Thai VI

หลายบริษัทที่ชาว VI ชื่นชอบ เริ่มมีผลการดำเนินงานที่น่าผิดหวัง

CEI FANCY CM และล่าสด OGC

ทำไมถึงผิดหวังครับ

ส่วนใหญ่เป็นบริษัทส่งออกทั้งนั้น ัโดนสินค้าจากจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่า
ตอนนี้คงต้องหลีกเลี่ยงพวกส่งออกดีกว่า

มองอีกมุมอาจจะเป็น turnaround ก็ได้ครับ ประมาณกลางปีนี้
ผมคิดว่าหุ้นส่งออกหลายๆ ตัวคงจะ bottom out ไปในไตรมาส
ที่สอง ตามทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ

เงินสหรัฐที่แข็งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เงินหยวนแข็งตามไปด้วย ไทย
จะได้ประโยชน์สองเด้งครับ

สหรัฐฯคงจะรู้ตัวแล้วว่าการปล่อยให้เงินตัวเองอ่อนโดยที่ไม่
สามารถบังคับให้จีนปล่อยเงินหยวนลอยตัวเป็นการฆ่าตัวตาย
อยู่ดี เพราะ trade deficit กับจีนก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ทีนี้ถ้ารอจีนฟอง
สบู่แตก สหรัฐฯเองอาจจะเดี้ยงเสียก่อน

คิดว่าบาทน่าจะทรงตัวอยู่แถว 40 - 42 ไปอีกระยะหนึ่งครับ ทำให้
ผลการดำเนินงานบริษัทส่งออกของ Q2 จะดีขึ้นกว่า Q1

ผมมองว่าถ้าบริษัทส่งออกดีๆ เช่น FANCY CEI OGC สามารถ
turnaround ได้ ช่วงนี้จะเป็นเวลาของการได้ของถูกครับ

แต่การเข้าให้ถูกจังหวะนั้นสำคัญที่สุดครับ จะกำไรมาก หรือ
กำไรน้อย หรือขาดทุนไปเลย ขึ้นอยู่กับ timing เป็นสำคัญ

การลงทุนที่ดูแต่อดีตก็ทำให้เราเจ็บปวดได้เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีส่วนรู้เห็นในการบริหาร ถ้ายอมรับความจริงก็จะเห็นว่าบริษัทที่ดีๆในอดีตที่บางท่านลงทุนไว้แบบยาวๆ ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีเลย เช่น CEI , FANCY , SUN และอีกหลายตัว และที่จะตามมาแบบแย่ๆอีกคือ FE , PHA ดังนั้นถ้าใช้การวิเคราะห์เทคนิคัลช่วยด้วย จะเป็นการจำกัดความเสี่ยงได้ดีทีเดียว ลองเปิดใจรับพิจารณาศึกษาดูนะครับ

ช่วยอย่างไร

ลองยกตัวอย่างหน่อยครับ

ผมไม่เคยดูถูกเทคนิคัล นะครับ มีอะไรผมก็ถามคัดท้ายบ่อยๆ เพียงแต่ อยากให้ยกตัวอย่าง ให้ชัดเจนเพื่อการเรียนรู้ครับ

ไม่งั้นรู้ว่าดี แต่ก็ไม่รู้ว่า ดีจริงหรือเปล่า ดีอย่างไร นำไปใช้อย่างไร

หรือว่า เป็นเรื่องที่สื่อสารกันยาก

อ่านเว็บบอร์ด มา 1 ปี ครึ่ง อ่าน ได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเทคนิคัล เห็นพูดกันไป พูดกันมา เส้นนั้น ตัดเส้นนี้ แล้วแต่ละคนแต่ละค่ายก็ตีความกันไป

ก็เลยอยากให้ยกตัวอย่าง ให้อ่านแล้วเข้าใจครับ

คงหมายความว่าเทคนิคคัลสามารถบอกได้ว่าหุ้นตัวนั้นๆได้กลับเป็นขาลงครับ ให้ขายก่อนที่จะลงลึก แต่ก็ไม่แน่ครับอาจลงนิดนึงแล้วขึ้นต่อก็เป็นได้
ดูปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียวก็ไม่อาจคาดการณ์ในอนาคตได้ครับ
จะว่าไปก็เป็นการเดาเอาทั้งนั้นครับทั้งพื้นฐานทั้งเทคนิค ต่างกันก็เพียงแต่เอาอะไรมาพิจารณาแล้วเดา
พวกที่ใช้ข้อมูลในอนาคตก็มีเพียงสองพวกคือ วงใน และคนปั่นหุ้น

