Thai VI

ส่วนมากทุกคนจะบอกว่าหุ้นกลุ่มนี้ คือ หุ้นวัฏจักร
หุ้นกลุ่มนี้ ใช้เวลาไม่ถึง 2ปีขึ้นไป 15-25 เท่า
บางคนก็ยังถือหุ้นบางตัวในกลุ่มนี้อยู่
เซียนส่วนมากจะแนะนำให้ขายหุ้นพวกนี้เสีย
ขณะที่ สินค้าที่บริษัทเหล่านี้ขาย ขึ้นไปสูงสุด
เช่น ยางราคาเกือบ 200 บาทต่อกิโล
เป็นคำแนะนำที่ คนส่วนมากเชื่อ
ทำตามและได้ผลรับที่ดี
อย่างไรก็ตาม คนที่เชื่อและทำตามโดยทันที
เป็นสิ่งที่ผิดและไม่ฉลาด คิดพิจารณาให้รอบครอบ
ก่อนจะเชื่อ สูตรสำเร็จของพวกเซียน

เเล้ว PTTAR PTTEP TOP PTTCH อ้อ CPF GFPT TRUBB อีกด้วย มันเป็นหุ้นวัฏจักรไหมครับ
ราคาตอนนี้ใกล้มาพีคใหม่ ยังครับ ควรขายหรือยัง หรือยังต้องซื้ออีกดี
คำตอบอาจเหมือนกันก็ได้นะครับ ท่านเซียนๆ

ผมให้เกรด IVL เทียบกับ BANPU กับ PTTEP ครับ
commodity เหมือนกันเเต่มันเป็น growth ได้อยู่ครับอีกหลายปี

ส่วนตัวอื่นๆผมยังมองไม่เห็น growth เเต่ spread เพิ่มเเรงมากๆ ปีที่เเล้วมาถึงตอนนี้

หุ้นประเภท BAIGON ครับ

ฆ่าแมงทุกชนิด

หุ้นที่ต้องถามคนอื่นว่าเป็นหุ้นประเภทไหนกันแน่
เรียกว่าหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง

ขอคิดใหม่ทำใหม่
เพราะ ในเมื่อราคาของ ขึ้นไปแบบนั้น ก็ยอมมีคนที่กระโดดลงไปทำธุรกิจแข่งขันด้วย
ถ้าเป็น STA ผมมองง่ายๆว่าราคายางตอนนี้ 200 บาทต่อกิโลกรัมเพราะอะไร
ถ้าหากเป็นการขาดแคลนระยะสั้นอย่างไงก็ต้องกลับมาสู่ดุลยภาพ
แต่ถ้าหากเป็นการขาดแคลนเพราะการบริโภคที่สูงขึ้นอันนี้ก็ต้องปลูกเพิ่ม
ในเมื่อราคาสูงขึ้น เกษตรกรก็ยอมมองแล้วว่า ปลูกพืชชนิดนี้ดีกว่า โค่นต้นไม้ที่ให้ผลอย่างอื่นดีกว่า
เช่น โคนต้นมะม่วง ต้นทุเรียน เป็นต้น
แล้วเอาที่ดินไปปลูกต้นยางพาราอีก 5 ปีให้ผลตอบแทน
ณ เวลานั้น เกิดอะไรขึ้นอาจจะเกิด Supplier ล้นตลาดราคายางตกลงอย่างรวดเร็ว
เหมือนมี 20 ปีที่แล้ว เป็นไปได้

ส่วน กองของแผ่นฟิล์ม
ผมขอตั้งคำถามว่า บริษัทอื่นและที่อื่นสามารถทำได้หรือไม่
สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้รวดเร็วหรือเปล่า
สิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบันคือ มันเกิดจากการขาดแคลนสินค้าในช่วงระยะเวลาสั้นหรือยาว
เพราะที่ผมรู้มากคือ สินค้าเอาไปทำแผ่นกันรอยมือถือกันมาก ทำให้เปลี่ยนสายการผลิตไปอันนั้น
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว มันเป็นปรากฏการณ์ระยะยาวหรือระยะสั้นละครับ

บ้างที่คิดมองมุมกลับจากสิ่งที่เราคิดบ้างครับ
พอดีผมเคยมีหุ้นกลุ่มเหล่านี้เมื่อนานมาแล้ว
และตอนนี้ไม่ได้ถือแล้ว

STA ในทัศนะผมจะดีไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องไป อย่างต่ำ 5 ปี
เพราะ ปริมาณรถที่ขายในโลกจะเพิ่มต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เป็น 10ปี
ประชากรประเทศ BRIC รวมกันได้ ประมาณครึ่งหนึ่งของโลก
รายได้มากพอที่จะซื้อรถ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปริมาณการซื้อรถเพิ่มขึ้น
ทุกปีไม่ว่า ศก โลกจะเป็นอย่างไร ศก แย่เพิ่มน้อย ศก ดีเพิ่มมาก
ใน 5ปีนี้ ราคายางไม่น่าจะต่ำกว่า 120 บาท
สิ่งที่ STA ต้องการคือ ปริมาณผลิตยางในประเทศไทยเยอะๆ
เพราะ มีลูกค้าอยู่แล้ว
ดังนั้น STA น่าจะโตไปเรื่อยๆ อย่างต่ำ 5 ปี ในแง่ผลประกอบการ
ส่วนราคาหุ้น ประเมินไม่ถูก

การคิดคำนวณราคาหุ้น
มีความเสี่ยงอยู่ตัวหนึ่งคือ Market Risk
คือความผันผวนของราคาสินค้าที่บริษัทผลิตออกมา

แก้ไขด้วยอะไรลองไปหาดูล่ะกัน
หากบอกว่าราคาขั้นต่ำ 120 บาท
แล้วความผันผวนของราคาสินค้าเท่าไร
ถ้าหากคิดราคาผันผวนลองไปหาเรื่อง Implied Volalities ดูต่อ

เป็นหุ้นประเภทที่ราคาแพงมาก ๆ

หุ้นทุกตัวต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดครับ

sta ทำยาง ให้ไปดูราคายางเป็นไง ประวัติ สิบปีย้อนหลังเป็นไง สิบปีต่อไปเป็นไง กระทรวงเกษตรเค้าประเมินทุกปีเข้าไปดูเอา ทางที่ดีไปถามคนทำสวนแก่ๆ ดีสุด
IVL เห็นว่าทำเม็ดพลาสติก ก็ไปดูราคาเม็ดพลาสติก แนวโน้มขึ้นป่ะ
PTL AJ ทำฟิล์ม ก็ไปดูฟิล์ม margin เป็นไง ดูบริษัทคู่แข่ง dupontอยู่เป็นร้อยปีมาได้ไงเค้าเป็นไงมั่ง

ทุกอย่างต้องดูข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ ข้อเท็จจริงมันบอกในตัวอยู่แล้ว ส่วนความเห็นย่อมมีต่างเป็นเรื่องธรรมดา

ปัญหาของหุ้นวัฏจักร คือ เราไม่รู้ว่าวัฏจักรมันสิ้นสุดตรงไหนครับ

และปัญหาของคนที่ขาดทุนหุ้นพวกนี้คือ

ใช้กลยุทธ์ผิดประเภทครับ

หุ้นแบบไหนต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะกับมัน ไม่งั้น ลินซ์ จะแบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มๆทำไม

ถ้าจะถือหุ้นวัฏจักรที่มีกำไร Low และ Peak

แต่ใช้หลักคิดว่าธุรกิจมันจะดีไปเรื่อยๆ จะถือรับปันผลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ผมว่า จะขาดทุนเอา

ทางที่ผมเห็นคือ ถ้าขึ้น ต้องขายลดต้นทุนเรามาครับ ถ้าดึงทุนได้หมด จะถือไปเรื่อยๆ ไม่ผิดเลยครับ

ในกรณี IVL ผมว่าเรามองแค่สินค้าของเขาไม่ได้นะครับ เพราะว่าคุณอาลก โลเฮีย ผมว่าเขาฉลาดเป็นกรดเลย ผมว่า IVL เนี่ยบริษัทเขาเน้นการ joint venture ไปเรื่อยๆ ทำให้บริษัทมันเติบโตแบบก้าวกระโดดเลย

http://www.newswit.com/.biz/2011-02-07/ ... e4e65fdea/

IVL http://www.bangkok-today.com/node/6946

เป็นหุ้นยอดนิยมครับ

STA IVL PTL AJ เป็นหุ้นประเภทไหน?

