Thai VI

เท่าที่ผมลองเดาดูก่อน

๑. หาหุ้นที่คุ้มค่าไม่ได้
๒. ประเมิณว่าตลาดหุ้นทั้งตลาดกำลังจะตกแบบเทกระจาย เลยถือเงินสดไว้รอซื้อหุ้นราคาถูก
๓. กำลังจะเอาเงินไปใช้จ่ายเรื่องสำคัญ ๆ

ขอบคุณครับ

ข้อ2และ3ไม่ค่อยเกิดขึ้นหรอกมั้งครับ
เพราะ 1 วีไอไม่คาดเดาตลาด
2 เงินที่จะเอาไปใช้กับเงินลงทุนมันคนละส่วนกัน

chowbe76 เขียน:ข้อ2และ3ไม่ค่อยเกิดขึ้นหรอกมั้งครับ
เพราะ 1 วีไอไม่คาดเดาตลาด
2 เงินที่จะเอาไปใช้กับเงินลงทุนมันคนละส่วนกัน

๑.ไม่คาดเดาตลาด นี่คืออะไรเหรอครับ ต่างกับ พื้นฐานของกิจการหรือเปล่าครับ
๒.หมายความว่า เงินที่จำเป็นต้องใช้จริง ในอนาคต ๆ เช่น เก็บเงินไว้เรียนปริญญาโท ซื้อบ้าน ซื้อรถ จะเก็บไว้ที่อื่นที่ไม่ใช่พอร์ตหุ้น เพราะหากว่าราคาหุ้นตกในช่วงนั้นจะทำให้ลำบากได้ ประมาณนั้นหรือเปล่าครับ

อย่างแรกนะครับ ควรจะมีเงินสด ติดตัวไว้อย่างน้อยเท่ากับจำนวนที่ต้องใช้เสมอนะครับ

การคาดเดาตลาดคือ เราคิดว่าหุ้นจะตก เลยขายหุ้นส่วนใหญ่ออกมา หรือเราคิดว่าหุ้นจะต้องขึ้น เราเลยซื้อหุ้นเข้าพอร์ต ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว น้อยครั้งที่เราจะเดาถูกว่า หุ้นจะตกเมื่อไรและจะลงแรงหรือแค่พักฐานเท่านั้น
แตกต่างจากพื้นฐานของกิจการ เช่นการใช้มือถือไม่ว่า หุ้นจะขึ้นหรือลง ผมก็เห็นคนยังใช้มือถือ หรือแม้แต่การเล่นอินเตอร์เน็ต ก็ด้วย

Boyadvance เขียน:อย่างแรกนะครับ ควรจะมีเงินสด ติดตัวไว้อย่างน้อยเท่ากับจำนวนที่ต้องใช้เสมอนะครับ

การคาดเดาตลาดคือ เราคิดว่าหุ้นจะตก เลยขายหุ้นส่วนใหญ่ออกมา หรือเราคิดว่าหุ้นจะต้องขึ้น เราเลยซื้อหุ้นเข้าพอร์ต ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว น้อยครั้งที่เราจะเดาถูกว่า หุ้นจะตกเมื่อไรและจะลงแรงหรือแค่พักฐานเท่านั้น
แตกต่างจากพื้นฐานของกิจการ เช่นการใช้มือถือไม่ว่า หุ้นจะขึ้นหรือลง ผมก็เห็นคนยังใช้มือถือ หรือแม้แต่การเล่นอินเตอร์เน็ต ก็ด้วย

อย่างเช่น วิกฤตเศรษฐกิจปี ๔๐ หุ้นตกระนาว จนท่านอาจารย์เทพ VI ของพวกเราได้เอาเงินทุน ๑๐ ล้าน ไปตีแตกจนสร้างความได้เปรียบมหาศาลได้สินะครับ

วิกฤตที่ร้ายแรงขนาดนั้น แต่ดูเหมือนไม่มีใครคาดเดาได้เลย

ผมสงสัยอีกจุดหน่อยว่าก่อนหน้านั้นทำไม ดร.นิเวศน์ ไม่เอาเงิน ๑๐ ล้านนั่นไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือเพราะว่าราคาสูงเกินพื้นฐานและ เงิน ๑๐ ล้านบาทนั่นคือเงินทุนสุดท้ายเก็บไว้ยามเกษียณ แต่เมื่อหุ้นตกจนมีโอกาสได้ซื้อหุ้นที่มี MOS สูงมาก ๆ เลยกล้านำเงินทุนมาตีแตกครับ

แล้วแต่คนมั้งคับ

vi ไม่คาดเดาตลาด แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีสัญชาตญาณ เลย

vi คงแยกเงินที่ใช้เงินลงทุนออกมา ถ้าไม่จวนตัวเจียนตายจริงคงไม่ขายหุ้นเอาเงินมาใช้


ส่วนเรื่องการบริหาร เงินสด มันเป็นศาสตร์ส่วนบุคคล ไม่เี่กี่ยวว่า vi หรือไม่
แต่ถ้าคุณถือหุ้นไม่เต็มพอร์ท อาจพลาดโอกาสกำไร10% เหลือ 8% เพราะพลาดวันที่หุ้นขึ้นสูงสุด 20 วันในรอบปี
เห็นลินช์ เคยเขียนไ้ว้ แต่ผมอาจจะจำได้ไม่แม่นนักคับ

เมื่อผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนน้อยกว่าอย่างอื่น

sarawut_p เขียน:

