Thai VI

ต้องบอกก่อนว่า .. ผมไม่เคยอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการลงทุน หรือ เกี่ยวกับหุ้นมาก่อนเลย

ทีนี้ ลองไปเปิด ๆ อ่านหนังสือ "ตีแตก" .. ของท่าน ดร.นิเวศน์

แค่เปิดอ่านผ่าน ๆ นะ .. รู้สึก ก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ..

แต่เห็นเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนในห้องนี้ บอกว่าเล่มนี้ ดีมาก ๆ ..

ลองไปอ่านตรงปกหลัง .. เห็นมีประโยคนึงบอกว่า .. "ถ้าคุณไม่ใช่นักลงทุน หนังสือเล่มนี้จะช่วยจุดประกายความคิดของคุณว่า การลงทุนไม่ใช่เรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ใช่เรื่องของความเสี่ยง แต่เป็นศาสตร์ ที่ควรมีไว้ติดตัวทุกคน" .... (ประโยคนี้ ผมจดมาอ่ะครับ .. เห็นว่าเจ๋งดี .. แต่ไม่รู้ว่า เนื้อในของหนังสือจริง ๆ จะทำได้อย่างที่บอกไว้ตรงปกหลังรึป่าว ? )

ตอนนี้ ผมยังไม่ได้ซื้อนะครับ .. แต่กำลังคิดว่าจะซื้อมาอ่านเป็นเล่มแรก ..

ผมคิดถูกต้องมั๊ยครับ ? ..

หรือ ควรจะหาหนังสือเกี่ยวกับหุ้นเล่มอื่น มาอ่านเอาพื้นฐานก่อน ถึงค่อยมาอ่านเล่มนี้ จะดีกว่า ?

ถ้าเป็นอย่างนั้น ช่วยแนะนำหนังสือที่ควรอ่านก่อนเล่มนี้ ด้วยนะครับ ..


ขอบคุณ ทุก ๆ ความเห็นมาก ๆ ครับ ..

ผมไม่เคยอ่าน ครับตีแตก ส่วนมากชอบอ่านหนังสือแปลครับ

นี่เลยครับ text book ต้นฉบับ ของเบน เกรแฮม

1 The intelligent investor

2 Security analysis

ถ้าคิดจะเล่นหุ้น ต้องอ่านอีกหลายเล่มมากครับ
อย่าคิดมากครับ หยิบเลย ตีแตกอ่านง่าย สนุก ได้ไอเดียครับ
จากนั้น ลองอ่านเล่มอื่นๆ เพิ่ม
พยายามอ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จมายาวนาน และพิสูจน์ว่าเป็นของแท้ครับ
รวย ๆ ๆ คับ

ผมว่าตีแตก ก้เหมาะสำหรับมือใหม่นะครับ
ทำให้มองภาพรวมเบื้องต้นได้

แต่ผมว่าอาจจะพลาดบางส่วนเกี่ยวกับที่มาที่ไปของพวก PE ROE PBV
หรือเรื่องงบการเงิน ซึ่งต้องศึกษาเพิ่มเติม

แต่ผมก้ยังคง recommend สำหรับ ตีแตกครับ

จัดเลยครับ รับรองมันจะช่วยเพิ่มคุณภาพในการลงทุนแน่นอน. แนะนำ85 ไอเดียการลงทุนของคุณสุมาอี้ และ buffett and the interpretation of financial statement ด้วยครับ

คิดถูกต้องแล้วครับ เอาจริงๆถ้าอ่านเล่มนี้ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก้ออ่านเล่มอื่นยากครับ

อ่านไม่เข้าใจตรงไหน ก็โพสถามเอาในนี้ได้ครับ เเต่ส่วนใหญ่ก็มีกระทู้เก่าอยู่แล้ว search เอาได้เลยตามประเด็นที่อยากรู้ได้เลยมีเยอะมากแค่จะอ่านไหวรึเปล่า

