นักลงทุนเน้นภาพสะท้อน : การตะหนักรู้ในตนเอง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 05, 2010 4:32 pm
"ชาวยิวตอบคำถามด้วยการตั้งคำถาม
คัมภีร์ทาลมุด
GEORGE SOROS,
STEVEN COHEN ,
PAUL TUDOR JONES
คุณสมบัติที่ผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคลหรือ HEDGE FUND MANAGER สไตน์ RISE AVERSE อย่าง GEORGE SOROS, STEVEN COHEN , PAUL JONES มีอยู่คล้ายกันคืออะไร?
คำตอบ คือ ?
ความสำคัญที่แท้จริงของพวกเขา คือ มีนิสัยที่เปลี่ยนแปลงสมมุติฐานที่เป็นพื้นฐานของความคิดและความเชื่อที่มีอยู่ก่อนแล้ว ตั้งใจท้าทายทัศนะที่ครอบงำอยู่โดยใช้หลักการ invertire หรือ การคิดยอกย้อนทัศนะคติของตัวเอง หรือ ที่เรียกว่า..
self actualization
อาจารย์โซรอสประจักษ์ว่าการรับรู้ของคน (อคติ) หรือความคิดที่มีอยู่ก่อนทำให้เกิดความยุ่งเยิงต่าง ๆ เขาบอกว่า ประสบการณ์ไม่เคยผิดพลาด มีแต่การตัดสินใจของคนเท่านั้นที่ผิดพลาดเพราะไปคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ถ้าไม่คาดการณ์ ความไม่แน่นอนก็จะไม่มีตัวตนอยู่เลย
ตัวกำหนดที่มีความสำคัญต่อการเอาตัวรอดในเกมการลงทุน คือ ความยึดหยุ่น การตะหนักรู้ตัวเอง และ อารมณ์ขัน
นักลงทุนนิรนาม
ตลกยิว
ชาวยิว และ คนที่ไม่ใช่ยิว อยู่บนรถไฟ ขณะที่ชาวยิว กับคนที่ไม่ใช่ยิวกำลังนั่งรถไฟอยู่ จู่ๆคนที่ไม่ใช่ยิว ก็ถามชาวยิวว่า ทำไม พวกคุณชาวยิวจึงฉลาดนัก เคล็ดลับคืออะไร ? ชาวยิวไม่ปล่อยให้เสียโอกาสจึงตอบกลับไปว่า เพราะเรากินหัวปลา จริงเหรอครับ คนที่ไม่ใช่ยิวรู้สึกทึ่ง แล้วผมจะหาหัวปลาได้ที่ไหนล่ะ เอ้อ .. บังเอิญผมมีปลาอยู่ตัวหนึ่ง ในถุงอาหารมื้อเที่ยงวันนี้ ชาวยิวเอาปลาออกจากถุงแล้ววางบนโต๊ะ คุณสนใจจะขายเฉพาะหัวปลาให้ผมมั้ยครับ คนที่ไม่ใช่ยิวถาม ได้เลย ให้ผมยี่สิบรูเบิลก็พอ คนที่ไม่ใช่ยิวจ่ายให้ชาวยิวตามราคาที่ตกลงกันแล้วเริ่มกินหัวปลา ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจากคนที่ไม่ใช่ยิวกินหัวปลาหมดแล้ว และกำลังเลียนิ้วมืออยู่ เขาก็หันมาทางชาวยิวแล้วถามว่า ทำไมหัวปลาราคายี่สิบรูเบิล ในเมื่อปลาทั้งตัวราคาเพียงสิบห้า ชาวยิวยิ้มและตอบว่า เห็นมั้ยล่ะ ได้ผลแล้ว
ผมจำได้ว่าอ่านใน SOROSs LECTURE มีตอนหนึ่งเขียนว่า
ปฏิกริยาภาพสะท้อนเป็นต้นเหตุของความไม่แน่นอน
ความไม่แน่นอน คืออะไร?
เหตุการณ์ที่เป็นเชื้อไฟนำไปสู่ ความไม่แน่นอนในโลก นั้นเกิดขึ้นเมื่อใด?