ผมว่าใช้ควบคู่กันทั้งพื้นฐานและเทคนิคน่าจะดีกว่าอย่างใดอย่างหนึ่งครับ
เพียงแต่เน้นหนักไปในด้านที่ถนัดและทำกำไรให้ เพราะถ้าใช้เพียวๆด้านใดด้านหนึ่งมันก็ต่างอะไรกับความคิดของคนอื่นๆครับ รู้ไว้หลายๆแบบจะได้อาจไปประยุกต์จนรวยก็ได้น่ะครับ

ลองอ่านบทความนี้ดูครับอาจจะได้ข้อคิดอะไรบ้าง
http://www.bbznet.com/scripts/view.php? ... =39824&c=1

ผมว่าค่าเงินบาทอ่อนตัวยังคงไม่พอครับ คงต้องดราคาสินค้า Commodity ด้วยครับ เพราะเป็นวัตถดิบที่สำคัญ ถ้าราคาเหล็ก ทองแดง ยางพารา สังกะสี น้ำมัน และ อื่นๆ ยังคงแพงแบบนี้ คงจะลำบากต่อละครับ

ผมมีความร้สึกว่า ช่วงระยะเวลาที่สขสบาย ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ระยะเวลาต่อไปจะเป็นการพิสจน์ว่าบริษัทไหนของแท้ บริษัทไหนของเทียมครับ การทำธรกิจจะมีแต่ยากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลา HAPPY TIME หมดลงแล้วครับ ดอกเบี้ยกำลังจะเป็นแนวโน้มเป็นขาขึ้น เศรษฐกิจของจีนและสหรัฐฯเติบโตเต็มที่แล้ว ต่อไปคงจะค่อยเป็นค่อยไป ถ้าฟองสบ่ไม่แตกซะก่อนนะครับ

ผมผิดหวังกับ PTT มาก สรุปว่าไม่ได้หุ้นกู้

ในฐานะที่ผมศึกษาทั้งสองแนว ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่ จะนำวิถีทาง TA มาปรับใช้กับ VI เพราะหุ้นบางตัวสำหรับชาวVI เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับชาว TA ประหนึ่งว่าทางใครทางมันก็ว่าได้ เช่น FE จัดเป็นหุ้นต้องห้าม เหตุผลไม่ใช่บริษัทไม่ดีหรือมีสัญญาณขายนะครับ เหตุคือปริมาณซื้อขายไม่พอ บางตัวอาจจะมีแต่เดาใจเจ้าของไม่ออกเพราะสภาพคล่องน้อยบ้างมากบ้าง TA อาศัยอดีตเป็นฐานแล้วใช้ประสบการณ์ตีความ TA สำหรับหุ้นVI จึงยากกว่า หุ้นVS และ TA ก็เป็นแขนงวิชาที่ต้องศึกษามากเช่นกัน ถ้าคิดจะศึกษาทั้งสองแนวต้องหัดใช้เครื่องมือให้ถูกกับประเภท(หุ้น)ด้วยครับ

หุ้นที่กล่าวมานับเป็นหุ้นที่ชาว VI ส่วนใหญ่ชื่นชอบ

แต่ว่าผมไม่เคยถือหุ้นทั้ง 4 ตัวนี้เลย โดยส่วนตัวไม่ชอบหุ้นที่ให้เงิน
ปันผลเกือบ 100% อย่าง cei และ fancy เนื่องจากมองแล้วไม่น่าจะมี
อัตราการเติบโตของกำไรสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะ cei ผมเคยโพส์ต
เตือนเมื่อสองปีที่ผ่านมาว่าทำท่าไม่ค่อยดี จากที่ผมได้ข่าวจากคนรู้
จักว่าเขามีการเลิกจ้างคนงานเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็มีข่าวไม่ดี
ออกมาเรื่อยๆ

ส่วน cm อยู่ในกลุ่มเกษตร เลยไม่อยู่ในความสนใจ เพราะเคยเจ็บ
ตัวจากหุ้นในกลุ่มนี้อยู่ตัวหนึ่ง ถืออยู่หลายปี สรุปสุดท้ายราคาเมื่อ
ตอนถือวันแรก ต่ำกว่าวันที่ขายไปทำให้ต้องขาดทุนไปหลายแสน
โดยหักเงินปันผลที่ได้รับแล้ว ก็เลยเข็ดกับหุ้นกลุ่มนี้ ที่ราคาสินค้า
มีความผันผวนสูง อีกทั้งต้องพึงพาการส่งออกเป็นหลัก