Likhit เขียน:นี่เลยครับ text book ต้นฉบับ ของเบน เกรแฮม

1 The intelligent investor

2 Security analysis

ขืนอ่าน 2 เล่มนี้เป็นเล่มแรก จขกท เค้าคงหัวระเบิดแน่ๆเลยครับ

อ่านตีแตกก่อนก็ดีครับ เข้าใจง่ายไม่ยาก แล้วสงสัยตรงไหนก็จดไว้ หาอ่านเล่มต่อๆไปเช่น พวกงบการเงิน เป็นต้น

ซื้อๆมาเถอะครับ เล่มละไม่กี่บาท เล่มไหนเค้่าว่าดีก็ขนมาได้เลย
แต่ละคนมีไม่ต่ำกว่า 10-20 เล่มหรอก

ผมเริ่มอ่านจาก ตีแตก แล้วผมชอบมาก

อ.ดร. เขียนได้สนุก น่าอ่านครับ

ต่อมา ผมก็อ่านทุกเล่มที่ อ.ดร. เขียน เท่าที่จะหาได้ครับ


ยังเหลือ เช่น ชนะอย่างเต่า ... ที่หาไม่ได้แล้วครับ

ตามด้วยหนังสือที่ อ.ดร. แปล ครับ...


สนุก คุ้มค่า คุ้มกับเวลาที่อ่านครับ

ผมก็อ่านตีแตกเล่มแรก ดีมากๆครับ เล่มร้อยกว่าสองร้อย ไม่ต้องคิดมากครับซื้อเลย ผมหมดค่าหนังสือเป็นหมื่นแล้วก็ยังคุ้มครับ

ถ้าอยากอ่านหนังสือ
ก็แค่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
ส่วนตัวคิดว่าความสำคัญ
ของการอ่านหนังสือ
ไม่ได้อยู่ที่ รู้ หรือ ไม่รู้
เข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ
แต่ที่สำคัญที่...
เราได้อะไรจากหนังสือเล่มนั้น

ไม่แนะนำให้อ่านเกรแฮมก่อนครับ เพราะผมอ่านเกรแฮมเล่มแรก ตอนอยู่อเมริกา
กลับมาก็ลุยเลย

อ่าน the richest man in Babylon ก่อนครับ

ไม่ต้องรีบร้อน ตีแตกนั้นดีครับ แต่เล่มแรกๆควรอ่านอันที่สนุกๆดีกว่า
แล้วค่อยๆเพิ่มความเร้าใจ


ความเสี่ยงอยู่ที่มุมมอง
มองมุมนึง ฝากแบงค์ก็เสี่ยงกว่าหุ้น(มากทีเดียว)
มองบางมุม เล่นหุ้นก็เสี่ยงกว่าแบงค์
อีกมุม ฟิวเจอร์กลับปลอดภัย

เล่มแรกอ่าน Rich dad Poor dad ค่ะ
เล่มสองอ่านตีแตก
เล่มสามอ่านมือใหม่หัดเล่นหุ้น(ปกสีฟ้า)

หลังจากเปิดพอร์ตไปสักพัก ตอนนี้ต้องกลับไปเริ่มอ่านใหม่หมด 555+

ผมว่าดีนะ
อ่านที่เข้าใจง่ายๆ สนุกๆไปก่อนก็ดีครับ

ตีแตก+one up on wall street

ผมคิดว่า อ่าน

พ่อรวยสอนลูก ตอนเงินสี่ด้านก่อนครับ เพื่อปรับทัศนคติ แนวคิด
หลังจากนั้น ก็มา หนังสือของ ดร.ทุกเล่ม, warrent, lynch, จิตวิทยาการลงทุน ที่คุณพรชัยแปล, ส่วนของ เบน เกรแฮม กับ ฟิชเช่อร์ นี่ไว้หลังๆ ครับ เนื่องจากอ่านเข้าใจยาก แต่ต้องอ่านเหมือนกัน