มองมุมไหนละครับ ผมแบบคนที่เรียนเศรษศาสตร์ในบริบทของประวัติศาสตร์ ก็ต้องตอบว่า..โน้นห้าร้อยปีกว่าหรือปล่าว ? ผมจำได้ว่า ตอนศตวรรษที่ 14 เกิดกาฬโรคระบาดไปทั่วยุโรป คนตายอย่างกะทันหันและต่อกันเป็นทอดๆ เกือบครึ่งทวีปตายกันหมด ไม่ว่าพระ ขุนนาง อัศวิน ชาวนา ทาสเก่าเต่าเลี้ยง หญิงงาม พ่อค้า โรคระบาดได้สั่นคลอนความศัทธาในพระเจ้าของประชาชนไปหมดสิ้น หลังจากโรคระบาด การสนับสนุนการศึกษาจึงค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ นั่นเป็นการแสวงหาเลือกครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่อยู่นอกเหนือไปจากการสวดมนต์ต่อพระเจ้า พลังอำนาจที่อยู่กับศาสนาจักรมานานับพันปีถูกทำลายลงด้วยโรคระบาดนั่นเองครับ
แล้วหลังจากนั้นละ?
หลังจากนั้นห้าร้อยกว่าปีต่อมา ปี 2010 พวกเราได้เคลื่อนที่ย้ายจากโลกที่ทุกสิ่งคือความแน่นอนและทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มาสู่โลกที่ไม่มีอะไรแน่นอนและทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุการณ์ของโรคระบาดในครั้งนั้นนั่นเอง
ผมเดาเอานะครับ จากมุมมองของอคติตัวเอง
จะว่าไป.
เดี๋ยวนี้ ประชากรโลกเชื่อมต่อจากทุกมุมโลกอย่างรวดเร็วด้วยการช่วยเหลือจากระบอบทุนนิยมและโลกแห่งอินเตอเนต การเปลี่ยนแปลงจากครั้งกระโน้นได้กระตุ้นการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น และมันได้เพิ่มความสามาถของคนที่จะเรียนรู้ ปรับตัว และคิดอย่างเป็นอิสระ ผมไม่คิดว่าเราทำอะไรกันได้นอกจากสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นในอัตราเร่งที่เร็วขนาดไหน ไม่มีใครเดาได้ออกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะกระทบต่อสมาชิกครอบครัวพวกเราในอนาคตอย่างไร
การลงทุนกับจิตวิทยาเป็นเรื่องเดียวกัน มันไม่ใช่เกมที่เป็นวิทยาศาสตร์แต่เป็นเกมทางสังคมศาสตร์ต่างหาก
โซรอส
ความรู้สึกอย่างนี้ อาจเป็นเช่นเดียวกันกับประชาชนเมื่อห้าร้อยปีก่อนตอนที่พวกเขาเผชิญโรคระบาด ทั้งเขาและเราต้องเจอกับความกดดันต่างๆ รอบทิศ ต่างกันที่สามัญชนสมัยโน้นไมได้ถูกควบคลุมเวลาเหมือนพวกเรา และข้อมูลข่าวสารและหนังสือในสมัยเขามีอยู่เพียงน้อยนิด ถึงมีก็เขียนเป็นภาษาละตินซึ่งมีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่อ่านออก มันอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่ยอมให้ฝ่ายศาสนาจักรมาคิดแทนพวกเขา แล้วพวกเราละมีความคิดเป็นของตัวเองหรือปล่าว หรือว่าเวลาเทรดหุ้น ความคิดไม่เคยเป็นของเราเลย มันมีคนคลุมเกมไว้ทั้งหมด
ตอนนี้ท่านคงรู้แล้วว่าทำไม self actualization ถึงสำคัญอย่างมาก
วันหนึ่งผมตั้งหัวข้อ การตะหนักรู้ในตนเอง แล้วตั้งคำถาม
ท่านเคยถูกความคิดเห็นของตัวเองหลอกบ้างไหม? ความคิดเห็นของท่านและความเชื่อของท่านมันเป็นของท่านจริงๆ หรือครับ? ลองใช้เวลานั่งพิจารณาสิ่งพวกนี้ว่าเราเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่เรายึดติดกับตัวเองอย่างเหนียวแน่นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? แล้วรู้สุกอย่างไรตอนเปลี่ยนความคิดเหล่านั้น?
เราเต็มใจรับความผิดพลาดเพราะอะไร? มีคนเห็นว่าเรายอมรับจากสิ่งที่เราทำผิด เขาแนะนำอย่างไร? เรียนรู้จากความผิดพลาดและไม่ทำผิดอีกครั้งที่สองอย่างไร?
