เข้าถ้ำเสือเผื่อรวยหุ้น
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 27, 2003 6:29 pm
โดยอาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
ประธานกรรมการ
บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด
-------------------------------------------------------------------------------------
บรรยากาศ ที่คึกคักของหุ้นในช่วงนี้ มีผลทำให้สายตาของประชาชนทั้งประเทศต้องหันมาจับตามองดูความร้อนแรงของตลาด แม้แต่คนที่ไม่เคยเล่นหุ้นก็ยังอยากกระโจนเข้ามาร่วมวงไปกับเขาด้วย
ที่อยากกระโจนเข้ามาสู่ตลาดหุ้นนั้นก็เป็นเพราะว่า ผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารมันช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียเหลือเกิน ขนาดที่ว่าหากนำเรื่องภาวะเงินเฟ้อมาคำนวณแล้ว ตอนนี้ก็เรียกได้ว่าฝากแบ๊งค์แล้วขาดทุน
แต่ก่อนที่ท่านจะไปถอนเิงินมาจาก saving มาลุยหุ้นนั้น ช่วยฟังก่อนสักนิดนะครับ เพราะมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายมาบอก...อ่านเสร็จสรรพแล้ว หากตัดสินใจยังจะลุยตลาด ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจของท่านก็แล้วกัน
ท่านคงเคยได้ยินบ่อยๆว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯหรือตลาดหุ้นนั้น เป็นการลงทุนในแหล่งที่มีความเสี่ยงนะครับ ในทางตรงกันข้ามมันก็มีโอกาส ในความเสี่ยงเช่นเดียวกัน
เอาเรื่องดีก่อนแล้วกันนะครับ คนบางคนเข้ามาในตลาดหุ้นนั้น เริ่มต้นลงทุนแค่หลักแสน หรือไม่กี่ล้านเท่านั้น แต่ตอนนี้ทำเงินรวยจากตลาดหุ้นเป็นระดับร้อยล้าน หรือพันล้านบาทก็มี
(นี่ไม่นับท่านนายกฯทักษิณของเราที่รวยหลายหมื่นล้านก็เพราะหุ้น
เนื่องจากท่านนำกิจการของท่านหลายอย่างเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย)
แต่คนที่ทั้งเก่งทั้งเฮงกลายเป็นเศรษฐีเพราะหุ้นนั้นก็แทบจะนับหัวได้เลย มีไม่กี่สิบกี่ร้อยคนเท่านั้นจากจำนวนที่พัวพันเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น อยู่ราว2.5แสนบัญชี
ในขณะนี้
(สถานการณ์เป็นใจ มีเนื้อที่สัมปทานให้ผมจะเขียนเรื่องนี้ให้อ่านกันในโอกาสหน้า)
ดังนั้น เราไม่ต้องหวังรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีกันในตอนนี้ เอาแค่ว่าจะถอนเงินฝากจากธนาคารมาเล่นหุ้นหรือมาลงทุน เพื่อผลตอบแทนชนะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเพียง1%เศษทำอย่างไร จะได้ผลตอบแทนสัก 5-10% จะมีโอกาสหรือไม่? คำตอบก็คือมีครับ
