อน
ส่วน “ยุโรป” ในกลุ่ม Euro Zone ที่ประกอบด้วยสมาชิก 17 ประเทศ นั้น ยังสามารถเเบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ที่เรียกได้ว่าแตกต่างกันแบบสุดขั้ว คือ 1) “กลุ่มประเทศที่ฟื้นตัวจากวิกฤติได้แล้ว” กับ 2) “กลุ่มที่ประสบปัญหาหนี้” มีปัญหาเกี่ยวกับภาวะการคลังและต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดอย่างเช่นกลุ่ม PIIGS ด้วยความแตกต่างดังกล่าว การที่ทุกประเทศในกลุ่มอยู่ภายใต้นโยบายการเงินแบบเดียวกันจึงไม่เหมาะสม โดยเมื่อวันที่ 7 เม.ย.2554 ที่ผ่านมา “ธนาคารกลางยุโรป (ECB)” ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยปรับขึ้นอีก 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่อัตราดอกเบี้ยระดับดังกล่าว ยังถือว่าต่ำไปสำหรับประเทศที่เติบโตได้ดีอย่างเยอรมัน, ออสเตรียและเนเธอแลนด์ แต่สูงไปสำหรับประเทศสเปน, ไอร์แลนด์และโปรตุเกส
“ในท้ายที่สุดการดำเนินนโยบายเช่นนี้มีเเนวโน้มที่จะทำให้กลุ่มแรกมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ขณะที่กลุ่มหลังจะเผชิญความยากลำบากในการฟื้นตัว ด้วยความที่ Euro Zone มีปัญหาในเชิงโครงสร้าง ทั้งในแง่ของการดำเนินนโยบายร่วมกันและการแก้ปัญหาหนี้กลุ่มPIIGS จึงอาจทำให้เห็นความผันผวนของค่าเงินยูโร รวมถึงอาจมีแรงกดดันทางจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นได้ไม่น้อย ดังนั้น ภูมิภาคนี้จึงอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงและไม่สามารถทนความผันผวนระยะสั้นได้”
@ ทางเลือกที่ดีกว่าญี่ปุ่นยังมี
สานุพงศ์ ยังบอกอีกว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ญี่ปุ่น” ประสบปัญหาภาวะเงินฝืดเรื้อรังที่รัฐบาลพยายามแก้ไขมานาน ซึ่งหนทางที่จะกลับเข้าสู่การฟื้นตัวแบบปกติมีแนวโน้มยืดเยื้อออกไปอีกหลังได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปีที่เกิดขึ้นในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยล่าสุด ทางการญี่ปุ่นได้รายงานตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 1/54 ลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มากกว่าตลาดที่คาดว่าจะลดลงเพียง 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือลดลงกว่า 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ว่าจะลดลง 2.0% ในช่วงที่ดัชนีนิกเคอิดิ่งลงอย่างหนักนั้น มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยสนใจที่จะเข้าเก็งกำไรในหุ้นญี่ปุ่นอย่างไรก็ตามเนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในญี่ปุ่นในไทยในปัจจุบันมีเพียงกองเดียวและค่อนข้างมีข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่อง จึงอาจไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการเก็งกำไร
“อีกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับญี่ปุ่นคือภัยพิบัติในครั้งล่าสุดได้สร้างผลกระทบและทำให้พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยทีเดียวดังจะเห็นได้จากการที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลายแห่งก็มีการปรับประมาณการรายได้ลงหรือบางแห่งก็ชะลอการจ่ายปันผลเพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในช่วงถัดไป ในแง่การลงทุนระยะยาว ถึงแม้จะมีความหวังว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูประเทศจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เเต่ฐานะทางการคลังเเละยอดหนี้สาธารณะระดับสูงก็อาจกดดันความสามารถในการใช้จ่ายของรัฐบาลได้เช่นกัน ที่สำคัญบริษัทมองว่ายังมีตลาดหุ้นอื่นที่มีความน่าสนใจมากกว่าญี่ปุ่นทั้งในแง่ของความเเข็งเเกร่งทางเศรษฐกิจ ฐานะการคลังของประเทศ รวมถึงมูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นด้วย”
@ ตลาดหุ้นไทยต้องรอรัฐบาลใหม่