โห..ต้องใช้เวลาเป็นวัน ตอบคำถามเหล่านี้ แล้วท่านจะรู้ว่าประสบการณ์ในอดีตอะไรบ้างที่กำหนดทัศนคติและพฤติกรรมการลงทุนของเรา
ว่าก็ว่านะครับ อ่านข้อมูลตอนเช้าๆ.........
พวกเราอาจไม่ได้ตะหนักคิดถึงแหล่งที่มาของข้อมูลต่างๆ ที่เราได้รับและตรวจสอบความถูกต้องต่างๆ เรารู้ตัวหรือปล่าวว่าขณะที่เราอ่าน เราก็มีความคิดเห็น สมมุติฐานและความเชื่อที่สร้างขึ้นมามากมาย เราทราบหรือปล่าวว่า ความเชื่อที่เราสร้างขึ้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? ผมเชื่อว่าหุ้นตัวนี้มีพื้นฐานดีเพราะว่า..บา บา บา
ผมเชื่อว่าพฤติกรรมของราคาสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเพราะว่า..บา บา คลับเอ
ผมเชื่ออย่างเหนียวแน่นเพราะอะไร?
อะไรมีอิทธิพลกับผมในการซื้อหุ้น/ขายหุ้นมากที่สุด?
อะไรทำให้ผมเกิดอารมณ์กลัวมากที่สุด?
การจ้องจับผิดตัวเองอย่างนี้นั้น เป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยอยากทำเลยครับ มันฝืนธรรมชาติของคนมาก แต่อาจารย์โซรอสทำได้ เราก็ต้องทำได้ อยากเก่งเหมือนท่านก็ต้องทำให้ได้
คราวนี้.... ผมนั่งพิจารณาหัวข้อ ความผิดพลาด แล้วตั้งคำถาม
โรงเรียนสอนผมอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องการทำผิดพลาด?
พ่อแม่สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับการทำผิดพลาด ?
อะไรคือความผิดพลาดในการลงทุนที่เคยทำ ?
ผมเรียนรู้อะไรจากมันบ้าง ?
ความผิดพลาดอะไรที่ทำซ้ำอีก ?
ความกลัวที่จะขาดทุนมีบทบาทในชีวิตมากแค่ไหน ?
ผมมีแนวโน้มที่จะทำผิดพลาดอีกเพราะอะไร ?
คำถามนี้ผมชอบถามตัวเองบ่อยๆ ?
ถ้าไม่กลัวการทำผิด ผมจะทำอะไรที่แตกต่างๆ ไปจากปัจจุบันบ้าง ?
คำถามสุดท้าย
เราสามารถคิดใหม่อีกครั้งในสิ่งที่เราได้สรุปไปแล้วเกี่ยวกับตัวเองได้หรือไม่?
ใช้เวลา อย่ารีบร้อน เก็บไว้ในใจ ค่อย ๆ คิด รอให้ตกผลึกเต็มที่จนสุกงอม
ในฐานะนักเรียนการลงทุนเน้นภาพสะท้อนคนหนึ่งนั้น คำถามข้างบนสำคัญมากทีเดียว ไม่อย่างนั้นแล้ว การที่ท่านใช้เวลานั่งทบทวนมาทั้งหมดอาจสะท้อนกลับไปในทิศทางตจรงกันข้าม ท่านนั่งทบทวนตัวเองเพราะท่านอยากเก่งขึ้นและสร้างกำไรที่มากขึ้น แต่ในขณะที่เราตอบคำถามเหล่านี้ เราไม่อาจกรองอคติของเราเองออกไปได้หมด ดังนั้นการนั่งทบทวนที่ผ่านมาทั้งหมดอาจสร้างผลลัพธ์ที่กลับตาลปัตร คือ ทำให้ท่านขาดทุนมากขึ้น เพราะท่านใช้เวลาไปกลับสิ่งเหล่านี้มากเสียจนจนขาดความสามารถในการเรียนรู้ขาดประสบการณ์จริง ไม่สามารถอ่านใจตัวเองได้อย่างถูกต้อง และมันอาจทำให้เราเก่งขึ้นได้.แต่เป้นเก่งไปทางด้านลบคือ เก่งที่จะสร้างการรับรู้อย่างผิด ๆ แทนที่จะเป็นการสร้างตะหนักรู้ที่ถูกต้อง
ผู้จัดการกองทุนชั้นยอดและนักลงทุนเน้นภาพสะท้อนที่ดีต้องเข้าใจความยอกย้อนอย่างที่นี้ตลอดเวลาครับ......
shalom........