Value Investment คืออะไร? นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ คำตอบที่ได้รับนั้นมักจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับ “Value Investor” แต่ละคน ส่วนใหญ่แล้วคำตอบนั้นมักจะเป็นส่วนหนึ่งของแนวความคิด “แบบ VI” ผมคิดว่าไม่มีคำตอบไหนที่จะอธิบายความหมายของ VI ได้อย่างสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว VI นั้นเป็น “ปรัชญา” ที่อาจจะมีพื้นฐานจากแนวความคิดของ เบน เกรแฮม แต่หลังจากนั้นก็มีนักคิดและนักปฏิบัติคนอื่นที่ช่วยกันเสนอแนวความคิดเพิ่ม เติมหลากหลาย บางเรื่องก็แย้งกับแนวทางเดิมก็มี อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้วก็พอจะบอกได้ว่าแนวทางแบบใดเป็นแบบ VI และแนวไหนไม่ใช่ และต่อไปนี้ก็คือความพยายามของผมที่จะรวบรวมแนวความคิดหลัก ๆ ของ VI ที่จะช่วยให้คนที่ยังสับสนว่าอะไรคือ VI และการลงทุนแบบ VI นั้นทำอย่างไร ผมอยากเรียกมันว่า “ทฤษฎี VI”
ทฤษฎี VI ของผมจะเริ่มจาก “โครงร่าง” ที่จะครอบคลุมประเด็นหลัก ๆ ของ VI ดังต่อไปนี้คือ ข้อแรก VI มองการลงทุนในหุ้นว่าคือการลงทุนในธุรกิจ พูดง่าย ๆ ซื้อหุ้นก็คือซื้อธุรกิจหรือถ้าจะให้ถูกต้องจริง ๆ ก็คือ ซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ใช่ซื้อกระดาษใบหนึ่งที่มีราคาขึ้นลงได้ ดังนั้น การวิเคราะห์หุ้นก็คือการวิเคราะห์ว่าธุรกิจนั้นเป็นอย่างไร ข้อสอง ต้องหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ซึ่งก็คือการหามูลค่าของธุรกิจ นี่คือมูลค่าที่เกิดขึ้นจากการที่ธุรกิจสามารถสร้างกระแสเงินสดให้เราได้ ไม่ใช่มูลค่าที่มีคนมาเสนอซื้อจากเรา ข้อสาม ซื้อหรือขายหุ้นเมื่อมีส่วนต่างระหว่างมูลค่าที่แท้จริงกับราคาหุ้นในตลาด โดยที่ส่วนต่างนั้นมีมากพอ หรือเรียกว่ามี Margin Of Safety ข้อสี่ VI นั้นจะต้องมี EQ หรืออารมณ์ที่มั่นคง ไม่ถูกชักนำโดยจิตวิทยาสังคมหรือสภาวะของตลาดหลักทรัพย์ ข้อห้า ต้องควบคุมความเสี่ยง หรือเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม สุดท้ายก็คือ ประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในมุมมองของ VI
ข้อแรกในเรื่องของธุรกิจนั้น VI จะพยายามแยกหุ้นออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้รู้ว่าคุณสมบัติทางธุรกิจของหุ้นนั้นเป็นอย่างไร การแยกแยะนั้นจะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคตของกิจการได้ อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น
การแบ่งกลุ่มของหุ้นที่ค่อนข้างกว้างก็คือแนวที่บัฟเฟตต์เรียกว่า กลุ่มหุ้น “ก้นบุหรี่” กับกลุ่มหุ้น “Super Company” โดยที่หุ้นก้นบุหรี่ก็คือหุ้นของบริษัทที่ไม่มีความสามารถโดดเด่นในการแข่ง ขัน ซึ่งทำให้ราคาของหุ้นอาจจะถูกมากจนอาจทำให้คุ้มค่าที่จะซื้อ ในขณะที่หุ้น Super Company นั้นเป็นหุ้นของกิจการที่มีความแข็งแกร่งมากและมี “ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน” ซึ่งทำให้บริษัทสามารถทำกำไรดีกว่าปกติได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน หุ้นแบบหลังนี้ ถ้าเราสามารถซื้อได้ในราคาที่เหมาะสม มันก็จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีได้เป็นเวลานาน