สุดท้าย ogc ก็เคยมองไว้แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะว่าถือหุ้นไว้หลายตัวแล้ว
เลยไม่อยากมาศึกษาหุ้นตัวนี้เพิ่ม (ขี้เกียจหาข้อมูลนะครับ) ก็เลยไม่รู้
ว่าทำไม่จึงเป็นหุ้นที่ทำให้ชาว vi ผิดหวัง

ถึง PHA Q1 จะออกมาแย่กว่าที่คาดนะครับ แต่ value ที่หุ้นตัวนั้มีอยู่ ไม่ได้ลดลงในระยะยาว ส่วนตัวผมว่าเป็นโอกาสดีที่จะซื้อ แต่ราคาใดเหมาะก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา จาก Balance Sheet ล่าสุด บริษัทมีกำไรสะสมอยุ่ประมาณ 2000 ล้านบาทครับ มีหุ้นสามัญ 20,000,000 หุ้น ตก 100 บาทต่อหุ้น ไม่นับ กระแสเงินสดที่ทำได้ ต่อปี อีกนะครับ ผมว่าค่อนข้างปลอดภัย และถ้าตลาดกลับมาคึกคักอีกรอบ value ของ PHA ก็จะเพิ่มตามจาก port ลงทุน Q2-Q3 ปีนี้น่าจะเป็นเวลาดีที่จะลงทุน

ขอให้ทุกท่านโชคดี

ประกันนี่ตองซื้อต่ำกว่า book หน่อยปลอดภัยดี เหลือ tuf อีกตัวหนึ่งที่ชาว vi ชอบ ไม่รู้ว่าจะดีเหมือนเดิมหรือเปล่า

สิ่งหนึ่งที่ผมพอจะสังเกตได้จากบริษัทเหล่านี้ คือ

บริษัทจะมี margin ค่อนข้างสูง ทั้งๆ ที่สินค้าไม่ได้มีจุดเด่นมากนัก แต่อาศัยช่วงระยะเวลาหนึ่ง ที่ supply ของสินค้าในตลาดมีน้อย ทำให้สามารถตั้งราคาได้สูง แต่พอมีคู่แข่งมากขึ้น ทำให้ margin ต่ำลง และกำไรลดลง

เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้บริหารก็มักจะบอกกับผู้ถือหุ้นว่า เราจะพยายามพัฒนารูปแบบของสินค้า เพื่อให้สามารถคง margin สูงๆ ได้ต่อไป บริษัทไหนทำได้สำเร็จก็รอดไป แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องยาก สินค้าที่เป็นของทั่วๆ ไป มันจะ differentiate ได้ ต้องมี brand ที่แข็งแรงจริงๆ บริษัทพวกนี้ ไม่ได้ลงทุนกับ brand ไว้ตั้งแต่แรก การจะมาทำตอนนี้อาจจะสายเกินไป

สรุปคือ ถ้าเห็นบริษัทไหนมี profit margin สูงๆ ผมว่าต้องดูให้ดีว่า สินค้ามี brand หรือเปล่า และผู้บริโภคมี brand loyalty ขนาดไหน ถ้าเป็นสินค้าธรรมดา แล้วอยู่ดีๆ กำไรพรวด ขึ้นมา เนื่องจาก ช่องว่างของตลาด ผมว่าต้องระวังให้ดีนะครับ ...

8)

