หน้า 1 จากทั้งหมด 1
เราขาดทุน หรือได้กำไร ได้อย่างไร?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 21, 2011 1:03 pm
โดย Paradaji
ผมมือใหม่ครับ กำลังเริ่มศึกษาเรื่องหุ้น แต่ก่อนเคยเล่น FOREX มา
ผมมีข้อสงสัยว่า เราจะขาดทุนในกรณีไหนได้บ้างครับ
แล้วการได้กำไร ได้มาจากไหนบ้าง
Re: เราขาดทุน หรือได้กำไร ได้อย่างไร?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 21, 2011 4:42 pm
โดย boat37564
ถ้าคุณ Paradaji หมายถึงการลงทุนในตลาดหุ้น
หลักๆก็ซื้อมา 10 บาท ขาย 11 บาทก็กำไร แต่ถ้าขาย 9 บาทก็ขาดทุนแค่นี้แหละครับ
Re: เราขาดทุน หรือได้กำไร ได้อย่างไร?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 21, 2011 5:40 pm
โดย chowbe76
แปลก
ผมเข้าใจว่าคนเล่นFOREXน่าจะเข้าใจเรื่องประเภทนี้ดีอยู่เเล้วนี่ครับ
Re: เราขาดทุน หรือได้กำไร ได้อย่างไร?
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 22, 2011 9:41 am
โดย Paradaji
chowbe76 เขียน:แปลก
ผมเข้าใจว่าคนเล่นFOREXน่าจะเข้าใจเรื่องประเภทนี้ดีอยู่เเล้วนี่ครับ
ซื้อถูกขายแพง อันนี้ผมเข้าใจครับ แต่ FOREX มันมีเรื่องมาจิ้นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เล่นๆ ไปเงินหายหมดพอร์ทก็มี ผมเลยไม่แน่ใจว่าหุ้นจะเหมือนหรือต่างจาก FOREX มากน้อยเพียงใดครับ
Re: เราขาดทุน หรือได้กำไร ได้อย่างไร?
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 22, 2011 10:44 am
โดย murder_doll
Paradaji เขียน:chowbe76 เขียน:แปลก
ผมเข้าใจว่าคนเล่นFOREXน่าจะเข้าใจเรื่องประเภทนี้ดีอยู่เเล้วนี่ครับ
ซื้อถูกขายแพง อันนี้ผมเข้าใจครับ แต่ FOREX มันมีเรื่องมาจิ้นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เล่นๆ ไปเงินหายหมดพอร์ทก็มี ผมเลยไม่แน่ใจว่าหุ้นจะเหมือนหรือต่างจาก FOREX มากน้อยเพียงใดครับ
เหอ ว่าแต่ FOREX นี่มันเป็นยังไงอ่ะครับ
Re: เราขาดทุน หรือได้กำไร ได้อย่างไร?
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 22, 2011 12:15 pm
โดย Anti-Aircraft
ผมตีความว่าคุณ Paradaji น่าจะหมายถึง หุ้นมันขึ้นหรือลงเพราะอะไรนะครับ เลยไปนั่งค้นบทความเก่าๆ มาให้ (ว่างดีเนอะ :lovl: )
naris เขียน:pump เขียน:คุณ naris คิดว่าแนวทาง Funds Flow เหมาะกับตลาดหุ้นไทยไหมครับ
ปีที่แล้วหุ้นถูกแต่ Funds Flow ไหลออกต่อเนื่อง
คุณ naris มีความเห็นอย่างไรครับ
พี่ไม่อาจไปวิเคราะห์ฟันธงกับสิ่งที่พี่ไม่รู้จริงได้ แต่ก่อนหน้านี้โดยส่วนตัวพี่เคยไปศึกษาเรียนรู้ทางด้านกราฟและแนวฟันโฟลว์พอคร่าวๆ แต่สุดท้ายพี่เลือกเอาแนวพื้นฐานเพราะแนวคำสอนของพระองค์...............โดยพี่ได้ยึดหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงสอนเรื่อง"อิทัปปัจยตา" หรือคือ "ความที่สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี" หรือแปลเป็นภาษาบ้านๆคือ "มีผลเพราะมีเหตุ"
พี่เลยคิดว่า ถ้าพี่หาต้นเหตุของการลงทุนเจอจริงๆ ผลที่ได้ย่อมมาจากเหตุที่พี่สร้างไว้แน่นอน ขอยกตัวอย่างนิดหนึ่งนะครับ เช่นคุณหมอตรวจไข้ เจอคนปวดหัว ปวดตัวและแสบหลังอยู่บ่อยๆ และสอบถามบางอย่างเพิ่มเติม ก็อาจจะรู้ทันทีว่าคนนี้เป็นโรคอะไร......เพราะคุณหมอรู้เหตุที่เกิด............แต่ผมไปเจอแม่ค้าท่านหนึ่งที่ไม่รู้สาเหตุนี้ รู้แค่ว่า เขาปวดหัวและปวดตัว เลยกินยาแก้ปวด(อาจจะพาราหรือทัมใจ)เพื่อระงับอาการนั้นๆ........นั่นคือการมองแต่ผล.....ไม่ได้หาเหตุที่แท้จริง..........สรุปมาวันหนึ่ง......คนๆนี้อาเจียรเป็นเลือด.........เพราะกระเพาะเขาทะลุครับ...........เพราะต้นเหตุที่เขาปวดหัว ปวดเมื่อยตัวและแสบหลัง เกิดมาจากเขาเป็นโรคกระเพาะ แต่เขากลับไปกระตุ้นโรคนั้นๆที่ปลายเหตุ.............