ใช่ครับ มันเป็นหุ้นวัฐจักร
แต่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดก็เป็นหุ้นวัฐจักรนะครับ
เป็นไปตามวงจรชีวิตของธุรกิจมัน
แต่เจ้าสี่ตัวเนี้ย มันเป้นซับเซตย่อยของหุ้นวัฐจักรอีกที
คือมันเปนโภคภัณฑ์(Commodity)อ่ะครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Commodity
ว่าง่ายๆ คือหน้าตาและคุณสมบัติสินค้าแต่ละเจ้าที่เกรดเดียวกันมันเหมือนกันเปี้ยบ หรือแทบจะแยกไม่ออก
(ยางอัดแท่ง แผ่นฟิล์ม เม็ดพลาสติก)
ดังนั้นกำไรของธุรกิจจึงมาจากอุปสงค์และอุปทานของสินค้าเป็นหลัก
เมื่อ เกิดความไม่สมดุลย์ระหว่างอุปสงค์และอุปทานของสินค้า มันจึงส่งผลให้กำไรผันผวนอย่างรุนแรง
ส่วนว่าคอมโมตัวไหนจะรุ่งหรือริ่งนั้นก็ต้องลงลึกไปถึงที่มาปัจจัยของอุปสงค์และอุปทานของมัน


เหตุว่าหน้าตาสินค้าแต่ละเจ้ามันเหมือนๆกัน ดังนั้นการวิเคราะห์กิจการเหล่านี้ต้องมองภาพรวมของอุตสาหกรรมเป็นหลัก
มุมมองทางเศรษฐกิจแบบมหาภาคสำคัญมากนะครับสำหรับหุ้นพวกนี้
คุณภาพของตัวบริษัทเองส่งผลไม่มากครับ ว่าง่ายๆ รวยก็รวยกันทั้งแก๊ง จ๋อยก็จ่อยกันทั้งแก๊ง
คุณภาพของแต่ละบริษัทสร้างความแตกต่างในแง่ที่ว่า เวลากำไร สามารถฟันกำไรได้เยอะกว่า
ส่วนเวลาขาดทุน ขาดทุนน้อยกว่า ประคองตัวเองผ่านจุดตกต่ำได้
จังหวะขาขึ้นวัดกันที่ประสิทธิภาพและกำลังการผลิต
ขาลงวัดกันที่ความแข็งแกร่งของงบการเงิน

ivl ก็ไม่พ้น เงื่อนไขของcommodityนี้นะครับ


แต่ผมว่า มุมมองการทำธุรกิจของผุ้บริหารivl นี่ผมว่าเวิร์คนะครับ
การไล่ซื้อโรงงาน ในจังหวะขาขึ้นของอุตสาหกรรมเนี้ย ได้ประโยชน์ทันที ไม่ต้องรอโรงงานเสร็จ
ไม่สร้างอุปทานเพิ่มเข้ามาในตลาด ทำให้ราคาสินคายังคงตัวในระดับสูงอยุ่
เพิ่มการประหยัดต่อขนาด กระจายโรงงานหลบกำแพงภาษี
ละก็เขี่ยคู่แข่งออกไปก่อนที่เค้าจะฟื้นตัวด้วย
เหมือนเรื่องของมิตาลที่กลายเป็นเจ้าพ่ออุตสหกรรมเหล็กเบอร์หนึ่งของโลกอ่ะครับ
ก็ไม่แน่นะครับ สมมติเทคไปเทคมา เหลือกันแค่สองสามเจ้า แล้วฮั้วกันแบบโอเปค
อาจกำหนดราคาเองได้นะครับ ถ้าคุมอุปทานรวมได้อยู่หมัด

ขอบคุณมากครับ



ผมมี 1 ใน 4 ตัวที่กล่าวมา

ผมยังถือต่อเพราะ ทุนผมเป็นศูนย์แล้วครับ

ถ้าสามารถ Take ไปจน เป็นผู้นำด้านอุตสากรรม นั้นๆ ได้นี่ ก็กลายเป็น duopoly หรออาจจะขนาด Monopoly เลย หลายคนอาจจะมองว่า ถ้าจะลงทุนกับ IVL แพงไปแล้ว P/E (เท่า) 35.7 P/BV (เท่า) 7.52 แต่ผมว่าผู้บริหารเขาตั้งเป้าตั้วเองไว้ว่าจะต้องรวยกว่านี้ ซึ่ง asset ของเขาก็คือหุ้นบริษัทเขานี่ละ เท่ากับว่าเขาต้องพยายามสร้างราคาของหุ้นเขาให้มากขึ้น ถ้ามองพื้นฐานของ IVL อาจจะดูขัดแย้งกับราคาปัจจุบัน แต่ถ้ามองในมุมมองของการบริหารจัดการของเขา และเชื่อว่า บริษัทที่ IVL เทคต่อไปเรื่อยๆ จะประสบผลสำเร็จ จะทำให้บริษัทเขาก้าวกระโดดยิ่งกว่านี้อีก