นับถือความคิดคุณ Minesweeper ....ผมว่าตรงกับประเด็นเลยครับ
ผนวกกับความสามารถและการตัดสินใจของผู้บริหารด้วย
ทำไม fancy ถึงมีปัญหา การว่าจ้างชาวจีนมาทำให้สินค้าเกิดปัญหา ส่งไปแล้วโดน reject กลับมา?..........มีใครเคยคิดบ้างว่าควร ยกความผิดพลาดขนาดนี้ไปอยู่ที่ใคร ระหว่างชาวจีน30คนนั้น กับ ผู้บริหาร ทำงานกันแค่2-3อาทิตย์เหรอครับ...เลยไม่มีเวลาตรวจสอบ......ทำงานผลิตของจำนวนมากๆ ไม่มีการทำmock up ชี้นมาก่อนเหรอครับ แล้วทำไมต้องใช้คนจีนครับ ?
ส่วนเรื่อง Profit margin และ Brand ตามที่คุณ Minesweeper กล่าวไว้ ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญกว่าอีกครับ สมควรได้รับการวางแผนตั้งแต่ก่อนเข้าตลาดด้วยครับ การจะมาสร้าง Brand ให้ติดตลาดได้นั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้าเอง ไม่สามารถมาใส่ Brand ติดเข้าไปที่สินค้าแล้วบอกว่าเป็นสินค้าที่มีแบรนด์ได้ สินค้าของเค้าเหล่านี้แข่งขันกันทางด้านราคามากกว่าครับ
มันเลยช่วง Happy Time ไปแล้ว ตามที่ คุณฉัตรขัย กล่าว เวลาที่เหลือคือของจริง เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ

น่าแปลกนะครับ ที่ผมซื้อ OGC เพราะเรื่อง Brand นี่แหละ ไปเห็นโฆษณา
สวยเชียว ก็เลยไปเดินเช็คตามห้าง ก็เห็นว่า OGC แบรนด์ติดตลาดมาก
และ design ก็สวยไม่แพ้ imported เลย

แต่ที่ขายเพราะดูเทคนิคัลเป็นหลัก กำลังหาจุดซื้อคืนอยู่ครับ คิดว่าน่าจะ
สัก 47 บาท คือผมยังชอบสไตล์การทำธุรกิจของเขาอยู่ครับ แล้วเท่าที่
ฟังผู้บริหารพูด ก็ดูไว้ใจได้ครับ

ผมว่าการวัด performance by Quarter นี้ ไม่ได้แสดงถึงภาพในระยะยาวของ ธุรกิจมากนัก ในกรณีของ OGC ผมว่านโยบายทางบัญชีค่อนข้าง conservative มากนะครับ ไม่ว่าการตั้งค่าเสื่อมราคาของสินค้า ล้าสมัย หรือ การตัดต่าใช้จ่ายในการออก Design ใหม่ ผมว่าตระกูล อัสสกุล ซึ่งเป็นเจ้าของ เน้นการทำธุรกิจ มากกว่าการทำราคาหุ้น จึงทำให้ตัวเลข Q1 ออกมาแย่ แต่ผมว่าถ้ามองยาวแล้ว ยังคงชอบ OGC อยู่ครับ แต่จะรับกันที่ราคาไหนก็แล้วแต่ชอบแล้วกัน

และผมเชื่อว่า Washington Post และ Well Fargo ของ ปรมจารย์ Buffett ก็ไม่ได้มี performace น่าประทับใจทุก Q เช่นกัน

Buffett's holding company Berkshire Hathaway Inc. (NYSE:BRKa - News) has an 18.1 percent stake in Washington Post Co. (NYSE:WPO - News), where Buffett is a longtime member of the board of directors. Berkshire also owns The Buffalo News.

"The economics of newspapers in the United states are very close to certain to deteriorate over the next 10 to 20 years," Buffett said at a press conference a day after Berkshire's annual meeting with shareholders

ผมคิดว่าราคา OGC ตอบสนองต่อข่าวผลประกอบการมากเกินไปครับ
ราคาตอนนี้น่าสนใจครับ

pb ครับ
อุตสาห์มีคนถามในที่ประชุมว่าผลประกอบการเป็นอย่างไร
กรรมการผู้จัดการลังเลก่อนจะตอบว่า ดีขึ้น
ไอ้เราก็นึกว่า คงไม่อยากให้ข่าววงใน
ที่แท้ก็กำไรแย่กวาเดิมนิดหน่อย
ไม่กล้าบอกความจริง กลัวผู้ถือหุ้นผิดหวัง ฮาๆๆ

เฮีย2ค ครับ
แล้วตรงกันข้ามบอก แกบอก ม่าม่า ไม่ค่อยดี
ผลออกมาแล้ว130ล้าน

สงสัยคราวหน้าแกว่าไง ต้องคิดตรงกันข้าม

อา คุณได้เลือก บริษัทที่คิดว่า มีความได้เปรียบเชิงยั่งยืนหรือยังล่ะครับ

ถ้าคุณ เป็น VI ตาม Buffet
ข้อสำคัญที่สุดไม่ใช่ราคา หรือ ผลประกอบการที่ผ่านมานะครับ