ในส่วนพื้นฐานตลาดหุ้นไทยเองนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้เป้าหมายในปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,200 จุด ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ 2 บลจ. เช่นเดียวกัน โดยธีรพันธุ์ มองว่า พื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่ กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้น่าจะเติบโตได้ประมาณ 18% ซึ่งจะทำให้สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ในปัจจุบันที่ระดับ 14 เท่า ลงมาอยู่ที่ระดับ 12 เท่า ได้ ซึ่งคิดเป็นเป้าหมายดัชนีที่ระดับประมาณ 1,180 - 1,200 จุด จึงน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 นี้ โดยตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะหลุดระดับ 1,000 จุด ลงไป การที่สหรัฐไม่ต่อมาตรการ QE-2 ทำให้ตลาดมีความผันผวนในระยะสั้นในช่วง 1 - 2 เดือนต่อจากนี้ อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 เชื่อว่าเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งหุ้นไทยด้วย ดังนั้น จุดสูงสุดที่บริษัทมองไว้ จึงน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 นี้
เช่นเดียวกับวนาที่มองว่า ดัชนีเป้าหมายให้ไว้ 1,200 จุด โดยคาดว่าน่าจะเกิดในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 นี้ หลังจากที่การเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว เพราะในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างชาติบางกลุ่มขายหุ้นออกไปเพราะไม่อยากเสี่ยงกับปัจจัยการเมืองในประเทศของไทย ส่วนที่ยังลงทุนอยู่ก็คือกลุ่มนักลงทุนระยะยาวที่ทนต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยได้ เมื่อการเลือกตั้งแล้วเสร็จทุกอย่างนิ่ง นโยบายต่างๆ ชัดเจน นักลงทุนต่างชาติที่เคยออกไปก็น่าจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง บริษัทประเมินว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยยังคงเติบโตได้ดีในปีนี้และเป็นปัจจัยสำคัญที่ยังทำให้ภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยออกมาดีอยู่
หากนักลงทุนสามารถเลือกสินทรัพย์การลงทุนให้เหมาะสมกับวงจรเศรษฐกิจแต่ละขณะน่าจะช่วยให้การลงทุนประสบความสำเร็จได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อเลือกประเภทสินทรัพย์ได้ถูกแล้วสิ่งสำคัญคือการเลือกตลาดที่จะไปลงทุนให้ถูกต้องด้วย จึงจะช่วยให้การลงทุนบรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตั้งใจไว้
http://bit.ly/kOfpGk
การเงิน - การลงทุน : การเงินส่วนบุคคล
วันที่ 12 มิถุนายน 2554 10:00
อ่านวงจรเศรษฐกิจ จับทิศลงทุนให้ถูกจังหวะ
โดย : สรวิศ อิ่มบำรุง
Fundamentals นำเสนอการลงทุนตามวงจรเศรษฐกิจพร้อมอัพเดทมุมมองตลาดหุ้นในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกมาฝากกัน
มีการศึกษาพบว่า “วงจรเศรษฐกิจ” ที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปรไปมานั้น มีความสัมพันธ์กับจังหวะในการลงทุนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
โดยการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทจะให้ “ผลตอบแทน” ที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของวงจรเศรษฐกิจนั่นเอง
นอกจากนักลงทุนควรจะมีความรู้ความเข้าใจใน “สินทรัพย์การลงทุน” ประเภทต่างๆ แล้ว เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์แล้ว
ยังต้องตระหนักและเข้าใจถึง “ความเสี่ยง” ที่ตัวเองสามารถยอมรับได้ด้วย เพื่อที่จะได้เลือกการลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง
แล้วจะดีกว่ามั้ย หากผู้ลงทุนสามารถมองวงจรเศรษฐกิจได้ด้วยตัวเอง เพื่อเลือกการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเองในแต่ละช่วงเศรษฐกิจได้ด้วย
Fundamentals สัปดาห์นี้ มีเรื่องราวของการลงทุนตามวงจรเศรษฐกิจพร้อมอัพเดทมุมมองตลาดหุ้นในแต่ละภูมิภาคทั่วโลกมาฝาก
..................