ทุกวันนี้ ยังหยิบตีแตกแล้วก็หนังสือเล่มอื่นๆ มาทวนอ่านอย่างสม่ำเสมอครับ หลายเรื่องเคยคิดว่าเข้าใจแล้ว พออ่านใหม่ ก็มีความเข้าใจที่แตกต่างออกไปอีกครับ

dr.momo เขียน:ผมคิดว่า อ่าน

พ่อรวยสอนลูก ตอนเงินสี่ด้านก่อนครับ เพื่อปรับทัศนคติ แนวคิด
หลังจากนั้น ก็มา หนังสือของ ดร.ทุกเล่ม, warrent, lynch, จิตวิทยาการลงทุน ที่คุณพรชัยแปล, ส่วนของ เบน เกรแฮม กับ ฟิชเช่อร์ นี่ไว้หลังๆ ครับ เนื่องจากอ่านเข้าใจยาก แต่ต้องอ่านเหมือนกัน

ทุกวันนี้ ยังหยิบตีแตกแล้วก็หนังสือเล่มอื่นๆ มาทวนอ่านอย่างสม่ำเสมอครับ หลายเรื่องเคยคิดว่าเข้าใจแล้ว พออ่านใหม่ ก็มีความเข้าใจที่แตกต่างออกไปอีกครับ

เล่าเพิ่มเติมว่า ผมอ่านตีแตกเล่มแรกเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แล้วก็เริ่มเล่นหุ้น ตั้งใจลงทุนแบบซื้อธุรกิจ ปรากฏว่า พอเข้าตลาดไม่เท่าไร ก็เริ่มเก็งกำไร เล่นเทคนิคครับ ความโลภเข้าสิง ฮ่าฮ่า

ตอนหลังมาอ่านพ่อรวยสอนลูก จึงคิดได้ครับ กลับมาอ่านตีแตกอีกรอบ หลังจากนั้น ก็ลงทุนอย่างเดียวเรื่อยมา กำไรไม่เยอะ แต่ก็อยู่มาเรื่อยๆ ครับ

Likhit เขียน:นี่เลยครับ text book ต้นฉบับ ของเบน เกรแฮม

1 The intelligent investor

2 Security analysis

ผมว่า2เล่มนี้ไว้อ่านตอนเริ่มเข้าใจมากขึ้นน่าจะดีกว่าครับ

ผมว่าหนังสือของ ดร. ท่านอ่านสนุกนะครับ
ยกตัวอย่างใกล้ๆตัวด้วย

ในขณะที่หนังสือของต่างประเทศผมอ่านแล้วหลับบ่อยๆเพราะเค้าจะเน้นวิชาการมากเลย

เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับ "หนังสือตีแตก" ของผมให้ จขกท. ฟังดีกว่านะครับ ว่า...
v
v
v
วันหนึ่ง...
อยู่ดีดี ผมก็ดันทะลึ่งตั้งคำถามกับตัวเอง ว่า...
"ทำไมกรูเล่นหุ้นแล้วเจ๊ง แต่ทำไม ดร. แกเล่นหุ้นแล้วรวยฟร่ะ!!!"
ผมจึงหยิบเอาหนังสือตีแตกของ ท่าน ดร. ที่อยู่บนชั้นหนังสือในบ้านของผม ขึ้นมาอ่าน
หนังสือเล่มนี้เก่ามากครับ เป็นหนังสือที่คุณพ่อของผมที่ซื้อไว้

อ่านจบ ผมเปรยกับตัวเองว่า...
"กรูรู้แล้ว ว่า...กรูเจ๊งเพราะอะไร!!!!!!!!!!!!"

เพียงหนึ่งคลิ๊กเท่านั้น...มันสามารถเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิดของคุณได้
และคลิ๊กนั้น...มันจะเปลี่ยนสไตล์การลงทุนของคุณไปตลอดกาล...