เนื่องจากว่าในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีบริษัทต่างๆ จดทะเบียนเป็นหุ้นซื้อขายกันอยู่กว่า500บริษัท มีทั้งบริษัทที่ทำธุรกิจธนาคาร บริษัทเงินทุน บริษัททางด้านสื่อสาร หนังสือพิมพ์ ทีวี เอเจนซี่โฆษณา บริษัทน้ำมันและพลังงาน บริษัทที่ทำทางด้านอสังหาริมทรัพย์ บริษัทขายวัสดุก่อสร้าง บริษัทค้าปลีก-ค้าส่ง บริษัทที่ทำทางด้านอุตสาหกรรมต่างๆ บริษัทที่ทำทางด้านการเกษตร บริษัทที่ทำทางด้านการค้า การส่งออก บริษัทประกันภัยประกันชีวิต บริษัททำโรงพยาบาล ฯลฯ เมื่อซื้อหุ้นเหล่านี้แล้วก็ถือวไว้ บริษัทต่างๆ เหล่านี้จุนับท่านเป็น ผู้ถือหุ้น
ในบริษัทของเรา ดังนั้นเมื่อถึงสิ้นปี หรือระหว่างปีก็ตาม เมื่อเขาหักรายจ่ายต่างๆ เหลือกำไรสุทธิจะกี่สิบกี่พันล้านบาท บางรายก็กำไรเป็นปีละหมื่นล้านบาท
เขาก็มาคิดสะระตะ ว่าเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นละกี่บาท เสร็จจากนั้นเขาก็จะนำส่วนต่างจากตรงนี้มาแบ่งจ่ายเป็น เงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น แก่ท่าน ตอนนี้ก็คงจ่ายปันผลให้ได้อย่างดี ก็ราวๆ10%ซึ่งออกจะหายากมากขึ้น ในช่วงที่หุ้นขึ้นมากๆอย่างนี้ แต่ถ้าหวังผลสัก5-10%ก็น่าจะพอหาได้ไม่ยากนัก
การลงทุนในหุ้นพวกนี้ท่านก็ต้องซื้อแล้วก็ถือยาวๆสักปีหนึ่ง เหมือนฝากแบ๊งค์ประจำปีหนึ่งเพื่อหวังผลตอบแทนสัก5-10%ครับ แต่ในรายละเอียดมันมีทางที่จะซิกแซ็กได้เหมือนกัน หากไม่อยากถือยาวเป็นปี เช่นว่า ปกติหุ้นต่างๆมักจะประกาศผลดำเนินการแต่ละปี ในช่วงราวสิ้นปีหรือต้นปีแล้วก็จะมาจ่ายปันผลในราวไตรมาส1หรือไตรมาส2ของแต่ละปี ท่านก็อาจจะมีดักซื้อหุ้นในช่วงก่อนประกาศผลการดำเนินงานหรือช่วงหลังประกาศผลดำเนินงานไปแล้ว ทำให้คาดคะเนได้ว่าจะมีการจ่ายปันผลให้ท่านเท่าไหร่ มากน้อยกี่เปอร์เซ็นต์
แต่หากจะเสี่ยงมากขึ้น คือไม่ได้หวังแค่เงินปันผลระดับ5-10%แต่หวังทั้งเงินปันผลทั้งกำไรส่วนต่าง(Capital gain)คือซื้อไว้ราคาต่ำๆ พอวิ่งขึ้นไปแพงๆ ก็ขายทำกำไรในระดับ20%ขึ้นไป ถ้าทั้งเก่งทั้งเฮง บางที บางครั้ง ก็กำไรเป็น50-100%หรือมากกว่านั้น
การเล่นหุ้นแบบหลังนี้จะเห็นว่าโอกาสที่จะได้กำไรหรือทำเงินนั้นมีมากขึ้น แต่ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวนะครับ เพราะจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนตลอดปี เดี๋ยวก็ขึ้น เดี๋ยวก็ลง บางทีก็ลงๆขึ้นๆ เอาแน่ไม่ค่อยได้ ยกเว้นว่าท่านสามารถจับทิศทางแนวโน้มของตลาดหุ้นได้ขาด
(ซึ่งหากมีโอกาสผมจะเขียนให้อ่านครับ)