@ มองรอบเศรษฐกิจให้ออก
เรื่องนี้ “ธีรพันธุ์ จิตตาลาน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร บลจ.ฟินันซ่า แนะนำว่า วัฏจักรเศรษฐกิจและการลงทุนเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างชัดเจน โดยในแต่ละช่วงเศรษฐกิจนั้นจะมีการลงทุนที่เหมาะสมในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่าในช่วงที่เศรษฐกิจเป็นขาขึ้นนั้น การลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ลงทุน โดยราคาหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์มักจะมีการปรับตัวขึ้นและลงก่อนการปรับตัวขึ้นลงของเศรษฐกิจด้วย เพราะเป็นการซื้อขายบนความคาดหวังของสภาพเศรษฐกิจในอนาคต ในทางตรงข้ามในช่วงที่เศรษฐกิจเป็นขาลงการลงทุนในตราสารหนี้มักจะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากนักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจได้ก็จะสามารถเลือกการลงทุนที่เหมาะสมให้กับตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะได้มีการเผยแพร่ออกไปให้นักลงทุนที่สนใจในวงกว้างได้เข้าใจในประเด็นเหล่านี้ด้วย เพราะการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทจะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงของวงจรเศรษฐกิจนั่นเอง
ช่วงเศรษฐกิจขยายตัว แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ “ช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว” ซึ่งเงินเฟ้อจะลดลงเหมาะแก่การลงทุนใน “หุ้น” และต่อด้วย “ช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู” เป็นช่วงที่เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวขึ้นและเหมาะกับการลงทุนใน “สินค้าโภคภัณฑ์” ดังนั้นในช่วงของเศรษฐกิจขยายตัว การลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์จึงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยหุ้นที่เลือกลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวนี้ควรเป็นหุ้นกลุ่ม Cyclical และกลุ่มวัตถุดิบการผลิตที่จะได้รับประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจมีการเติบโตนั่นเอง
ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว แบ่งเป็น 2 ช่วง เช่นเดียวกัน ได้แก่ “ช่วงเศรษฐกิจถดถอย” แต่ยังมีเงินเฟ้อที่สูงอยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะกับการลงทุนใน “เงินฝาก” ก่อนจะต่อด้วย “ช่วงเศรษฐกิจถดถอย” และมีเงินเฟ้อลดลง ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะกับการลงทุนใน “พันธบัตรรัฐบาล” ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวนี้จึงเหมาะกับการลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก อย่างไรก็ตามหากจะลงทุนในหุ้นๆ กลุ่มที่จะให้ผลตอบแทนดีในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจะเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานต่างๆ รวมทั้งกลุ่มอุปโภคบริโภคเป็นสำคัญ
“วัฏจักรเศรษฐกิจจะวนเวียนสลับกันไปเช่นนี้ซึ่งนักลงทุนเองสามารถที่จะคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจเพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมให้กับตัวเองได้ ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนด้วย เพียงแต่ปัจจุบันวงจรของเศรษฐกิจอาจจะมีช่วงเวลาที่สั้นขึ้นกว่าในอดีตเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนควรจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นเดียวกัน”
@ศก.โตต้องหุ้น-สินค้าโภคภัณฑ์
“วนา พูลผล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) บอกว่า ตาม “นาฬิกาการลงทุนของ บลจ.ยูโอบี (UOBAM Investment Clock)” นั้น แบ่งสินทรัพย์การลงทุนไปตามแนวโน้มของเศรษฐกิจ ซึ่งแบ่งเป็น 4 ช่วง ด้วยกัน คือ 1) “เศรษฐกิจเติบโต (Boom)” ซึ่งปัจจุบันการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศตลาดเกิดใหม่ได้ฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับก่อนวิกฤติแล้วในขณะที่ของตลาดพัฒนาแล้วน่าจะกลับคืนสู่ระดับเดิมได้ภายในปี 2554 นี้ โดยมีจีน-อินเดียเป็นผู้นำการเติบโตที่โดดเด่น ตามมาด้วยตลาดเอเชียและตลาดเกิดใหม่อื่นในโลก ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐก็ส่งสัญญาณการเติบโตขึ้นตามลำดับแต่เป็นเพียงช่วงแรกของการเติบโตเท่านั้น ซึ่งช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตนี้เหมาะกับการลงทุนใน “หุ้น” และ “สินค้าโภคภัณฑ์” เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดโดยเปรียบเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น