"การอ่าน"...ไม่ต้องคิดให้มันมากหรอกครับ (เพราะมันไม่ได้อาศัยช่วงเวลา ว่าต้องอ่านเล่มไหนก่อนหลัง)
"การเลือกหุ้น" ต่างหากครับ...ที่ต้องคิดให้มาก ถึงมากที่สุด
และการเลือกหุ้น...ยังต้องอาศัยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดอีกด้วย

อย่าลังเลที่จะเริ่มต้นครับ...

ผมซื้อทุกเล่มที่พบแล้วน่าสนใจ จะช่วยให้มีความรู้ในการลงทุนมากขึ้น
เพราะราคาไม่ได้แพงเหมือนของใช้ประจำวัน หรือมากไปกว่าเงินที่ใช้ในการกิน เที่ยว เล่น เลย

ไม่ได้ว่าผมเก่งไปทุกเรื่องหรอกนะ
หลายเล่ม ก็ยังอ่านไม่รู้เรื่องวันนี้
แต่เรียนรู้วันละเล็กวันละน้อย เมื่อใจรัก วันหน้ามันจะสะสม จนที่เรียกว่า "ตกผลึก" เรารู้เรื่องเอง แล้วเอาไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน แบบไม่ต้องท่องจำ

ผมซื้อหนังสืออ.ภาพร เอกอรรถพร เรื่องแกะเงื่อนงบการเงิน ทันทีที่พบเมื่อ 5-6 ปีก่อน ทั้งๆ ที่ความรู้ด้านบัญชีการเงินมีนิดเดียว แต่ยังไม่เข้าใจตอนนั้น ว่า Balance Sheet กับ Income Statement ประกอบด้วยอะไรบ้าง
มาช่วงหลัง ไปอ่านซ้ำ หลังจากหาความรู้เพิ่ม สามารถเข้าใจได้เกือบหมด
ผมซื้อ Buffettology ต้นฉบับเมื่อ 10 กว่้าปีก่อน (1999) ตอนนั้่นความรู้ภาษาอังกฤษก็แย่ ความรู้การลงทุนก็ยังไม่มี
แต่นับจนวันนี้ ผมได้อ่านเกือบทั้งเล่ม ประเด็นสำคัญได้อ่านหมดแล้ว

หนังสือจำนวนมากก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ที่กองอยู่ในชั้นวางหนังสือ มีอีกเยอะที่ผมยังไม่เข้าใจ แต่ซักวันก็จะเข้าใจในแนวทางเดียวกัน



ตอนเรียนวิทยาศาสตร์ม.ต้น ทุกคนคงได้เรียนหลักการเครื่องทุ่นแรง
อาร์คิมีดิสบอกว่า "หากมอบไม้คานที่ยาวพอ และมีจุดศูนย์กลางรองรับน้ำหนักให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะงัดโลกใบนี้ให้ท่านดู"
บางคนบอกว่าเป็นแค่วาทกรรม
แต่เป็นการพูดถึงหลักการทางวิศวกรรมโครงสร้าง (structural engineering) เลยนะครับ
และคนทั่วไปก็พิสูจน์ได้จริง ลองยกของหนักๆ แล้วใช้คานยาวๆ จะพบว่าเบากว่้าใช้ไม่สั้นๆ

credit รูป http://wapedia.mobi/en/History_of_struc ... ngineering




credit รูป http://prism.tc.cc.tx.us/physicsbook/ch8a.html


credit รูป http://salmanff.blogspot.com/2007/10/so ... lever.html



หนังสือเปรียบเสมือนคานงััด หรือเครื่องทุ่นแรง ยิ่งอ่านมาก ยิ่งต่อไม้คานให้ยาวมาก ใช้แรงในการยกของหนักๆ น้อยลง เราอาจยกของหนัก ร้อยกิโลได้ โดยใช้แรงแค่ 5 กิโล
การซื้อหนังสืออ่าน ถือว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ช่วยให้เบาแรง ในการหาเงิน
คำว่าคานงัด เอามาใช้ในศัพท์การลงทุน ก็คำเดียวกับคำว่า leverage
เป็นการขยายพลังงาน ในการทำเงิน