ความเสี่ยงของท่านก็อาจจะต่ำลง
ที่ว่าการลงทุนตลาดหุ้นมีความเสี่ยงนั้นก็เพราะว่ารัฐบาลไม่ได้ค้ำประกันเงินต้นให้กับท่านนะครับ จะต่างกับการฝากแบงก์ที่จะดีหรือร้ายก็ยังได้เงินต้นทุนคืน แต่ตลาดหุ้นรัฐบาลไม่ค้ำประกันกำไรเท่าไหร่ท่านก็รับไป อย่าลืมจ่ายภาษีให้หลวงก็แล้วกัน แต่หากขาดทุนมาท่านก็รับไปเต็มๆที่ผ่านๆมา จึงมีข่าวคนฆ่าตัวตาย เพราะหมดตัวกับการเล่นหุ้น หรือข่างลุงช่วยราดอึประท้วง ก็เพราะอยากได้เงินต้นคืน
ทั้งที่จริงๆแล้วไม่มีสิทธิ์จะได้รับ
ถามผมว่าถ้าเข้าตลาดหุ้นตอนนี้
จะมีโอกาสรวยหรือโอกาสซวยด้วยหุ้นมากกว่ากัน
ผมขอตอบอย่างนี้ครับ ผมว่าถ้าทะเล่อทะล่าเข้ามาลุยเลยในเวลานี้
ออกจะน่าห่วงครับ เนื่องจากว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมานี้ขึ้นมาเยอะแล้วครับ
จากจุดต่ำสุด323จุด เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว มาถึงช่วงนี้ขึ้นมาราวๆ460จุด
ก็ขึ้นมาแล้ว135จุด
ชะดีชะร้าย ท่านอาจจะเข้ามาซื้อหุ้นในราคาที่สูงเกินไปหากมันมีการตกสักยก ที่เรียกว่าตกปรับฐาน หรือตกสร้างฐานลงไปสัก5-10% ท่านอาจตระหนกตกใจกับผลขาดทุนทางบัญชีก็ได้ ดังนั้นควรรอดูสถานการณ์อีกสักระยะ ตกมาแค่ไหนยังไงพอโทร.มาสอบถามทางผมได้ที่ 0-27361830-4 หรือที่นี่ก็ได้ง่ายดี โทร.1900190024ครับ
แต่หากมองข้ามช็อตไปถึง6-12เดือนข้างหน้า คือราวเดือนมกราคม ถึงเดือนมิถุนายน2547 ผมมองว่าตลาดจะสดใสมากครับ บริษัทในตลาดหุ้นจะกำไรสูงมากขึ้นบริษัทที่เคยขาดทุนมากๆ ก็จะกลับมามีกำไรธนาคารที่เคยขาดทุนสะสมเพียงพอ ก็จะกลับมามีกำไรพอที่จะจ่ายปันผลได้ ฐานะเศรษฐกิจและGDP ของไทยจะขยายตัวดีขึ้น การเมืองนิ่งและมีเอกภาพ ผู้นำรัฐบาลก็ได้รับความเชื่อมั่นสูง บริษัทจัดอันดับเครดิตชื่อดัของไทย อย่างมูดีส์หรือเอสแอนด์พี ก็จะมาอัพเกรดให้ประเทศไทยเรา....จึงเรียกได้ว่าหนทางข้างหน้าสดใส
เพียงแต่ช่วงนี้หุ้นขึ้นมาร้อยกว่าจุดเข้าไปแล้ว หากท่านจะเข้าตลาอหุ้นเวลานี้ก็เทียบได้กับเข้าถ้ำเสือ หวังจะได้ลูกเสืออย่างเดียว เดี๋ยวโดนแม่เสือตะปบบาดเจ็บสาหัสได้นะครับ ของอย่างนี้มันต้องเลือกจังหวะให้ถูก
อาศัยจะฟลุ๊กหรือโชคอย่างเดียวรวยนี่ ไม่มีทางครับ
งานนี้ต้องพึ่งฝีมือกับการทำการบ้านให้ดีเป็นหลัก
บทความชิ้นนี้ ได้มาจากหนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ ปีที่9ฉบับที่446
วันที่29มิถุนายน-5กรกฏาคม2546
ขออนุญาติท่าน...อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์
มา ณ.ที่นี้ ขอแสดงความรักและนับถือ[/b]