ส่วนยุโรปและญี่ปุ่นเจอเหตุการณ์เฉพาะทั้งปัญหาหนี้ในยุโรปและภัยธรรมชาติในญี่ปุ่น จึงทำให้เศรษฐกิจยังไม่เติบโตและยังคงอยู่ในช่วงที่ 4) “เศรษฐกิจฟื้นตัว (Recovery)” แต่ก็เป็นช่วงปลายๆ ของการฟื้นตัวแล้วในปัจจุบัน แต่บริษัทก็ยังแนะนำให้เลี่ยงการลงทุนใน 2 ภูมิภาคนี้ไปก่อนเพื่อรอความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวนี้ เงินเฟ้อค่อนข้างต่ำ การลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์” จะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด
“แต่เมื่อเศรษฐกิจเติบโตถึงที่สุดจะวกกลับเข้าสู่เศรษฐกิจช่วงที่ 2) “เศรษฐกิจชะลอตัว (Slow Down)” ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวนี้นักลงทุนควรจะขายหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ทิ้งแล้วหันมาถือ “เงินสด” แทน เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวนี้เงินเฟ้อจะสูง และราคา “อสังหาริมทรัพย์” จะปรับตัวลดลง ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงที่ 3) “เศรษฐกิจถดถอย (Recession)” ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลใช้นโยบายการเงินและนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง การลงทุนใน “ตราสารหนี้” ช่วงเศรษฐกิจถดถอยจึงเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในช่วงนี้”
@ หุ้นตลาดเกิดใหม่น่าสนใจสุด
เรื่องนี้ “สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล” นักวิเคราะห์กองทุนรวม บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า หากมองภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกแล้ว "หุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)" ยังน่าสนใจสุด โดยเฉพาะในเอเชียเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้ว อย่างไรก็ตามในระยะสั้นในช่วงเดือนพ.ค.2554 ที่ผ่านมานั้น จะเห็นว่าภาพรวมของตลาดหุ้นยังอ่อนไหวกับปัจจัยระยะสั้นจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐ, จีน และการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรป ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่ในระยะยาวยังเชื่อในศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่มากกว่ากลุ่ม G3 (สหรัฐ, ยุโรป และญี่ปุ่น)
และหากมองภาพของ “หุ้นตลาดพัฒนา (Develop Market)” แล้วด้วยกันเองประเทศพัฒนาแล้วที่อยู่ในแถบเอเชียแปซิฟิก เช่น ฮ่องกง, สิงคโปร์, เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย กลุ่มนี้มีการฟื้นตัวคล้ายกับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ เศรษฐกิจของกลุ่มนี้สามารถเรียกได้ว่าฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของจีน หากเป็นตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนายังชอบตลาดในเอเชียแปซิฟิกมากกว่ากลุ่ม G3 เช่นเดียวกัน
“ในช่วงนี้แนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะเข้าสะสมหรือถือทองคำในพอร์ตลงทุนในช่วง 5-10% ตามระดับความเสี่ยงของนักลงทุน เพราะมองว่าทองคำจะยังคงได้รับปัจจัยบวกต่อทองคำจากความไม่แน่นอนต่างๆ ในตลาดโลกในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ระยะสั้นราคาทองคำมีโอกาสขึ้นทดสอบจุดสูงสุดก่อนหน้าที่ 1,575 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามปัจจัยระยะสั้นค่อนข้างอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้เกิดความผันผวนค่อนข้างง่ายในช่วงนี้ แนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาทองคำอ่อนตัวโดยมีแนวรับ 1,480-1,490 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวต้าน 1,550-1,575 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามยิ่งใกล้หมดมาตรการ QE2 ของสหรัฐในช่วงสิ้นเดือนมิ.ย.2554 ตลาดทั่วโลกดูจะผันผวนมากขึ้น ดังนั้น การเข้าลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังและติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดมากขึ้นด้วยเช่นกัน”
@สหรัฐฟื้นแต่ไม่หวือหวาเท่าเอเชีย