พี่ว่าคนเล่นหุ้นในตลาดบางคนก็เหมือนๆกับแม่ค้าท่านนี้คือ............แก้แต่ปลายเหตุ.......แต่เขายังหาเหตุไม่เจอเลยครับ
พี่ขอเอาไอ้ที่พี่เคยเขียนที่มาที่ไป เหตุและผล ของ การเคลื่อนไหวราคาหุ้น ที่พี่เอาไว้อธิบายให้กับตนเองและบอกเพื่อนๆ มาแชร์ให้ดูนะครับ..........
จากที่พี่มองว่า ราคาหุ้นตามกราฟ คือ ผล(สมมุติให้คือA)ที่เป็นผลเพราะมันผ่านไปแล้วจึงเป็นกราฟได้ และกฏของแนวทางนี้คือ มีกรอบแนวต้าน-แนวรับ และกรอบทิศทางทีมันเคยเป็น ส่วนถ้ามันนอกกรอบที่มันเคยเป็น เช่นถ้ามันขึ้นทะลุแนวต้านแล้ว....ควรซื้อตาม หรือถ้ามันลงทะลุแนวรับแล้ว....ควรขายตามเช่นกัน เมื่อนายตลาดหรือเจ้ามือคิดเหมือนกันว่ามันต้องเป็นแบบนั้น.........สุดท้าย.....มันก็เป็นให้ดู......แต่จริงๆนั่นมันคือผล......แล้วต้นเหตุหล่ะคืออะไร.............
ต้นเหตุของA. พี่คิดว่าคือการเคลื่อนไหวของกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาซื้อและขายพร้อมๆกัน........สำหรับจุด ณ.ราคาและเวลานั้นๆ เสมือนหนูเรมมิ่ง......(พี่สมมุติให้เป็นB).......และพี่ยังแบ่งเส้นทางนี้ออกเป็นสามสายดังนี้
สายBแรก......เป็นโชคดีที่ตลาดเมืองไทยเป็นตลาดเกรดสอง ทำให้เราพอจะมองออกทิศทางของเงินที่จะไหลเข้าจากพ่อบุญทุ่มตัวจริงคือชาวต่างชาติ.....ถ้าใคร "เดา"โดยมีข้อมูลที่คิดว่าใช่ ว่าเขาจะขนย้ายเงินเข้ามา ก็ซื้อตาม และถ้ามีสัญญาณว่าเขาจะออกของ ก็ขายตาม......แต่การจะเข้าหรือออกของฝรั่งและกองทุนก็ยังคือผลเพราะมีเหตุบางอย่างทำให้เขามาซื้อ....แล้วเหตุตัวจริงที่ทำให้เขาซื้อหล่ะคืออะไร..........
สายBที่สอง......เป็นสายของทางเจ้ามือปั่นหุ้นที่ทุ่มเงินเข้ามาพร้อมกับปล่อยข่าวเพื่อที่จะให้มีแรงโมเมนตั้มที่ชนะแนวต้านได้.............สายนี้ถ้าใครรู้ข่าวต้นตอก่อน ก็รวยไป ใครเข้ามาทีหลังก็เยี่ยมเที่ยวยอดดอยเป็นประจำ.........อันตรายจริงๆ...........แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ทำให้เขาติดดอยในระยะยาวได้ แสดงว่าBสองก็ยังเป็นผลที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว.........แล้วถ้างั้นเหตุตัวจริงหล่ะคืออะไร............