คานงัดยังไง? ขยายพลังงานแบบไหน?
หนังสือเล่มละไม่ถึง 200-500
หลังจากเราได้ความรู้จากหนังสือนั้น แล้วนำมาประยกกต์ใช้
ทำให้เราทำเงินได้จาก 5 เป็น 6 หลัก บางท่านได้ 7-8 หลัก



แต่ถ้าลงทุน โดยไม่สะสมความรู้ ก็เหมือนคนที่อวดดี
แบกของแบกของโดยไม่ฝึกใช้เครื่องทุ่นแรง แต่ใช้กำลังทั้งตัว
แบกไปได้ไม่ไกล และได้น้อย แล้วอาจหกล้ม ขาหัก หัวทิ่ม

การลงทุน ...อย่าว่าแต่กำไรเลย...เงินต้นก็หาย

หาความรู้ไว้เยอะๆ ยิ่งต่อคนให้ยาวขึ้น leverage ยิ่งมากขึ้น

กด like 1 ทีครับพี่ Ii'8N

หนับหนุนตีแตกครับ เป็นเล่มแรก และหนังสือของ ดร. ทุกเล่ม หนังสือแปลก็ดีนะครับ แต่ปูพื้นฐานให้ฮึกเหิมก่อน แต่ intelligent investor ของเกรแฮมเนี่ย เป็นชาติแล้ว ยังอ่านไม่หมดเลยครับ อ่านไปได้นิดนึง ก็หันไปอ่านเล่มอื่นทุกที

Absolutly Right!

ผมก็อ่านตีแตกเป็นเล่มแรกๆคับ สุโค่ย

หนังสือของอาจารย์ดีอ่านง่ายทุกเล่มครับ ยกเว้นที่ท่านแปลอยู่เล่มนึงครับ - -*
(common stocks and uncommon profits เล่มนี้อ่านแล้วง่วงครับ)
ถ้าได้ความรู้จากหนังสือที่ซื้อมาแม้เพียงเล็กน้อย ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วครับ
ค่าหนังสือยังไม่เท่าราคา Pizza ถาดเดียวเลย ประโยชน์นั้นมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ครับ

เพียงหนึ่งคลิ๊กเท่านั้น...มันสามารถเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิดของคุณได้
และคลิ๊กนั้น...มันจะเปลี่ยนสไตล์การลงทุนของคุณไปตลอดกาล...
ชอบประโยคนี้ของคุณ pak

กด like คุณ Ii'8N ด้วยครับ

ผมอ่านคำถามแล้วรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่า อ่านแล้วกลัวจะไม่รู้เรื่อง แต่ว่า ต้องอ่านก่อนแล้วจะได้เนื้อมากน้อยอย่างไรก็มาว่ากัน ไม่ใช้หรอครับ

อีกอย่าง ขอยกเพื่อนผมเป็นตัวอย่างนะครับ เพื่อนผมก็สนใจการลงทุน ผมชวนเพื่อนไปฟังสัมมนาวันนั้นเป็นหัวขอ วิถีวีไอไทย ก็มีการกล่าวถึง หนังสือตีแตก (เพื่อนผมก็ติดใจเหมือนกับเพื่อนนักลงทุน) เพื่อนก็ไปซื้อมาอ่าน
พอมาเจอมันอีกที่เพื่อนมันว่าไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
ตอนนั้นผมก็บอกมันไปว่า "เข้าตลาดก่อนดิแล้วมาอ่านใหม่อีก"

ประเด็นของผมคือ ความสามารถในการกรองข้อมูลของเรามันเปลีื่ยนไปเมื่อเราหาความรู้เพิ่มขึ้นและมีประสบการณ์มากขึ้นครับ

ซื้อมาอ่านเลยครับ "หนังสือแล่มนึงก็จะเป็นฐานให้อ่านหนังสืออีกเล่มนึงครับ" ไม่มีลำดับขั้นหรอกครับ แล้วเราจะประมวลผลได้เอง (ตามความเห็นผมนะครับ)