VI ชื่อดังอย่าง ปีเตอร์ ลินช์ เองได้เสนอการแบ่งกลุ่มบริษัทให้ละเอียดขึ้นเพื่อให้สามารถวิเคราะห์กิจการ ได้แม่นยำขึ้น เขาแบ่งกิจการออกเป็น 6 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแรก หุ้นโตช้า ซึ่งเขาบอกว่าไม่น่าสนใจลงทุน นี่น่าจะเป็นกลุ่มที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “ตะวันตกดิน” กลุ่มสอง หุ้นแข็งแกร่ง นี่คือหุ้นของกิจการขนาดใหญ่ที่เข้มแข็ง เป็นหุ้นที่นักลงทุนเรียกว่าเป็น หุ้น “Blue Chip” หุ้นเหล่านี้จะโตไม่มากแล้ว คนลงทุนควรจะเน้นว่ามันจ่ายปันผลในอัตราที่ดีจึงจะน่าสนใจที่จะซื้อลงทุน กลุ่มที่สาม คือหุ้นโตเร็ว นี่คือหุ้นที่มักจะมีขนาดเล็กลงมาแต่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นกิจการที่ยังมีความเสี่ยงและอาจจะไม่เข้มแข็งมาก แต่การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้โดยรวมมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีเพราะราคาหุ้นจะปรับ ตัวไปสูงมากและเป็นเวลานาน กลุ่มที่สี่ คือหุ้นวัฏจักร นี่คือกิจการที่มีผลประกอบการขึ้นและลงเป็นรอบ ๆ ที่ถ้าเราเข้าใจก็สามารถลงทุนซื้อและขายหุ้นในช่วงเวลาที่ถูกต้องได้ กลุ่มที่ห้า คือกลุ่มหุ้นฟื้นตัว นี่คือหุ้นของกิจการที่ประสบปัญหาหนักแต่กำลังฟื้นตัวหรือจะฟื้นตัวได้ เนื่องจากเหตุผลบางประการเช่นบริษัทมีเงินสดมาก การซื้อหุ้นแบบนี้ก็จะให้ผลตอบแทนที่ดีมากเมื่อกิจการฟื้นตัวแล้ว สุดท้าย หุ้นกลุ่มทรัพย์สินมาก นี่คือหุ้นของกิจการที่มีทรัพย์สินมากกว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทและทรัพย์สิน นั้นมีค่าจริง การลงทุนในหุ้นมีทรัพย์สินมากมักจะมีความปลอดภัยสูง
การแบ่งกลุ่มบริษัทนั้น สำหรับ VI คงไม่มีข้อจำกัด ขึ้นอยู่กับว่าเขาเข้าใจธุรกิจมากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นข้อถกเถียงมากว่าเป็นแนวของ VI หรือไม่ก็คือในกรณีของ บิล มิลเลอร์ ซึ่งประกาศตัวว่าเป็น VI คนหนึ่ง แต่เขาลงทุนในหุ้นกลุ่มไฮเท็คมากและประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้ง ๆ ที่หุ้นไฮเท็คนั้น สำหรับ VI ส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นหุ้นในกลุ่มของ Growth Investor ซึ่งไม่ค่อยคำนึงถึงเรื่องของราคาถูกแพงของหุ้นซึ่งขัดกับแนวความคิดหลักของ VI ที่เน้นว่าต้องซื้อเฉพาะหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพื้นฐานเสมอ อย่างไรก็ตาม บิล มิลเลอร์ เถียงว่า หุ้นที่เขาลงทุนนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่ได้แพงเลยเมื่อมองถึงกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการเหล่า นั้นจะทำได้ในอนาคตที่อาจจะไกลออกไปหน่อยแต่ก็เป็นกระแสเงินสดที่มากและน่า จะคาดการณ์ได้เมื่อคำนึงถึงธรรมชาติของธุรกิจของหุ้นไฮเท็คที่เขาซื้อเหล่า นั้น
หัวใจสำคัญของการวิเคราะห์กิจการนั้น นอกจากการที่ต้องพยายามจัดกลุ่มแล้ว เราต้องเข้าใจว่าบริษัทนั้น “หากิน” อย่างไร อะไรเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลประกอบการของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะ ยาวและปัจจัยเหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงได้เร็วและมากน้อยแค่ไหน การเข้าใจตัวธุรกิจเป็นเงื่อนไขสำคัญมากของการลงทุนแบบ VI และก่อนที่จะลงทุนนั้น นักลงทุนจะต้องสามารถบอกเล่าเรื่องราวสั้น ๆ ที่ครอบคลุมหัวใจสำคัญของการดำเนินงานของธุรกิจหรือ “Story” ว่าทำไมหุ้นตัวนั้นถึง “น่าลงทุน”
ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
เป็นบทความเก่านะครับ พอดีอ่านเจอ เลยเอามาฝากกันครับ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 47
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
ทำไมถึงแยก Growth investor ออกจาก Value investor
แล้วตกลงว่าหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์และวัฐจักรคือการลงทุนแบบViหรือไม่
ผมว่าบทความดร.หลายอันล่าสุดรู้สึกจะตีกันเองรึเปล่าครับ
หนังสือวอเรน บัฟเฟตต์ ฉบับที่ผมเห็นบนชั้นวางasia book
มีเขียนว่า Value investemet = value + growth นะครับ
ซึ่งบางทีอาจจะไม่สามารถแยกมันออกจากกันได้
แล้วตกลงว่าหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์และวัฐจักรคือการลงทุนแบบViหรือไม่
ผมว่าบทความดร.หลายอันล่าสุดรู้สึกจะตีกันเองรึเปล่าครับ
หนังสือวอเรน บัฟเฟตต์ ฉบับที่ผมเห็นบนชั้นวางasia book
มีเขียนว่า Value investemet = value + growth นะครับ
ซึ่งบางทีอาจจะไม่สามารถแยกมันออกจากกันได้
- densin
- Verified User
- โพสต์: 1073
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
นิยามมันเปลี่ยนตามยุคสมัย ตามแต่จะเรียก仕手株 เขียน:ทำไมถึงแยก Growth investor ออกจาก Value investor
แล้วตกลงว่าหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์และวัฐจักรคือการลงทุนแบบViหรือไม่
ผมว่าบทความดร.หลายอันล่าสุดรู้สึกจะตีกันเองรึเปล่าครับ
หนังสือวอเรน บัฟเฟตต์ ฉบับที่ผมเห็นบนชั้นวางasia book
มีเขียนว่า Value investemet = value + growth นะครับ
ซึ่งบางทีอาจจะไม่สามารถแยกมันออกจากกันได้
เมื่อก่อนเรียกแยกกัน value ไม่ใช่ growth
แต่เดี๋ยวนี่บางคนนับgrowthด้วยว่าเป็นvalue
บางคนถนัดcycleก็นับcycleเป็นvalueเข้าออกถูกจังหวะกำไรเยอะ เข้าผิดก็ขาดทุนหนัก
ชื่อมันไม่สำคัญ สำคัญที่อย่าสับสน
อย่าซื้อหุ้น valueในราคาgrowth หรือ ซื้อหุ้นcycleในราคาgrowthหรือvalue
อย่าซื้อหุ้นเน่าไร้ธรรมภิบาลในราคาใดๆ
VI สายมืด = VI หน้ามืดซื้อตัวฮอทๆอย่าไม่ลืมหูลืมตา
-
- Verified User
- โพสต์: 1070
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
VI นั้นเป็น “ปรัชญา” ที่อาจจะมีพื้นฐานจากแนวความคิดของ เบน เกรแฮม แต่หลังจากนั้นก็มีนักคิดและนักปฏิบัติคนอื่นที่ช่วยกันเสนอแนวความคิดเพิ่ม เติมหลากหลาย บางเรื่องก็แย้งกับแนวทางเดิมก็มี仕手株 เขียน:ทำไมถึงแยก Growth investor ออกจาก Value investor
แล้วตกลงว่าหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์และวัฐจักรคือการลงทุนแบบViหรือไม่
ผมว่าบทความดร.หลายอันล่าสุดรู้สึกจะตีกันเองรึเปล่าครับ
หนังสือวอเรน บัฟเฟตต์ ฉบับที่ผมเห็นบนชั้นวางasia book
มีเขียนว่า Value investemet = value + growth นะครับ
ซึ่งบางทีอาจจะไม่สามารถแยกมันออกจากกันได้
หวังว่าคงตอบข้อสงสัยได้ นะครับ
ในมุมมองของผม หุ้นที่เป็น Value stock คือ หุ้นทีมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน ครับ ยิ่งต่ำมากยิ่งดี ไม่สนว่าหุ้นนั้นจะเป็นหุ้นแบบใดครับ ปัญหาคือการหามูลค่าที่แท้จริงของมันครับ มันหายากมากจริง ๆ
The One