สายBที่สาม......เป็นสายของทางหุ้นทั่วไปที่ขึ้นหรือลงโดยไม่มีเจ้ามือใหญ่ๆเป็นตัวชี้นำ แต่เป็นรายย่อยๆที่คิดพร้อมกัน ซื้อพร้อมกัน เหมือนหนูเรมมิ่งที่ไปไหนไปด้วยกัน........หุ้นพวกนี้ส่วนมากสองกลุ่มแรกไม่ชอบเข้า........เพราะสภาพคล่องน้อยเต็มการเข้าหรือออก..........แต่บางครั้งก็ทำให้หลายท่านไปยืนบนดอยค้างฟ้าได้ แต่อาจจะยืนเป็นการชั่วคราวหรือถาวรได้เหมือนกัน.........แสดงว่าBสามก็ยังเป็นผลที่เกิดขึ้นชั่วคราว....แล้วเหตุที่พาเขาลงดอย.......คืออะไร
พี่ให้ต้นเหตุของทั้งสามสายคือตัวC
แล้วตัวCที่พี่ว่าคืออะไร.................อะไรเป็นตัวที่จะกำหนดราคาหุ้นให้ขึ้นหรือลงได้..................ติ๊ก..ต่อก..ติ๊ก..ต่อก
เดี๋ยวมาพิมพ์ต่อ......ลองทายกันดูนะครับ
naris เขียน:ตัวDคือเหตุของตัวC
ตัวD พี่ให้มันเป็นพื้นฐานของกิจการในระยะยาว เช่น ข่าวว่าเจ้าจะลากหุ้นตัวนี้ ไป10บาท งบก็พยายามทำให้ดูดีแล้ว ข่าวก็พยายามปล่อยแล้ว แต่ลากไม่ถึงเพราะแรงเทขายเยอะ พอถึงจุดๆหนึ่ง...จะแต่งก็แต่งไม่ได้แล้ว.....พื้นฐานของหุ้นมันโผล่มาให้เห็นแล้ว ราคาหุ้นตัวนั้นๆมันก็จะสะท้อนออกมาเองว่า มันควรอยู่ที่เท่าไหร่ หรือหุ้นบางตัวถูกฟันโฟลว์พัดลงจาก5บาทกว่าไปสองบาทกว่าภายใน3เดือน แต่งบออกมาดีเยี่ยม3ไตรมาสซ้อน ก็ดันไปให้เขาอยู่ที่6บาทได้อย่างน่าภาคภูมิใจว่า.....ตูชนะฟันโฟลว์เฟ้ย...รู้ไหมตัวไหนเอ่ย
พี่ขอสรุปก่อนที่จะมีคนงงมากกว่านี้เป็นผังนะครับว่า
พื้นฐานของกิจการ ส่งผล เกิดความเชื่อและข่าว(D ----------->C)
ความเชื่อและข่าว ส่งผล เกิดแรงของเงินไหลเข้าหรือออก(C------------->B)
แรงของเงินไหลเข้าหรือออก ส่งผลให้เกิด กราฟ(B-------------->A)
สรุปว่า ราคาระยะสั้นตามข่าว ราคาระยะยาวตามผลกำไร คร้าบท่าน
ปล.ส่วนพื้นฐานของกิจการถ้าเราให้เป็นผล เหตุของพื้นฐานนั้นมาจากมากมายหลายส่วน ของกิจการ ถ้าใครมองออกคนนั้นก็รวย เหมือน วอเรน และอาจารย์นิเวศน์ ครับ
ปล.ที่สอง หุ้นบางตัวมีคนพยายามสร้างจากCหรือBที่ส่งผลไปหาA แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในระยะยาวนั้นราคาหุ้นจะวิ่งหาเหตุคือDเสมอครับ
ที่มา:
กระทู้เพิ่มพลังความเชื่อในการลงทุนแนววีไอ
Re: เราขาดทุน หรือได้กำไร ได้อย่างไร?
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 22, 2011 8:20 pm
โดย chowbe76
เงินหายหมดก็เป็นไปได้ครับ
ถ้าใช้มาร์จิน
Re: เราขาดทุน หรือได้กำไร ได้อย่างไร?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 23, 2011 5:47 am
โดย Paradaji
ขอบคุณทุกๆ ท่านครับ กระจ่างขึ้นเยอะเลย