Thai VI

ผมเข้าใจว่า ROA = กำไรสุทธิ คูณ ร้อย หารด้วย รวมสินทรัพย์

หุ้น cpf สินทรัพย์ รวม 126,320.31

กำไรสุทธิ 13,562.55

ผมคำนวณได้แค่ 10.7

http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH

แต่ทำไมในเว็บเขียน 14.93 อ่ะครับ

งงครับ

ขอบคุณครับ

ตอนผมเล่นหุ้นใหม่ๆก็เข้าใจว่าเอากำไรสุทธิเป็นตัวตั้งเหมือนroe แต่มารู้ว่าไม่ใช่จากพี่ๆในเวปนี้แหล่ะครับ
วัตถุประสงค์หลักของroaคือ ต้องการหาประสิทธิภาพในการทำกำไร ตัวตั้งเลยเอาตัวแปรที่มาจากประสิทธิภาพคือ กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยก่อนภาษีมาเป็นตัวตั้งหารด้วยทรัพย์สินทั้งหมดครับ และคสรจะเป็นค่าเฉลี่ยทรัพย์สินต้นงวดกับปลายงวดด้วยนะครับ

ขอเสริมพี่ๆนิดหน่อยนะคะ

หลักการของ ROA (return on assets) คือหาผลตอบแทนของสินทรัพย์
ซึ่งสินทรัพย์มาจากสองส่วนคือ หนี้สิน และ ส่วนของผู้ถือหุ้น (Assets = Liabilities + Equity )
ดังนั้น การใช้ EBIT (earning before interest and tax)
จึงสะท้อนผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่มาจากสองส่วนคือส่วนของหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
โดย EBIT (earning before interest and tax) เป็นกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี จากการดำเนินงาน
บนสมมติฐานว่าดอกเบี้ยคือผลตอบแทนของส่วนเจ้าหนี้ และ กำไรสุทธิคือผลตอบแทนที่เจ้าของควรได้รับทั้งหมด

ในทางเดียวกัน ROE (return on equity) คือผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น (Equity)
ซึ่งเป็นผลตอบแทนจากส่วนของเจ้าของจริงๆ
จึงใช้ net profit เป็นตัวตั้งเพื่อที่จะสะท้อนผลตอบแทนต่อเงินลงทุนของเจ้าของอย่างแท้จริง
โดยไม่ได้รับผลจากดอกเบี้ยจากส่วนของเจ้าหนี้ค่ะ

ฝนตอบได้แค่นี้ค่ะ ละเอียดกว่านี้รอพี่ๆ finance สายตรงมาเพิ่มเติมค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

กำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ = 18,070.09 ล้านบาท

(สินทรัพย์รวมปี 53 + สินทรัพย์รวมปี 52)/2 = (126,320.31+115,698.28)/2
= (242,018.59)/2
= 121,009.30 ล้านบาท
ROA = (18,070.09*100)/(121,009.30)
= 14.93%

สูตรคำนวณ
http://www.set.or.th/th/market/files/SE ... ossary.pdf

ขอบคุณมากครับ

Fon^^ เขียน:ขอเสริมพี่ๆนิดหน่อยนะคะ

หลักการของ ROA (return on assets) คือหาผลตอบแทนของสินทรัพย์
ซึ่งสินทรัพย์มาจากสองส่วนคือ หนี้สิน และ ส่วนของผู้ถือหุ้น (Assets = Liabilities + Equity )
ดังนั้น การใช้ EBIT (earning before interest and tax)
จึงสะท้อนผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่มาจากสองส่วนคือส่วนของหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
โดย EBIT (earning before interest and tax) เป็นกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี จากการดำเนินงาน
บนสมมติฐานว่าดอกเบี้ยคือผลตอบแทนของส่วนเจ้าหนี้ และ กำไรสุทธิคือผลตอบแทนที่เจ้าของควรได้รับทั้งหมด

ในทางเดียวกัน ROE (return on equity) คือผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น (Equity)
ซึ่งเป็นผลตอบแทนจากส่วนของเจ้าของจริงๆ
จึงใช้ net profit เป็นตัวตั้งเพื่อที่จะสะท้อนผลตอบแทนต่อเงินลงทุนของเจ้าของอย่างแท้จริง
โดยไม่ได้รับผลจากดอกเบี้ยจากส่วนของเจ้าหนี้ค่ะ

ฝนตอบได้แค่นี้ค่ะ ละเอียดกว่านี้รอพี่ๆ finance สายตรงมาเพิ่มเติมค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ครับต้องรวม interest expense กลับเข้ามาไม่งั้นเหมือนโดน penalize ฟรีๆ แล้ว tax ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการ utilize สินทรัพย์ ebit จึงสะท้อนได้ดีว่า net income

และคิดว่าที่ต้องใช้ ebit เพราะมีเรื่องการมองมุม comparative ด้วยครับ การที่แต่ละบริษัทมี cost of debt ต่างกันและ โดน tax rate ไม่เท่ากัน การไม่มองสองตัวนี้จะทำให้เห็นภาพ operating profit ที่ถูก generate จากบริษัทล้วนๆ และเทียบกันได้เห็นภาพกว่า (<<<< opinion)

ebit นั้นคงเป็นในเชิง theory มอง pure efficiency แต่ถ้ามองในมุมเม็ดเงินสุทธิที่ทั้งบริษัทได้รับผมยังคิดว่าตัวเลขพวกนี้ use in isolation ไม่ได้.. ยังไง net cash from operation ต้องอยู่ใน framework ในฐานะตัวตัดด้วยหละครับ