ผมมองว่า IVL จะเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมในหลายๆด้านเลยต่อไป เพราะถ้าดูจากพื้นที่โรงงานที่เจ้าของเข้าไป access to local borrowing powers, access to local resources through participation of national partner
ในประเทศต่างๆเช่น จีน อินเดีย นึกถึงประชากรของจีน และ อินเดีย และ IVL ยังสามารถทำตัวเป็น supplier ที่ดีมากๆด้วยคือ ระบบ just in time ของบริษัท ไม่ส่งสาย ไม่ส่งของเสีย ผมว่าเป็นบริษัทที่ดีมากเลยครับในมุมมองผม

ผมไม่ได้เชียร์นะครับ แค่มองว่าเป็นบริษัทที่น่าจะก้าวไกล เนื่องจากมีผู้บริหารที่มีความสามารถ และผู้บริหารผมเรียกได้เลยว่านิ่งๆแต่โหดจริงๆ

miracle เขียน:ขอคิดใหม่ทำใหม่
เพราะ ในเมื่อราคาของ ขึ้นไปแบบนั้น ก็ยอมมีคนที่กระโดดลงไปทำธุรกิจแข่งขันด้วย
ถ้าเป็น STA ผมมองง่ายๆว่าราคายางตอนนี้ 200 บาทต่อกิโลกรัมเพราะอะไร
ถ้าหากเป็นการขาดแคลนระยะสั้นอย่างไงก็ต้องกลับมาสู่ดุลยภาพ
แต่ถ้าหากเป็นการขาดแคลนเพราะการบริโภคที่สูงขึ้นอันนี้ก็ต้องปลูกเพิ่ม
ในเมื่อราคาสูงขึ้น เกษตรกรก็ยอมมองแล้วว่า ปลูกพืชชนิดนี้ดีกว่า โค่นต้นไม้ที่ให้ผลอย่างอื่นดีกว่า
เช่น โคนต้นมะม่วง ต้นทุเรียน เป็นต้น
แล้วเอาที่ดินไปปลูกต้นยางพาราอีก 5 ปีให้ผลตอบแทน
ณ เวลานั้น เกิดอะไรขึ้นอาจจะเกิด Supplier ล้นตลาดราคายางตกลงอย่างรวดเร็ว
เหมือนมี 20 ปีที่แล้ว เป็นไปได้

ส่วน กองของแผ่นฟิล์ม
ผมขอตั้งคำถามว่า บริษัทอื่นและที่อื่นสามารถทำได้หรือไม่
สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้รวดเร็วหรือเปล่า
สิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบันคือ มันเกิดจากการขาดแคลนสินค้าในช่วงระยะเวลาสั้นหรือยาว
เพราะที่ผมรู้มากคือ สินค้าเอาไปทำแผ่นกันรอยมือถือกันมาก ทำให้เปลี่ยนสายการผลิตไปอันนั้น
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว มันเป็นปรากฏการณ์ระยะยาวหรือระยะสั้นละครับ

บ้างที่คิดมองมุมกลับจากสิ่งที่เราคิดบ้างครับ
พอดีผมเคยมีหุ้นกลุ่มเหล่านี้เมื่อนานมาแล้ว
และตอนนี้ไม่ได้ถือแล้ว

ข้อความนี้ทำให้ผมเห็นภาพcycleของcommodities ในส่วนที่ยังจินตนาการไม่ถึง...ชัดเจนเลยครับ

คิดว่า เป็นหุ้นที่รายได้โตเรื่อย ๆ และกำไรก็จะผันผวนเรื่อย ๆ เช่นกันแต่ราคาหุ้นมีโอกาสตรงข้ามกับรายได้ ก็เป็นได้