Boyadvance เขียน:อย่างแรกนะครับ ควรจะมีเงินสด ติดตัวไว้อย่างน้อยเท่ากับจำนวนที่ต้องใช้เสมอนะครับ

การคาดเดาตลาดคือ เราคิดว่าหุ้นจะตก เลยขายหุ้นส่วนใหญ่ออกมา หรือเราคิดว่าหุ้นจะต้องขึ้น เราเลยซื้อหุ้นเข้าพอร์ต ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว น้อยครั้งที่เราจะเดาถูกว่า หุ้นจะตกเมื่อไรและจะลงแรงหรือแค่พักฐานเท่านั้น
แตกต่างจากพื้นฐานของกิจการ เช่นการใช้มือถือไม่ว่า หุ้นจะขึ้นหรือลง ผมก็เห็นคนยังใช้มือถือ หรือแม้แต่การเล่นอินเตอร์เน็ต ก็ด้วย

อย่างเช่น วิกฤตเศรษฐกิจปี ๔๐ หุ้นตกระนาว จนท่านอาจารย์เทพ VI ของพวกเราได้เอาเงินทุน ๑๐ ล้าน ไปตีแตกจนสร้างความได้เปรียบมหาศาลได้สินะครับ

วิกฤตที่ร้ายแรงขนาดนั้น แต่ดูเหมือนไม่มีใครคาดเดาได้เลย

ผมสงสัยอีกจุดหน่อยว่าก่อนหน้านั้นทำไม ดร.นิเวศน์ ไม่เอาเงิน ๑๐ ล้านนั่นไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หรือเพราะว่าราคาสูงเกินพื้นฐานและ เงิน ๑๐ ล้านบาทนั่นคือเงินทุนสุดท้ายเก็บไว้ยามเกษียณ แต่เมื่อหุ้นตกจนมีโอกาสได้ซื้อหุ้นที่มี MOS สูงมาก ๆ เลยกล้านำเงินทุนมาตีแตกครับ

เป็นที่น่าสังเกตนะครับ ว่าตอนหุ้นตกเยอะๆ เช่นตอนช่วงปี 40 ดร ซื้อหุ้นตอนช่วง 700 จุด ปี กว่าๆ หุ้นร่วงเหลือ 200 กว่าจุด ตลาดติดลบหลาย เปอร์เซนต์ แต่พอร์ตของ ดร เอง บวก 25% ในช่วงวิกฤติซับพาร์ม เหมือนกัน ว่าพอร์ต ดร แทบจะไม่ลดเลย ทั้งๆ ที่ ตลาดติดลบกว่า 50 - 60% อย่างงี้หล่ะมั้งครับ พี่พิสูจน์ได้ว่า ยามน้ำลด คุณจะรู้ว่าใครแก้ผ้าว่ายน้ำอยู่บ้าง

ร่วมกันพิสูจน์ได้ในวิกฤต ครั้งต่อไปนาครับบ

ยามน้ำลด คุณจะรู้ว่าใครแก้ผ้าว่ายน้ำอยู่บ้าง

ขอเป็นสาวๆด้วยนะครับ ถ้าเป็นผู้ชายคงหดหู่ใจน่าดู *0*

ผมเป็นคนที่คาดตลาด โดยถ้าเมื่อไหร่ผมคาดว่าลงแล้วละก็ มันขึ้นทุกที
ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมพลาดที่จะลงทุนในหุ้นหลายตัว
จนตอนนี้คิดว่าเลิกคาดตลาดดีกว่า ถ้าเห็นหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมก็ซื้อไปเลย
ถ้ากังวลก็ทยอยซื้อ

สำหรับผมจะเปรียบเทียบหุ้นที่ถืออยู่ กับ หุ้นที่กำลังจะซื้อว่า
ตัวเดิมที่ถืออยู่ใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้หรือยัง และตัวใหม่ที่จะซื้อ
ได้ราคาในระดับที่เหมาะสมหรือไม่

ส่วนใหญ่จึงเป็นการโยกสลับเงิน ไม่ค่อยได้ถือเงินสดเว้นแต่กรณี
ที่หุ้นผันผวน และมีหลายตัวให้เลือกก็จะโยกเงินมารอไว้ในบัญชี
เงินฝากกินดอกเบี้ย 0.5% เพื่อรอซื้อหุ้น

เห็นไหมครับว่า การถือเงินสดได้ดอกเบี้ยตั้ง 0.5% ต่อปี

tum_H เขียน:สำหรับผมจะเปรียบเทียบหุ้นที่ถืออยู่ กับ หุ้นที่กำลังจะซื้อว่า
ตัวเดิมที่ถืออยู่ใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้หรือยัง และตัวใหม่ที่จะซื้อ
ได้ราคาในระดับที่เหมาะสมหรือไม่

ส่วนใหญ่จึงเป็นการโยกสลับเงิน ไม่ค่อยได้ถือเงินสดเว้นแต่กรณี
ที่หุ้นผันผวน และมีหลายตัวให้เลือกก็จะโยกเงินมารอไว้ในบัญชี
เงินฝากกินดอกเบี้ย 0.5% เพื่อรอซื้อหุ้น

เห็นไหมครับว่า การถือเงินสดได้ดอกเบี้ยตั้ง 0.5% ต่อปี

ตอนนี้ดอกเบี้ยขึ้นก็ได้เยอะขึ้นด้วยสิครับ

ขอบคุณครับ

ถ้าเราคาดเดาตลาดได้ถูกปีเตอร์ลินช์บอกว่า ขอแค่สองครั้งในชีวิตเขาจะผลตอบแทน

เก๋กว่านี้อีเยอะ