ส่วนเรื่อง roe คุณ fon อธิบายบรรทัดสุดท้ายไว้ชัดเจนครับ แต่ถ้าใครอยากรู้เพิ่มไปดู dupont analysis จะเห็นภาพครับว่าที่มาที่ไปเป็นยังไง

ผิดถูกยังไงขออภัยด้วยนะครับ

http://www.youtube.com/watch?v=hckkW4Z9 ... re=related แต่ทำในรายการนี้ เขาบอกให้ใช้ earning before interest แทน อ่ะครับ กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ผมเข้าใจว่าเป็น earning before interest อ่ะครับ เพราะว่านี้เป็นกำไรที่ก่อนจะจ่ายให้กับเจ้าหนี้คือ ดอกเบี้ยนั้นเอง ลองฟังดูนะครับ ตั้งแต่นาทีที่3.10

multipleceilings เขียน:

Fon^^ เขียน:ขอเสริมพี่ๆนิดหน่อยนะคะ

หลักการของ ROA (return on assets) คือหาผลตอบแทนของสินทรัพย์
ซึ่งสินทรัพย์มาจากสองส่วนคือ หนี้สิน และ ส่วนของผู้ถือหุ้น (Assets = Liabilities + Equity )
ดังนั้น การใช้ EBIT (earning before interest and tax)
จึงสะท้อนผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่มาจากสองส่วนคือส่วนของหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
โดย EBIT (earning before interest and tax) เป็นกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี จากการดำเนินงาน
บนสมมติฐานว่าดอกเบี้ยคือผลตอบแทนของส่วนเจ้าหนี้ และ กำไรสุทธิคือผลตอบแทนที่เจ้าของควรได้รับทั้งหมด

ในทางเดียวกัน ROE (return on equity) คือผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น (Equity)
ซึ่งเป็นผลตอบแทนจากส่วนของเจ้าของจริงๆ
จึงใช้ net profit เป็นตัวตั้งเพื่อที่จะสะท้อนผลตอบแทนต่อเงินลงทุนของเจ้าของอย่างแท้จริง
โดยไม่ได้รับผลจากดอกเบี้ยจากส่วนของเจ้าหนี้ค่ะ

ฝนตอบได้แค่นี้ค่ะ ละเอียดกว่านี้รอพี่ๆ finance สายตรงมาเพิ่มเติมค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

ครับต้องรวม interest expense กลับเข้ามาไม่งั้นเหมือนโดน penalize ฟรีๆ แล้ว tax ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการ utilize สินทรัพย์ ebit จึงสะท้อนได้ดีว่า net income

และคิดว่าที่ต้องใช้ ebit เพราะมีเรื่องการมองมุม comparative ด้วยครับ การที่แต่ละบริษัทมี cost of debt ต่างกันและ โดน tax rate ไม่เท่ากัน การไม่มองสองตัวนี้จะทำให้เห็นภาพ operating profit ที่ถูก generate จากบริษัทล้วนๆ และเทียบกันได้เห็นภาพกว่า (<<<< opinion)

ebit นั้นคงเป็นในเชิง theory มอง pure efficiency แต่ถ้ามองในมุมเม็ดเงินสุทธิที่ทั้งบริษัทได้รับผมยังคิดว่าตัวเลขพวกนี้ use in isolation ไม่ได้.. ยังไง net cash from operation ต้องอยู่ใน framework ในฐานะตัวตัดด้วยหละครับ

ส่วนเรื่อง roe คุณ fon อธิบายบรรทัดสุดท้ายไว้ชัดเจนครับ แต่ถ้าใครอยากรู้เพิ่มไปดู dupont analysis จะเห็นภาพครับว่าที่มาที่ไปเป็นยังไง

ผิดถูกยังไงขออภัยด้วยนะครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 8C#p811832

ลองฟังดร. วรศักิ์ พูดถึง ROA ครับ และความรู้งบเบื้องต้นครับ

leotis เขียน:http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 8C#p811832

ลองฟังดร. วรศักิ์ พูดถึง ROA ครับ และความรู้งบเบื้องต้นครับ

ก็ดร คนนี้ละครับ ที่บอกให้ใช้ earning before interest ในการคำนวณROA
แต่ผมอยากไปสัมมนากับดรคนนี้จังครับ ไม่ทราบว่าท่านไปสัมมนาที่ไหนบ้างครับ ท่านอธิบายเข้าใจง่ายดีครับ

^^ ไม่มีถูกผิดครับ จะใช้ net income ก็ได้

ทั้งหมดแล้วแต่เราอยากดู ประสิทธิภาพต่อการ utilize asset ในระดับไหนครับจากเม็ดเงินที่บริษัท generate ได้

either NOPAT, EBIT, NET INCOME ได้หมดครับ

ขอบคุณครับ