efinancethai.com
02/12/2010
เปิดโผหุ้นปันผลแจ่ม
วงการแนะหุ้นปันผลแจ่ม-หุ้นที่คาดนำคำนวณในSET50-SET100(1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 2554)เป็นกลุ่มปลอดภัยท่ามกลางการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยภายในและภายนอก
สำหรับหุ้น ปันผลดี แนะนำซื้อ DTAC- LPN- SPALI- BECL- ADVANC- UVAN -BEC และ GLOW ส่วนหุ้นปันผลสูง แนะ QH- HANA- AP-TISCO- LST- DELTA- MCOT ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำคำนวณใน SET50-SET100ใหม่แนะBTS, KK, STA และ SMT เป็น Top Picks
เข้าสู่ช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งถือเป็นเดือนสุดท้ายของปี ขณะที่บรรยากาศการลงทุนจะอยู่บนความไม่แน่นอน เนื่องจากเป็นเดือนที่มีวันทำการน้อย เพราะเป็นเดือนที่มีวันหยุดและวันเฉลิมฉลองตามเทศกาลจำนวนมาก แถมปัจจุบันยังมีปัจจัยนอกทั้งปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป -มาตรการคุมเข้มของจีน และปัจจัยภายใน จากการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆที่ยังสร้างความกังวล ให้กับนักลงทุนไม่น้อย
ด้านวงการแนะเล่นหุ้นปันผลดีเพื่อความปลอดภัย เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะนำมาคำนวณSET 50-SET 100 เนื่องจากตามสถิติหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้า/ออก SET50 และ SET100 พบว่า จะให้ผลตอบแทนดี เมื่อซื้อก่อนที่จะมีการนำเข้าไปคำนวณประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้คาดว่า ตลาดจะประกาศกลางเดือน ธ.ค.
**CNS แนะหุ้นปันผลดี-ปันผลสูง QH- HANA- AP-TISCO**
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.พัฒนสิน(CNS) ระบุว่า คาดหุ้นปันผลดี จะ Outperform ตลาดฯ ในช่วงที่ภาวะการลงทุนมีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจาก 1) การเมืองในประเทศ (การแก้ รธน.และ การเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมือง) 2) ปัจจัยนอกประเทศพัฒนสินมองว่าตลาดประเมินความเสี่ยงจาก ทางการจีนออกมาตรการคุมเศรษฐกิจต่ำเกินไป
สำหรับหุ้นปันผลดี แนะนำซื้อ DTAC- LPN- SPALI- BECL- ADVANC- UVAN -BEC และ GLOW (เรียงตามอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่เหลือจากระหว่างกาล 2010F) โดยพิจารณาจาก 1) อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปัจจุบัน ปี 2011F สูงกว่า 4.2%(คาดเงินเฟ้อปี 2011F 4.2%) 2) มีปันผลระหว่างกาลที่เหลือจากผลการดำเนินงานปี 2010F สูงกว่า 2% (annualize สูงกว่า 4%) 3) มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ และนโยบายการจ่ายเงินปันผลขั้นต่ำที่ชัดเจนว่ามากกว่า 40% ขึ้นไป 4) ราคาพื้นฐานปี 2011F มี Upside ที่จูงใจเกิน 15% ส่วนหุ้นปันผลที่ราคาปัจจุบัน Upside น้อยกว่า 15% หรือมีปันผลระหว่างกาลปี 2010F น้อยกว่า 2% แต่มีโอกาสกลับเข้ามาติดกลุ่มปันผลดี ได้แก่ TVO-CPF-DCC และ TUF
ส่วนหุ้นปันผลสูงแนะนำ QH- HANA- AP- TISCO- LST- DELTA- MCOT (อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่เหลือจากระหว่างกาลปี 2553 ยังสูงกว่า 4%)
ด้านบล. ดีบีเอสวิคเคอร์ส ประเมินหุ้นปันผลเด่น มีเงินเย็นสามารถทยอยซื้อ/ถือลงทุนยาวเพื่อรับปันผลสูง ได้แก่ ADVANC, MCS, SNC, TMT, DCC, MODERN, LPN, SPALI, TICON
**แนะนำ หุ้นที่เปลี่ยนแปลงในดัชนีฯ SET 50 รอบใหม่**
อย่างไรก็ตามจากกรณีที่ตลาดฯได้เปลี่ยนเกณฑ์การคัดเลือก SET 50 ใหม่ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ธ.ค.10 เป็นต้นไป โดยสาระสำคัญที่มีการเปี่ยนแปลง คือ การเรียงมูลค่าหลักทรัพย์สูงสุด 200 อันดับ แรก (Market cap) จากเดิมที่ใช้ มูลค่าค่าเฉลี่ย/วัน 12เดือนย้อนหลัง เปลี่ยนเหลือเพียง 3 เดือน ย้อนหลัง
CNS ประเมินว่าหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะ เข้าคำนวณ ในดัชนีฯ SET 50 สำหรับเกณฑ์ใหม่ ได้แก่ BTS DCC KK ROBINS SSI STA(เดิมคาดมีเพียง BTS และ SSI) สำหรับ PTL คาดว่าจะยังไม่ได้เข้าคำนวณในรอบนี้ เนื่องจาก มีมูลค่าการซื้อขายบนกระดานเกิน 50% ไม่ต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 9 ใน 12 เดือน ของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นสามัญทั้งตลาดในเดือนเดียวกัน
ส่วนหลักทรัพย์ที่ คาดถูกถอดออกจาก SET50 ได้แก่ BCP HANA KSL PSL QH TTA
หลักทรัพย์สำรอง 51-55 คาดได้แก่ HANA TVO ITD QH SPALI
