Thai VI

เราควรใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต, เรขาคณิต, อัตราผลตอบแทนปรับความเสี่ยง วัดผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน
ยังไงดีครับ

ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ เอาผลตอบแทนเป็นรายปี จับรวมกันแล้วหารจำนวนปี
ตามความเข้าใจของผมก็คือ เหมือนมีเงินต้น 1 แสน ปลายปีพอร์ตมีกำไร 20% ขายหุ้นทิ้ง
ได้กำไร 2 หมื่นเอามาเก็บไว้ แล้วปีถัดไปก็ซื้อหุ้นด้วยเงินต้น 1 แสนเท่าเดิม

ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต ผมเข้าใจว่า คือการเอากำไรหรือขาดทุนจากเงินต้นไปทำการลงทุนต่อ
เช่น ได้กำไร 20% ขายหุ้นทิ้งได้กำไร 2 หมื่น ก็เอาเงิน 1 แสน 2 หมื่น เป็นเงินต้นในปีถัดไป

อัตราผลตอบแทนปรับความเสี่ยง Sharpe ratio = (ค่าเฉลี่ยเลขคณิต - %risk free)/ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน

สมมติผมจะทำการจำลองการลงทุนอันหนึ่ง
พอร์ตแรกเลือกหุ้นที่มี P/E ต่ำสุด 10% ของตลาด
ซื้อลงทุนต้นปี ขายปลายปี พอขี้นปีถัดไปก็คัดเลือกหุ้นใหม่ ซื้อขายไปอย่างนี้ 10 ปี

พอร์ตที่สองเลือกหุ้นที่มี P/BV ต่ำสุด 10% ของตลาด ซื้อขายในลักษณะเดียวกัน

ควรจะใช้ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต, ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต หรือ อัตราผลตอบแทนปรับความเสี่ยง Sharpe ratio
เป็นตัววัดดีครับ

คือถ้าสมมติพอร์ตแรกให้ค่าเฉลี่ยเลขคณิตดีกว่าพอร์ตที่สอง แต่พอร์ตที่สองให้ค่าเฉลี่ยเรขาคณิต
ดีกว่าพอร์ตแรก เราจะตีความหมายยังไง

หรืออีกลักษณะ พอร์ตที่สองให้ค่าเฉลี่ยเรขาคณิตดีกว่าพอร์ตแรก แต่พอร์ตแรกให้อัตราผลตอบแทนปรับความเสี่ยง
ดีกว่าพอร์ตที่สอง เราจะตีความหมายยังไง

งง


คือจะเปรียบเทียบ 2 พอร์ต โดย

พอร์ต 1 ซื้อแบบ ได้กำไร เอาออก (ลง100 ได้ 120 เอา20 ออก เหลือ 100นึงสำหรับปีต่อไป) แต่ซืั้อ PEต่ำ

พอร์ต 2 ซื้อแบบ ได้กำไรไม่เอาออก (ลง100 ได้120 ไม่เอาออก เหลือ 120 สำหรับปีต่อไป) แต่ซื้อ PBV ต่ำ

คือผมว่าไม่ make sence นะครับ มันคนละเรื่องหรือเปล่าครับ >.<

คือถ้าจะเปรียบเทียบจริงๆ ก็เลือกระหว่าง 1 รูปแบบการซื้อเหมือนกัน 2.ซื้อที่PE หรือ PBV เหมือนกันนะครับ

หรือ
=============================================================
พอร์ต 1 ซื้อแบบ ได้กำไร เอาออก (ลง100 ได้ 120 เอา20 ออก เหลือ 100นึงสำหรับปีต่อไป) แต่ซืั้อ PEต่ำ

พอร์ต 2 ซื้อแบบ ได้กำไรไม่เอาออก (ลง100 ได้120 ไม่เอาออก เหลือ 120 สำหรับปีต่อไป) แต่ซื้อ PEต่ำ

พอร์ต 3 ซื้อแบบ ได้กำไร เอาออก (ลง100 ได้ 120 เอา20 ออก เหลือ 100นึงสำหรับปีต่อไป) แต่ซืั้อ PBVต่ำ

พอร์ต 4 ซื้อแบบ ได้กำไรไม่เอาออก (ลง100 ได้120 ไม่เอาออก เหลือ 120 สำหรับปีต่อไป) แต่ซื้อ PBV ต่ำ
=============================================================

น่าจะดีกว่านะครับ

ลืมตอบ โทษทีๆ

โดยปกติ การซื้อแบบลงทั้งกำไรให้หมด "น่า" จะดีกว่า การเอากำไรออก

เพราะมันคือการ ทบต้น น่ะครับ คนรวยรวยได้เพราะเรื่องทบต้นนี่ล่ะ

ส่วนเรื่องการซื้อ PE กับ PBV โดยส่วนตัว ผมให้ความสำคัญกับ PE มากกว่านะครับ

เพราะว่า PE มีผลมาจาก E กำไร ซึ่งราคาหุ้นมักจะตามมากกว่า (มั้ง)

ส่วน PBV มาจากเรื่องสินทรัพย์ โดยผมเห็นว่ามันมีหลอกเยอะ(กำไรก็มีหลอกนี่) แต่ถ้ามันเจ็ง เราก็ได้คืนเยอะ ปันหาคือมันไม่เจ็งอ่า

ยังไงผิดถูกขออภัยด้วยนะครับ ผมมือใหม่ (แค่หุ้นตก 40 จุด ก็เขียนเรื่อง วันแดงเดือดซะแล้ว)

คือวัดทั้งแบบ ได้กำไร เอาออก กับ ได้กำไรไม่เอาออกครับ

แต่ถ้าพอร์ต A วัดแบบได้กำไร เอาออก ให้ค่าสูงกว่า พอร์ต B
แต่วัดแบบได้กำไรไม่เอาออก ดันให้ค่าต่ำกว่า พอร์ต B
มันขัดแย้งกัน เลยสงสัยว่ากรณีแบบนี้จะอธิบายยังไง?

ก่อนอื่นให้ผมมองจากที่คุณเขียนมา แนะนำเปลี่ยนวิธีวัดก่อนครับ sharpe ratio นั้น assume ว่า annualized std deviation สะท้อน risk, นำ risk เข้ามาเป็นตัวตัดวัด performance อีกทีนอกเหนือจาก % return..... ดังนั้นคุณต้องคิดให้ดีก่อนครับว่า การแกว่งตัวของราคา มันหมายถึง risk จริงๆหรอ?................... ส่วนตัวผมมองว่าไม่จำเป็น ...... its just another futile attempt to come up with a more fancy measurement. .... raw return, CAGR over time, these things are much better indicators of your port's performance....

risk is a perception and very dynamic. definitely not determined by price votility, lots of things cause price votility and that doesnt necessarily mean risk, dont try to factor it in.

ในส่วนปัญหาของคุณ ตามหลักการหาก amount ปลายทาง เท่ากันการใส่เงินเพิ่มจากภายนอกแปลว่าได้ % return น้อยกว่าการไม่ใส่. เรื่องเงินเพิ่มจากภายนอกหรือ reinvestment of dividends นั้นจะกระทบตัว R อย่างเดว, risk free กับ std dev ไม่เกี่ยว คุณคงคำนวนเรื่องเติมเงินอะไรผิดซักอย่างหละครับ ผมไม่เห็นตัวเลขจึงยังไม่เห็นภาพ case ของคุณชัดเจนเช่นกัน ลองเอามาแปะไว้ละกันครับจะได้ช่วยดูให้