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 384
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
เห็นภาพ และ โดนใจมากครับพี่Densindensin เขียน: ชื่อมันไม่สำคัญ สำคัญที่อย่าสับสน
อย่าซื้อหุ้น valueในราคาgrowth หรือ ซื้อหุ้นcycleในราคาgrowthหรือvalue
อย่าซื้อหุ้นเน่าไร้ธรรมภิบาลในราคาใดๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
ทฤษฎี VI (1-3) : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : http://bit.ly/gII0Kp
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
ผมเอามาจากเวบบลอกของพี่ นี่เลยครับ เพียงแต่เซฟ url ไว้นานจนจำไม่ได้ว่าเป็นบลอกของใครสักคนในเวบนี้i_sarut เขียน:ทฤษฎี VI (1-3) : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : http://bit.ly/gII0Kp
ในบลอก มีบทความดีๆเยอะเลยครับ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 298
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
ตอบโจทย์ได้ดีเยี่ยมเลยครับdensin เขียน:นิยามมันเปลี่ยนตามยุคสมัย ตามแต่จะเรียก仕手株 เขียน:ทำไมถึงแยก Growth investor ออกจาก Value investor
แล้วตกลงว่าหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์และวัฐจักรคือการลงทุนแบบViหรือไม่
ผมว่าบทความดร.หลายอันล่าสุดรู้สึกจะตีกันเองรึเปล่าครับ
หนังสือวอเรน บัฟเฟตต์ ฉบับที่ผมเห็นบนชั้นวางasia book
มีเขียนว่า Value investemet = value + growth นะครับ
ซึ่งบางทีอาจจะไม่สามารถแยกมันออกจากกันได้
เมื่อก่อนเรียกแยกกัน value ไม่ใช่ growth
แต่เดี๋ยวนี่บางคนนับgrowthด้วยว่าเป็นvalue
บางคนถนัดcycleก็นับcycleเป็นvalueเข้าออกถูกจังหวะกำไรเยอะ เข้าผิดก็ขาดทุนหนัก
ชื่อมันไม่สำคัญ สำคัญที่อย่าสับสน
อย่าซื้อหุ้น valueในราคาgrowth หรือ ซื้อหุ้นcycleในราคาgrowthหรือvalue
อย่าซื้อหุ้นเน่าไร้ธรรมภิบาลในราคาใดๆ
อย่า...วัดความลึกของแม่น้ำด้วยขาทั้ง2ข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณครับที่ติดตาม นึกว่าจะไม่มีคนอ่านซะแล้วjo7393 เขียน:ผมเอามาจากเวบบลอกของพี่ นี่เลยครับ เพียงแต่เซฟ url ไว้นานจนจำไม่ได้ว่าเป็นบลอกของใครสักคนในเวบนี้i_sarut เขียน:ทฤษฎี VI (1-3) : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : http://bit.ly/gII0Kp
ในบลอก มีบทความดีๆเยอะเลยครับ
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
ผมเข้าอ่านเป็นประจำครับ ยังอ่านไม่หมดเลย มีเวลาว่างก็ค่อยๆอ่านที่ละบทความi_sarut เขียน:ขอบคุณครับที่ติดตาม นึกว่าจะไม่มีคนอ่านซะแล้วjo7393 เขียน:ผมเอามาจากเวบบลอกของพี่ นี่เลยครับ เพียงแต่เซฟ url ไว้นานจนจำไม่ได้ว่าเป็นบลอกของใครสักคนในเวบนี้i_sarut เขียน:ทฤษฎี VI (1-3) : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : http://bit.ly/gII0Kp
ในบลอก มีบทความดีๆเยอะเลยครับ
พี่รวบรวมไว้หลายคน ดีครับ หามาเพิ่มเยอะๆนะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทฤษฎี VI (1) ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณอีกครั้งครับผมjo7393 เขียน:ผมเข้าอ่านเป็นประจำครับ ยังอ่านไม่หมดเลย มีเวลาว่างก็ค่อยๆอ่านที่ละบทความ
พี่รวบรวมไว้หลายคน ดีครับ หามาเพิ่มเยอะๆนะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/