**ASP แนะBTS, KK, STA และ SMT เป็น Top Picks ที่จะถูกคำนวณใน SET50-SET100**
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส(ASP)ประเมินว่าจากกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์มีการเปลี่ยนเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นที่จะเข้า SET50 และ SET100 ใหม่ โดยใช้มูลค่าตลาดเฉลี่ย 3 เดือน ล่าสุดจากเดิม 12 เดือน ฝ่ายวิจัยจึงพิจารณารายชื่อหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 งวด 1H54 ใหม่ หุ้นที่จะถูกคัดเลือกเข้า SET50 ตามเกณฑ์ใหม่ มี 6 บริษัทเรียงตามลำดับ คือ BTS, SSI, ROBINS, STA, DCC, KK แทนที่ TTA, BCP, HANA,
ส่วน SET100 หุ้นที่คาดว่าจะเข้า มี 4 บริษัท คือ GLOBAL, KGI, SMT, KKC แทน SC, BMCL, KYE, MILL ที่น่าจะถูกคัดออก
ซึ่งจากการศึกษาสถิติในอดีตของราคาหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้า/ออก SET50 และ SET100 พบว่า หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้า SET50 จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 7.3% เมื่อซื้อก่อนที่จะมีการนำเข้าไปคำนวณประมาณ 1 เดือน ด้วยความน่าจะเป็นสูงถึง 96% ซึ่งสวนทางกับหุ้นที่ถูกคัดออกที่มักจะปรับตัวลงล่วงหน้าเฉลี่ยราว 4% ในช่วงเดียวกัน สำหรับหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้า SET100 นั้น ควรซื้อในช่วงที่สั้นกว่าหุ้นที่เข้า SET50 คือซื้อล่วงหน้าเพียง 2 สัปดาห์ที่จะถูกนำไปคำนวณ (หรือช่วงที่ตลาดประกาศกลางเดือน ธ.ค. นั่นเอง เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจน้อยกว่า) แต่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 2.6% ด้วยความน่าจะเป็นราว 70% เท่านั้น ขณะเดียวกันหุ้นถูกคัดออกจาก SET100 ราคาก็มักจะปรับตัวลงเช่นเดียวกับหุ้นที่คัดออกจาก SET50 เช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนสามารถนำข้อสรุปดังกล่าว มากำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้ เป็นกลยุทธ์ SET50-SET100 Plays ได้
โดยฝ่ายวิจัยแนะนำ SET50 Palys: เลือก BTS(
[email protected]), KK(
[email protected]), และSTA(
[email protected]) เป็น Top Picks โดยเฉพาะ KK ที่ราคาหุ้นยัง Laggard กลุ่ม อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงปัจจัยบวกจาก Motor Expo ที่คาดว่าจะหนุนสินเชื่อเช่าซื้อรถยนตืในช่วงปลายปีได้ ขณะที่ ROBINS(FV@B24) และ SSI(
[email protected]) แนะนำเพียงเก็งกำไร ส่วน SET100 Palys: เลือก SMT(FV@B22) เป็น Top Pick และเก็งกำไร KG(
[email protected]),Global ที่ราคายัง Laggard
**FSS คาด BTS, PTL, ROBINS, SSI, STA, DCCนำคำนวณ SET 50 **
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) หุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณ SET50 (1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 2011) โดยหุ้นที่คาดว่าจะนำเข้าคำนวณอาทิ BTS, PTL, ROBINS, SSI, STA, DCC
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำออกประกอบด้วย BCP, KSL, HANA, PSL, QH, TTA
ส่วนหุ้นที่คาดว่าเข้าคำนวณ SET100 ประกอบด้วยอาทิ AJ, GLOBAL, KKC, PTL, SMT, TTCL ส่วนที่คาดว่าจะถูกนำออกประกอบด้วย BMCL, CENTEL, GJS, MILL, SAT, SC
** บิ๊กQH มั่นใจสิ้นปีนี้รายได้เติบโต 30% จากปีก่อน หลังโค้งสุดท้ายยอดขายกระเตื้อง เมินกนง.ขึ้นดบ.**
นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ภายในสิ้นปีนี้บริษัทฯ คาดว่ารายได้มีโอกาสเติบโต 30% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 12,000.15 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่คาดไว้ เพราะแนวโน้มยอดขายในไตรมาส 4/2553 เริ่มฟื้นตัว หลังจากเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 10 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาท จึงเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ยอดขายดีขึ้น
ส่วนในปี 2554 บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 16 โครงการ โดยประกอบด้วยโครงการแนวราบและโครงการคอนโดมิเนียม แต่ยังไม่ได้กำหนดมูลค่าโครงการ เพราะเร็วๆ นี้เตรียมหารือกับคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานในปีหน้า ซึ่งประมาณปลายเดือนนี้คงมีความชัดเจน
พร้อมมองกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 2% คงไม่มีผลกระทบต่อยอดขายของอสังหาริมทรัพย์ให้ชะลอการเติบโต เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นไม่ได้สูงมากนัก ซึ่งเป็นระดับที่ผู้บริโภคสามารถรับได้ นอกจากนี้ในระยะสั้นๆ ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบคงยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทันที
จบข่าวครับ.......แต่หุ้นดีไม่ดีจริง พิจารณากันเอาเองนะครับ