สานุพงศ์ บอกว่า ในช่วงหลังเริ่มมีการพูดถึงการลงทุนในหุ้นตลาดพัฒนาแล้วมากขึ้นแต่อยากให้นักลงทุนมีความเข้าใจในภูมิภาคนี้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน ไม่อยากให้มองเพียงภาพกว้างๆ ว่าเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเริ่มมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นเป็นลำดับเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วภายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 4 เขตเศรษฐกิจหลักๆ ซึ่งมีพื้นฐานและปัญหาทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หากนักลงทุนต้องการลงทุนในกลุ่มนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่ากองทุนที่ท่านสนใจอยู่กำลังลงทุนที่ไหน เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือภูมิภาคนั้นๆ เพราะปัจจัยดังกล่าวจะเป็นแหล่งที่มาของอัตราผลตอบแทนแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นต้นตอของความผันผวนและความเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนได้ ทั้งนี้ เราสามารถแบ่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วออกได้เป็น สหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น และประเทศพัฒนาแล้วที่อยู่ในโซนเอเชียแปซิฟิก
สำหรับ “สหรัฐ” ในภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐยังคงให้ภาพการฟื้นตัวแต่ก็เป็นการฟื้นตัวที่ยังไม่มากพอที่จะลดปัญหาการว่างงานในระดับสูงที่ประมาณ 9.0% ได้ ทำให้บริษัทยังคงกังวลต่อความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญประมาณ 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจสหรัฐ และที่ต้องจับตาดูกันต่อไปก็คือประเด็นที่ว่า สหรัฐจะสามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเองหรือไม่หากรัฐบาลซึ่งเริ่มได้รับคำเตือนเกี่ยวกับยอดขาดดุลการคลังเริ่มถอดถอนมาตรการสนับสนุนทั้งหลายออกไป รวมถึงมาตรการ QE2 ที่กำลังจะหมดอายุลงสิ้นเดือนมิ.ย.2554 นี้ ในแง่ของการลงทุนที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปรับตัวในแนวโน้มขาขึ้นตามผลประกอบการของหลายๆ บริษัทที่ออกมาดีและจากอานิสงส์ของการควบรวมกิจการที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
“ตลาดหุ้นสหรัฐมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าจากทางเอเชียและตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามไม่คิดว่าการลงทุนในหุ้นสหรัฐจะให้ภาพที่หวือหวาเหมือนที่ตลาดหุ้นในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ทำไว้ในช่วง 2 ปีก่อน เพราะภาพเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ยังเปราะบางจะยังเป็นตัวกดดันผลประกอบการของบริษัทที่ประกอบธุรกิจในประเทศ ขณะที่ความพยายามในการชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของกลุ่มเอเชียและตลาดเกิดใหม่อาจกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทข้ามชาติของสหรัฐได้ ดังนั้น ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวในทิศทางขาขึ้นต่อไปได้แต่เป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า”
@ ยุโรปควรเลี่ยงไปก่อน
ส่วน “ยุโรป” ในกลุ่ม Euro Zone ที่ประกอบด้วยสมาชิก 17 ประเทศ นั้น ยังสามารถเเบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ที่เรียกได้ว่าแตกต่างกันแบบสุดขั้ว คือ 1) “กลุ่มประเทศที่ฟื้นตัวจากวิกฤติได้แล้ว” กับ 2) “กลุ่มที่ประสบปัญหาหนี้” มีปัญหาเกี่ยวกับภาวะการคลังและต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดอย่างเช่นกลุ่ม PIIGS ด้วยความแตกต่างดังกล่าว การที่ทุกประเทศในกลุ่มอยู่ภายใต้นโยบายการเงินแบบเดียวกันจึงไม่เหมาะสม โดยเมื่อวันที่ 7 เม.ย.2554 ที่ผ่านมา “ธนาคารกลางยุโรป (ECB)” ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยปรับขึ้นอีก 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่อัตราดอกเบี้ยระดับดังกล่าว ยังถือว่าต่ำไปสำหรับประเทศที่เติบโตได้ดีอย่างเยอรมัน, ออสเตรียและเนเธอแลนด์ แต่สูงไปสำหรับประเทศสเปน, ไอร์แลนด์และโปรตุเกส
“ในท้ายที่สุดการดำเนินนโยบายเช่นนี้มีเเนวโน้มที่จะทำให้กลุ่มแรกมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ขณะที่กลุ่มหลังจะเผชิญความยากลำบากในการฟื้นตัว ด้วยความที่ Euro Zone มีปัญหาในเชิงโครงสร้าง ทั้งในแง่ของการดำเนินนโยบายร่วมกันและการแก้ปัญหาหนี้กลุ่มPIIGS จึงอาจทำให้เห็นความผันผวนของค่าเงินยูโร รวมถึงอาจมีแรงกดดันทางจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นได้ไม่น้อย ดังนั้น ภูมิภาคนี้จึงอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงและไม่สามารถทนความผันผวนระยะสั้นได้”
@ ทางเลือกที่ดีกว่าญี่ปุ่นยังมี
