บัฟเฟตเงินล้นเซฟ:ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 28, 2011 3:47 pm
Value Way ฉบับวันที่ 31 มกราคม 2554
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
บัฟเฟตเงินล้นเซฟ
นิตยสารบาร์รอนได้ลงบทความเกี่ยวกับข่าวลือที่ว่าบริษัทเบิร์คไชน์แฮตตาเวย์ของวอร์เรน บัฟเฟตอาจจะจ่ายปันผลประจำปีเป็นครั้งแรกในรอบสี่สิบปี ทำให้ราคาหุ้นของเบิร์คไชน์เพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้ คาดว่าเบิร์คไชน์อาจมีเงินสดในมือถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ (1.5 ล้านล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2011 ราคาหุ้นของเบิร์คไชน์ชั้นเอ ปัจจุบันอยู่ที่ 124,982 เหรียญต่อหุ้น (3.7 ล้านบาทต่อหุ้น) ซึ่งเกือบสูงสุดนับจากวิกฤติซัพไพร์มซึ่งราคาหุ้นก่อนหน้านั้นเคยสูงสุดที่ 149,000 เหรียญต่อหุ้น (4.5 ล้านบาทต่อหุ้น) ในปี 2007
ปัจจุบันมูลค่าตลาด 2แสนล้านเหรียญของเบิร์คไชน์สูงเป็นอันดับห้าของตลาดหุ้นสหรัฐรองจากบริษัทเอกซอนโมบิล, แอปเปิ้ล, ไมโครซอฟท์และกูเกิ้ลเท่านั้น ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทลูกต่างๆรวมทั้งเงินปันผลที่ได้จากการลงทุนในโกลแมนแซค, จีอี, และบริษัทอื่นๆในช่วงที่เกิดวิกฤติอาจทำเงินให้เบิร์คไชน์เพิ่มขึ้นอีก 2 หมื่นล้านเหรียญเมื่อนับรวมกับเงินสดที่มีอยู่เดิมในมือทำให้บริษัทมีเงิน 5 หมื่นล้านเหรียญได้ไม่ยาก
เงินสดที่เพิ่มมากขึ้นทำให้มีการคาดเดาว่าบริษัทอาจมีการจ่ายปันผลออกมากบนสมมุติฐานที่ว่าถ้าบัฟเฟตไม่สามารถหาการลงทุนระดับ”ช้าง”หรือใหญ่มากๆได้อย่างการลงทุนในบริษัทรถไฟเบอร์ลิงตัน ในช่วงแรกของการประกาศการลงทุนของเบิร์คไชน์ในเบอร์ลิงตัน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าบัฟเฟตซื้อเบอร์ลิงตันในราคาแพงเกินไป บัฟเฟตซื้อเบอร์ลิงตันในราคาสูงกว่าราคาบนกระดานถึง 33 เปอร์เซ็นต์โดยจ่ายเงิน 2.6 หมื่นล้านเหรียญสำหรับหุ้น 77.4 เปอร์เซ็นต์ที่เบิร์คไชน์ไม่ได้ถืออยู่ คิดเป็นมูลค่าตลาดของบริษัทเท่ากับ 3.5 หมื่นล้านเหรียญ ราคานี้คิดเป็นราคาต่อกำไรในปี 2010 (Price Earning Ratio – P/E) ถึง 20 เท่า แต่ปรากฏว่าดีลนี้ดูเหมือนจะเป็นดีลที่ดีที่สุดของเบิร์คไชน์ในรอบหลายๆปี เพราะกำไรของบริษัทเบอร์ลิงตันรวมถึงบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมรถไฟเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในปีที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าเบอร์ลิงตันจะทำกำไรได้ในปี 2011 ถึง 3 พันล้านเหรียญหมายความว่าบัฟเฟตซื้อบริษัทเบอร์ลิงตันได้ในราคาพีอี 11 เท่าของกำไรในปี 2011 เท่านั้นเอง ปัจจุบันคาดว่าบริษัทนี้น่าจะมีมูลค่า 4 ถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ บัฟเฟตทำผลตอบแทนได้ 28 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีจากการซื้อกิจการนี้
นอกเหนือจากนั้นเบิร์คไชน์ยังได้เงินปันผลจากเบอร์ลิงตันซึ่งสามารถนำไปลงทุนต่อได้อีกทอดหนึ่ง เรียกว่ายิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว นกตัวแรกคือกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาหุ้นของเบิร์คไชน์สูงขึ้น นกตัวที่สองคือเงินสดที่ได้รับเพิ่มเติมในแต่ละปี นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ในระยะหลังๆบัฟเฟตให้ความสนใจการการซื้อกิจการเข้าพอร์ตของเบิร์คไชน์มากกว่าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะการลงทุนในบริษัทในตลาดมักไม่สามารถซื้อหุ้นได้ทั้งหมดและเป็นการถือหุ้นส่วนน้อยทำให้ไม่สามารถนำกำไรของบริษัทที่ลงทุนเหล่านั้นเข้ามาในงบการเงินของเบิร์คไชน์ได้ ในช่วงหลังการลงทุนในตลาดหุ้นของเบิร์คไชน์ลดลงต่ำกว่าระดับ 30 เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนทั้งหมด
ถึงแม้จะมีเงินสดอยู่ในมือกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญดูเหมือนว่าบัฟเฟตยังไม่ได้ให้ความเห็นใดๆในเรื่องนี้ เบิร์คไชน์ไม่เคยจ่ายเงินปันผลเลยตั้งแต่บัฟเฟตเข้าบริหารในปี 1965 แต่ผู้ถือหุ้นเบิร์คไชน์คงไม่ว่าอะไรเพราะการนำเงินสดที่มีของบริษัทไปลงทุนต่อทั้งหมดโดยไม่จ่ายปันผลเลยทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 6,000 เท่าในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ถ้าบัฟเฟตไม่สามารถหาการลงทุนที่เหมาะสมได้ในอนาคต การจ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้นอาจเป็นทางเลือกอย่างหนึ่ง อัตราเงินปันผลคงไม่มากนักอาจจะต่ำกว่า 2 เปอร์เซ็นต์
อีกทางเลือกหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเข้าตาบัฟเฟตมากกว่าในกรณีที่บริษัทมีเงินสดในมือมากและตลาดหุ้นอยู่ในช่วงตกต่ำคือการซื้อหุ้นคืนซึ่งสามารถสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว เพราะจำนวนหุ้นที่ลดลงทำให้กำไรต่อหุ้นสูงขึ้นและราคาหุ้นอาจสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับว่าบัฟเฟตจะตัดสินใจอย่างไร คงต้องคอยดูกันต่อไป