สานุพงศ์ ยังบอกอีกว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ญี่ปุ่น” ประสบปัญหาภาวะเงินฝืดเรื้อรังที่รัฐบาลพยายามแก้ไขมานาน ซึ่งหนทางที่จะกลับเข้าสู่การฟื้นตัวแบบปกติมีแนวโน้มยืดเยื้อออกไปอีกหลังได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปีที่เกิดขึ้นในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยล่าสุด ทางการญี่ปุ่นได้รายงานตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 1/54 ลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า มากกว่าตลาดที่คาดว่าจะลดลงเพียง 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือลดลงกว่า 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ว่าจะลดลง 2.0% ในช่วงที่ดัชนีนิกเคอิดิ่งลงอย่างหนักนั้น มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยสนใจที่จะเข้าเก็งกำไรในหุ้นญี่ปุ่นอย่างไรก็ตามเนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในญี่ปุ่นในไทยในปัจจุบันมีเพียงกองเดียวและค่อนข้างมีข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่อง จึงอาจไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการเก็งกำไร
“อีกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับญี่ปุ่นคือภัยพิบัติในครั้งล่าสุดได้สร้างผลกระทบและทำให้พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยทีเดียวดังจะเห็นได้จากการที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลายแห่งก็มีการปรับประมาณการรายได้ลงหรือบางแห่งก็ชะลอการจ่ายปันผลเพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในช่วงถัดไป ในแง่การลงทุนระยะยาว ถึงแม้จะมีความหวังว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อฟื้นฟูประเทศจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เเต่ฐานะทางการคลังเเละยอดหนี้สาธารณะระดับสูงก็อาจกดดันความสามารถในการใช้จ่ายของรัฐบาลได้เช่นกัน ที่สำคัญบริษัทมองว่ายังมีตลาดหุ้นอื่นที่มีความน่าสนใจมากกว่าญี่ปุ่นทั้งในแง่ของความเเข็งเเกร่งทางเศรษฐกิจ ฐานะการคลังของประเทศ รวมถึงมูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นด้วย”
@ ตลาดหุ้นไทยต้องรอรัฐบาลใหม่
ในส่วนพื้นฐานตลาดหุ้นไทยเองนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้เป้าหมายในปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,200 จุด ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ 2 บลจ. เช่นเดียวกัน โดยธีรพันธุ์ มองว่า พื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่ กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้น่าจะเติบโตได้ประมาณ 18% ซึ่งจะทำให้สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ในปัจจุบันที่ระดับ 14 เท่า ลงมาอยู่ที่ระดับ 12 เท่า ได้ ซึ่งคิดเป็นเป้าหมายดัชนีที่ระดับประมาณ 1,180 - 1,200 จุด จึงน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 นี้ โดยตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะหลุดระดับ 1,000 จุด ลงไป การที่สหรัฐไม่ต่อมาตรการ QE-2 ทำให้ตลาดมีความผันผวนในระยะสั้นในช่วง 1 - 2 เดือนต่อจากนี้ อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 เชื่อว่าเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งหุ้นไทยด้วย ดังนั้น จุดสูงสุดที่บริษัทมองไว้ จึงน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 นี้
เช่นเดียวกับวนาที่มองว่า ดัชนีเป้าหมายให้ไว้ 1,200 จุด โดยคาดว่าน่าจะเกิดในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 นี้ หลังจากที่การเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว เพราะในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างชาติบางกลุ่มขายหุ้นออกไปเพราะไม่อยากเสี่ยงกับปัจจัยการเมืองในประเทศของไทย ส่วนที่ยังลงทุนอยู่ก็คือกลุ่มนักลงทุนระยะยาวที่ทนต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยได้ เมื่อการเลือกตั้งแล้วเสร็จทุกอย่างนิ่ง นโยบายต่างๆ ชัดเจน นักลงทุนต่างชาติที่เคยออกไปก็น่าจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง บริษัทประเมินว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยยังคงเติบโตได้ดีในปีนี้และเป็นปัจจัยสำคัญที่ยังทำให้ภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยออกมาดีอยู่
หากนักลงทุนสามารถเลือกสินทรัพย์การลงทุนให้เหมาะสมกับวงจรเศรษฐกิจแต่ละขณะน่าจะช่วยให้การลงทุนประสบความสำเร็จได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อเลือกประเภทสินทรัพย์ได้ถูกแล้วสิ่งสำคัญคือการเลือกตลาดที่จะไปลงทุนให้ถูกต้องด้วย จึงจะช่วยให้การลงทุนบรรลุเป้าหมายได้ตามที่ตั้งใจไว้